จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 135 จงใจทำ
เสี้ยวขณะนี้ พวกหลี่สยงพลันเข้าใจความนัยของสายตาที่โจวอีหลิงมองพวกเขายามจากไปแล้ว
ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพวกโง่งมจริงๆ
พวกเขาเพ้อฝันคิดจะใช้ปืนผาหน้าไม้ที่เอาไว้จัดการยอดฝีมือธรรมดาในยุทธจักร ไปต่อกรกับยอดฝีมือชั้นยอดขั้นปรมาจารย์ นี่ไม่ใช่คนโง่หรอกหรือ?
มิน่าเล่า โจวอีหลิงก่อนจากจึงอดรนทนไม่ไหว ราวกับหนีภัยอย่างไรอย่างนั้น
ที่แท้เขาวิเคราะห์ออกได้ตั้งนานแล้วว่า ไม่ใช่แค่ตนที่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่มู่ แต่ต่อให้เป็นทหารเกราะดำที่อยู่ที่นั่นทั้งหมด ทุกคนรวมตัวกันแล้วก็ยังไม่ใช่คู่มือของหลี่มู่ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่ว่าคืนนี้หลี่มู่ไม่อยากลงมือสังหารคนในเรือนของมารดา เกรงว่าตอนนี้ทั้งในและนอกเรือนคงไม่มีสักคนที่ยังหายใจอยู่
สีหน้าของเหล่าทายาทขุนนางและทายาทเศรษฐีเดี๋ยวดำคล้ำเดี๋ยวซีดขาว
วันนี้พวกเขาวางหลุมพรางนี้เอาไว้ เดิมคือวางแผนต่อผู้อื่น คิดไม่ถึงว่าอุบายจะไม่สำเร็จ ทั้งยังเตะตอเข้าอย่างจัง
ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เป็นอะไร? ยังไม่ไสหัวไปอีก อยากให้ข้าส่งพวกเจ้าไปปรโลกด้วยตัวเองรึอย่างไร” หลี่มู่รำคาญแล้ว
“เจ้า…ดี” สีหน้าของหลี่สยงเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวแดง สุดท้ายกัดฟันพูด “ข้าก็ว่าอยู่ เจ้าเด็กชั่วทำไมถึงได้กำเริบเสิบสานนัก กล้าถือวิสาสะออกจากอำเภอขาวพิสุทธิ์มายังเมืองฉางอันแต่ไม่รายงานท่านพ่อ ที่แท้แอบไปฝึกวิชามานี่เอง…หึ เรื่องวันนี้ข้าจะบอกท่านพ่อให้ชัดเจน” ในใจหลี่สยงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ภายนอกกลับทำท่าองอาจผดุงคุณธรรม “มีฐานะเป็นบุตร กลับเมินเฉยต่อสายสัมพันธ์ หลี่มู่ เจ้าอย่าได้ใจให้นานนัก อย่าคิดว่าพลังขั้นปรมาจารย์จะสุดยอด ในเมืองฉางอันมีคนที่จัดการเจ้าได้มากมาย”
พูดจบ เขาถึงมองสหายคนอื่นๆ ข้างกาย “พวกเราไป”
คนกลุ่มหนึ่งทำท่าจะหมุนตัวจากไป
แต่ในตอนนี้เอง หลี่มู่พลันเปลี่ยนความคิด
มารดามันสิ ข้าอุตส่าห์ใจดีปล่อยไป ผลสุดท้ายก่อนไปเจ้ายังฝืนวางท่าต่อหน้าข้าอีก คำก็ลูกชั่ว สองคำก็ลูกชั่วไม่จบไม่สิ้นกันใช่ไหม?
“หยุดก่อน” เขาเอ่ยปากรั้ง
คนทั้งหลายชะงักงัน
ทายาทขุนนางและเศรษฐีเหล่านั้นรู้สึกใจหนาวเหน็บพร้อมกัน ความหวาดกลัวที่ยากจะบรรยายถาโถมขึ้นกลางใจ
หากพูดว่าในตอนแรก ต่อให้รู้ว่าหลี่มู่เป็นขุนนางเมืองของอำเภอขาวพิสุทธิ์ มีตำแหน่งขุนนาง ทายาทเหล่านี้ก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาละก็ ตอนนี้หลังจากหลี่มู่เอาชนะขั้นปรมาจารย์โจวอีหลิงได้ ทั้งยังสำแดงพลังแข็งแกร่ง หักกิ่งไม้มาใช้แทนดาบ ดาบเดียวทำลายธนูและหน้าไม้หลายสิบ ในใจของพวกเขาไม่ใช่แค่ไม่กล้าดูถูกหลี่มู่ แต่ยังมีความหวาดกลัวตีตราเอาไว้ลึกๆ ในใจ
ในโลกที่พลังเป็นใหญ่ใบนี้ ผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์ให้ความรู้สึกเหมือนขุนเขายิ่งใหญ่ที่ยากจะสั่นคลอน
“ทำไม? เจ้าจะสังหารข้าหรืออย่างไร? หึ คิดจะสังหารพี่ชาย ก็เอาสิ” หลี่สยงในใจกลัวจนถึงขีดสุด แต่ใบหน้ากลับยิ้มเยือกเย็น ใช้คำพูดยั่วยุหลี่มู่
ต้องยอมรับว่าคุณชายใหญ่ที่เจ้าเมืองหลี่กังให้ความสำคัญคนนี้ ฝีปากและความคิดทำงานได้ไวนัก
“ฆ่าพวกกากเดนจอมปลอมอย่างพวกเจ้า ก็สกปรกมือข้า” หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็นเหยียดหยาม จากนั้นพูดขึ้นว่า “เจ้าพวกสารเลว รบกวนความสงบสุขของมารดาข้าแล้วยังทำลายกำแพงสวนอีก ปล่อยให้พวกเจ้าสะบัดก้นไปแบบนี้มันจะสบายเกินไป ข้าเปลี่ยนใจแล้ว แต่ละคนจ่ายหนึ่งพันตำลึงทองเป็นเงินค่าชดใช้ มิฉะนั้นก็ไม่ต้องไปไหน รอให้คนที่บ้านของเจ้ามารับเอา”
“พันตำลึงทอง?” จางชุยเสวี่ยตวาดอย่างโมโห “เจ้าไม่ปล้นไปเลยเล่า?”
หลี่มู่หัวเราะลั่น “เพราะข้ารู้สึกว่าทำแบบนี้อาจร่ำรวยได้ง่ายกว่าปล้นน่ะสิ”
“นี่เจ้ากำลังขู่เข็ญ! เป็นการรีดไถ” โจวอวี่พูดอย่างไม่ยอมจำนน “นี่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายของจักรวรรดิ”
หลี่มือแบมือ “ขอคัดค้าน ข้าก็แค่เรียกข้าเสียหายตามปกติเท่านั้น ในเมื่อต้นไม้ใบหญ้าในสวนแห่งนี้ เต็มไปด้วยความทรงจำอันงดงามของข้าและท่านแม่ พวกเจ้าทำลายลงอย่างไร้เยื่อใย ดังนั้นควรจะจ่ายค่าชดเชยมา”
หลี่สยงสีหน้าทะมึน “เจ้าเด็กชั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
สีหน้าของหลี่มู่เย็นชา “หากเจ้าพูดเด็กชั่วอีกครั้งหนึ่ง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเด็ดหัวเจ้ามาเตะแทนลูกหนังเสีย” สวรรค์ อะไรกันนี่ เหมือนว่าคืนนี้จะพูดประโยคนี้ได้คล่องปาก พูดอีกครั้งเสียแล้ว ช่างเถอะ คำพูดข่มขู่ขอแค่ได้ผลก็พอแล้ว
หลี่สยงได้ยินก็แค่นเสียงเย็น กำลังจะอ้าปากตอบโต้
วั่งไฉข้ารับใช้สกุลเจิ้งที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพุ่งเข้ามา กระซิบอะไรที่ข้างหูหลี่สยง สีหน้าของหลี่สยงย่ำแย่ลงทันที หันกลับไปมองศพไร้หัวของเจิ้งเทียนเหลียงที่นอนอยู่บนพื้นไกลๆ จากนั้นมองวั่งไฉ สุดท้ายก็อดกลั้นเอาไว้ ไม่พูดอะไรออกมาสักประโยคเดียว
สุดท้ายพวกหลี่สยงก็รวมเงินคนละหนึ่งพันตำลึงทอง ทิ้งตั๋วทองเอาไว้ แล้วจึงพาทหารชุดเกราะดำถอนกำลังจากไป
ถึงแม้คนเหล่านี้จะเป็นทายาทขุนนางทายาทเศรษฐี แต่ก็ถูกขูดรีดจนหมดตัว
หลังจากที่คนทั้งหมดถอนกำลังจากไป หลี่มู่ก็นับตั๋วทองในมือแล้วหัวเราะหึๆ
หนึ่งคนหนึ่งพันตำลึงทอง พวกหลี่สยงรวมกันแล้วก็เป็นหนึ่งหมื่นกว่าตำลึงทอง ทั้งหมดล้วนเป็นตั๋วทองของสมาพันธ์การค้า ใช้จ่ายได้ในจักรวรรดิทั้งสามกระทั่งที่ราบทุ่งหญ้าหรือดินแดนสุดแดนใต้ พูดได้ว่าเป็นเงินก้อนโต กระทั่งล้ำค่ากว่าทรัพย์สินทั้งหมดที่ข่มขู่รีดไถมาจากมือของคนในยุทธจักรพวกนั้นเมื่อหลายวันก่อน
“นับว่ารวยแล้วใช่ไหม?”
หลี่มู่ไม่มีมาดยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อย นับตั๋วทองเหมือนกับนับธนบัตร จะธนบัตรหรือตั๋วทองก็เป็นเงินทั้งนั้น ตั๋วทองหนึ่งปึกเท่ากับสิบล้านหยวนแล้ว คนไม่มีทรัพย์สมบัติไม่ร่ำรวย ม้าไม่เพิ่มหญ้ายามดึกไม่อ้วนท้วน วันนี้นับว่าได้ทรัพย์สมบัติเพิ่มมาแล้วกระมัง
“คุณชาย บะหมี่เสร็จแล้ว…เอ๋ คนพวกนั้นไปหมดแล้วเจ้าคะ?” ชุนเฉ่าออกมาจากกระท่อม สีหน้าตกใจ
หลี่มู่เก็บตั๋วทองไป แล้วจึงเอ่ยขึ้น “อ๋อ เป็นคนมีการศึกษากันทั้งนั้น พูดด้วยเหตุผลก็เลยไปแล้ว”
ชุนเฉ่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สุดท้ายก็วางใจ
ครู่หนึ่ง ในกระท่อมมุงจากก็จุดตะเกียงขึ้นมา
แสงตะเกียงสีส้มไหวระริก
โต๊ะสีดำตัวเตี้ยใช้อิฐสามสี่ก้อนรองเอาไว้ บะหมี่ที่มีน้ำมันต้นหอมลอยอยู่สามสี่หยดส่งกลิ่นหอมภายใต้แสงตะเกียงสลัว ทำให้หลี่มู่รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างจริงๆ
แต่ว่าบนโต๊ะมีบะหมี่แค่ชามเดียว
“ท่านแม่ ตักมาอีกสองชามเถอะ พวกเรากินด้วยกัน” หลี่มู่พูด
“มู่เอ๋อร์ เจ้ากินเถอะ กินเยอะๆ หน่อย แม่ไม่หิว” ใบหน้าของมารดาหลี่มู่ปรากฏรอยยิ้มเมตตา
ชุนเฉ่าเด็กสาวรับใช้ก็พูดขึ้นเช่นกัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณชาย ท่านกินเถอะ วันนี้ตอนมาข้ากินมาจากคฤหาสน์สกุลเจิ้งแล้ว…” ยังพูดไม่ทันจบ ท้องของนางก็ส่งเสียงร้องโครกครากออกมา สาวน้อยอายุสิบแปดสิบเก้าปีคนนี้หน้าแดงขึ้นมาทันที
หลี่มู่ถอนหายใจ
เขาเห็นแล้วว่าบะหมี่ในบ้านทั้งหมด วัตถุดิบทั้งหมด รวมกันแล้วพอทำได้แค่ชามนี้เท่านั้น ไม่มีชามที่สองแล้ว
ยากจนถึงเพียงนี้เชียว
อีกทั้งหากหลี่มู่จำไม่ผิด บะหมี่ชามนี้ยังอาศัยแป้งที่ชุนเฉ่านำมาจากบ้านสกุลเจิ้งทำขึ้น ปกติแล้วมารดาหลี่มู่แทบอยู่ในสภาพไม่มีจะกิน คนตาบอดที่แม้แต่จะอาศัยทำงานฝีมือหรือซักผ้าหาเงินยังทำไม่ได้ หากไม่มีเด็กสาวรับใช้ชุ่นเฉ่าดูแลคงหิวตายไปนานแล้ว
“มู่เอ๋อร์กินสิ เจ้าชอบบะหมี่ที่แม่ทำมากที่สุดไม่ใช่หรือ?” ใบหน้าของหลี่มู่ทั้งเมตตาและพึงพอใจ
แต่หลี่มู่รู้ ที่จริงนางก็หิวอยู่เหมือนกัน
นี่คือความรักของแม่ใช่หรือไม่?
หลี่มู่รู้สึกแสบจมูก
เขาไม่ปฏิเสธ กินบะหมี่เข้าไปคำโตจนเกลี้ยงชามในรวดเดียว
ท่านแม่หลี่หัวเราะอย่างมีความสุข
นางเหมือนกับมองเห็นได้อย่างไรอย่างนั้น
ในรอยยิ้มมีทั้งความพึงพอใจและความสุขใจ
ราวกับว่าภายใต้แสงตะเกียงสลัวราง ในกระท่อมมุงจากซอมซ่อเช่นนี้ ในเขตชุมชนที่ชื้นแฉะ นาง ‘ได้ยิน’ ลูกชายกินบะหมี่จนหมด ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ในที่สุดคุณชายก็กลับมาแล้ว หากพวกพี่เซี่ยจวี๋ได้รู้จะต้องมีความสุขแน่นอน” ชุนเฉ่ากล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความเสียใจและเสียดาย
หลี่มู่ใจไหววูบ
ในข้อมูลที่เจิ้งฉุนเจี้ยนและหลี่ปิงเขียนออกมา ได้บอกเรื่องบางส่วนเกี่ยวกับมารดาหลี่มู่ ตอนที่เพิ่งถูกขับไล่ออกจากจวนเจ้าเมือง ข้างกายนางมีเด็กสาวรับใช้คนสนิทสี่คนชื่อว่าชุนเฉ่า เซี่ยวจวี๋ ชิวอี้ และตงเสวี่ย พวกนางยินดีที่จะอยู่ข้างกายท่านแม่หลี่ อายุต่างกันไม่เท่าไหร่ นับถือกันเป็นพี่น้อง หลายปีมานี้ มารดาหลี่มู่โชคดีที่มีสาวใช้ผู้จงรักภักดีทั้งสี่คนนี้คอยดูแลจึงมีชีวิตรอดมาได้ เพียงแต่ภายหลังมีคนใช้เล่ห์กลต่างๆ นานาบีบบังคับให้พวกนางทั้งสี่จากมารดาหลี่มู่ไป
ดังเช่นชุนเฉ่าที่ถูกบีบบังคับให้แต่งเป็นอนุเจิ้งเทียนเหลียงนั่น
หากชุนเฉ่าไม่แต่ง มารดาหลี่มู่ก็จะมีอันตราย
พวกนางล้วนถูกจับจุดอ่อนได้ เพื่อปกป้องท่านแม่หลี่เอาไว้ พวกนางจึงทำอะไรไม่ได้
“พวกเซี่ยจวี๋ไปที่ไหนกัน?” หลี่มู่ถาม
ในสายตาของชุนเฉ่าฉายแววลนลานชั่วแวบหนึ่ง สุดท้ายนางก็ส่ายหน้า “คุณชาย ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้าไม่ได้เจอพวกพี่เซี่ยจวี๋มานานมากแล้ว…บางทีพวกนาง…อาจจะ…อยู่ดีมีสุขก็ได้” เห็นได้ชัดว่าในใจของนางก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก คำที่พูดออกมาแม้แต่ตัวนางเองยังไม่เชื่อ
หลี่มู่แอบส่ายหน้า แต่ไม่ซักไซ้อะไรอีก
เขาออกมาจากกระท่อม มองไปยัง ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนที่ยืนอยู่ในความมืดราวกับภูตผี
“ท่านแค่มาถึงก็ก่อความวุ่นวายแล้ว อีกไม่นานท่านเจ้าเมืองก็จะรู้เรื่อง ท่านมาถึงเมืองฉางอันแล้ว นี่เป็นผลเสียสำหรับท่าน” เขาพูดด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ในเมืองฉางอันมียอดฝีมือเยอะแยะมากมาย ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ก็มี ท่านไม่อาจเอาชนะทุกคนได้”
หลี่มู่หัวเราะ “ในเมื่อข้ามาแล้ว แน่นอนว่าต้องก่อเรื่องวุ่นวายบางอย่างหน่อย เจ้าคิดว่าข้าจะหลบๆ ซ่อนๆ พามารดาข้ากลับอำเภอขาวพิสุทธิ์อย่างนั้นรึ เจ้าผิดแล้ว ข้าหวังว่าจะสร้างความวุ่นวายให้หนักสักหน่อย ดึงดูดสายตาเสียบ้าง เจอกับยอดฝีมือที่ว่าพวกนั้น แล้วค่อยสั่งสอนเจ้าเมืองชั่วนั่นสักนิด”
เจิ้งฉุนเจี้ยนเงียบงัน
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจ ที่แท้คืนนี้ก่อความวุ่นวายใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นเรื่องที่หลี่มู่จงใจทำ
“เจ้าอยู่ในเมืองฉางอันน่าจะมีขั้วอำนาจของตัวเองกระมัง? ช่วยข้าตรวจสอบหน่อยว่าสาวใช้คนอื่นๆ อีกสามคนของมารดาข้าอยู่ที่ไหน แล้วก็ช่วยข้าซื้อของบางอย่างเข้ามาด้วย นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะอยู่ในตรอกสลัมแห่งนี้” หลี่มู่พูดแล้วก็มอบตั๋วทองสามแผ่นให้กับเจิ้งฉุนเจี้ยน จากนั้นบอกสิ่งที่ตนต้องการให้เขาไปซื้อมา
……………………………………………………