จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 138 ข้ามาหาคน
ตะวันดวงแรกลอยขึ้นเหนือเมืองฉางอันช้าๆ แสงอาทิตย์อบอุ่นสาดส่องมายังเมืองโบราณ
มารดาหลี่มู่เดินออกมาจากกระท่อมโดยมีชุนเฉ่าช่วยประคอง สีหน้าร้อนรน ส่วนชุนเฉ่าเห็นหลี่มู่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางสวนก็รีบพูด “ฮูหยิน ไม่ใช่ความฝัน คุณชายอยู่จริงๆ เจ้าค่ะ เขากำลังฝึกฝนอยู่”
หลี่มู่ได้ยินเสียงจึงลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว”
“มู่เอ๋อร์” ท่านแม่หลี่เดินมาจับมือของหลี่มู่ไว้แน่น แล้วยังลูบใบหน้าเขาอีกชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าจึงค่อยฉายรอยยิ้มออกมา “เป็นมู่เอ๋อร์จริงๆ แม่คิดว่าเมื่อวานเป็นความฝันเสียอีก”
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ นับจากวันนี้เป็นต้นไป ลูกจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องหวาดกลัวอยู่คนเดียวแล้ว” หลี่มู่ซาบซึ้งใจยิ่งนัก จับมือมารดาเอาไว้พร้อมรับปากเน้นชัดทีละคำ ทีละประโยค
“พี่ชุนเฉ่า ในรถม้ามีอาหารอยู่ ท่านหยิบไปไว้ในบ้าน อีกประเดี๋ยวจะมีคนมาปรับปรุงบ้านให้ ท่านดูแลท่านแม่ด้วย ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย” หลี่มู่พูดกับชุนเฉ่า
“เอ๋ มู่เอ๋อร์ เจ้าจะออกไปข้างนอก?” มารดาหลี่มู่กุมมือเขาแน่น ในน้ำเสียงมีความตื่นตกใจอย่างยากจะปกปิด
หลี่มู่กล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะไปรับตงเสวี่ย ชิวอี้ กับเซี่ยจวี๋ทั้งสามคนมา ไปครู่เดียวเดี๋ยวก็กลับ”
“แต่ว่า…” มารดาหลี่มู่ยังค่อนข้างลังเล นางรู้ว่าเด็กรับใช้ทั้งสามคนนั้นถูกขั้วอำนาจแบบใดชิงตัวไป ล้วนเป็นพวกคนใหญ่คนโตในเมืองฉางอันทั้งสิ้น หลี่มู่พูดจาสบายๆ แต่ขั้วอำนาจพวกนั้นจะปล่อยสาวใช้สามคนนั้นมาง่ายๆ หรือ? ใจนางเป็นห่วงสาวใช้ที่ราวกับญาติสนิทของตนสามสี่คนนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ตอนนี้นางเป็นห่วงลูกชายตัวเองมากกว่า รอมาแปดปี ในที่สุดลูกชายก็กลับมา นางไม่อยากลิ้มรสความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียลูกอีกแล้ว
ชุนเฉ่าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
เมื่อได้ยินว่าหลี่มู่จะไปรับพี่น้องอีกสามคนกลับมา ในใจของนางตื่นเต้นและเฝ้ารอเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อคิดถึงอันตรายที่อยู่ในนั้นอีกที นางก็กังวลความปลอดภัยของเขา
หลี่มู่หัวเราะ ก่อนกล่าวว่า “ท่านแม่ พี่ชุนเฉ่า พวกท่านวางใจเถอะ ในเมืองฉางอันยังไม่มีใครขวางข้าได้ อีกทั้งข้าไม่ได้ออกไปคนเดียว สำนักของข้าส่งผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์หลายสิบคนมาช่วยข้า” เขาโกหกก็เพื่อให้สตรีทั้งสองไม่ต้องกังวล
“มู่เอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าจะมีคนมาซ่อมบ้านของพวกเรา เป็นใครกัน?” มารดาหลี่มู่ถามอีก
หลี่มู่ตอบยิ้มๆ “เป็นสหายบางคน สหายที่เพิ่งคบใหม่”
“เช่นนั้นแล้ว พวกเราต้องอยู่ฉางอันไปอีกระยะหนึ่งหรือ?” ชุนเฉ่าพูดอย่างตื่นเต้น
หลี่มู่พยักหน้า กล่าวว่า “ใช่แล้ว ตอนนี้อยู่ที่นี่ไปช่วงหนึ่ง รอข้าจัดการธุระเสร็จแล้วค่อยไปอำเภอขาวพิสุทธิ์”
หลังกำชับอีกครู่หนึ่ง หลี่มู่ก็ออกไป
แสงอาทิตย์ส่องมายังเรือนเล็กที่ทรุดโทรมที่สุดอยู่สุดตรอกไล่หมู
คนบ้านอื่นในตรอกโผล่หน้าออกมาจากประตูอย่างอยากรู้อยากเห็น มองไปยังเรือนเล็กๆ แห่งนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานพวกเขาเห็นกันไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้สายตาที่มองไปจึงแฝงไว้ด้วยความยำเกรงและใคร่รู้
ชุนเฉ่าประคองท่านแม่หลี่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างๆ จากนั้นไปจัดการของในรถม้า
เสี้ยวขณะที่เปิดรถม้า นางก็ร้องตกใจ
“เฉ่าเอ๋อร์เป็นอะไรไป?” มารดาหลี่มู่รีบถามไถ่
“เนื้อเยอะนัก ทั้งยังมีขนมของร้านลิ้มละมุนด้วย…” ลมหายใจของชุนเฉ่าติดขัด
ของในรถม้าล้วนเป็นอาหารกับวัตถุดิบชั้นดีที่สุดจากร้านเก่าแก่ในเมืองฉางอัน แต่ก่อนยามฮูหยินยังอยู่ที่จวนเจ้าเมืองและยังเป็นภรรยาเอก นางก็เคยเห็นแล้ว เมื่อคิดถึงความเลิศรสของอาหารพวกนี้ ชุนเฉ่าอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
ถึงอย่างไรนางก็เป็นแค่เด็กสาวอายุสิบแปดคนหนึ่ง
ชุนเฉ่าใช้เวลาไปไม่น้อยถึงจะเก็บของในรถม้าไปไว้ในกระท่อมเรียบร้อย จากนั้นมีเสียงอึงอลดังขึ้น คนประมาณสี่สิบห้าสิบคนเดินเข้ามาในตรอกไล่หมู
คนเหล่านี้บ้างขี่ม้ามา บ้างเดินมา สวมชุดเครื่องแบบแบบเดียวกัน แต่ละคนตัวโตกำยำ ดูแล้วไม่ธรรมดา ข้างหลังยังมีรถม้าใช้ผ้าใบคลุมเอาไว้ ในรถไม่รู้ว่าบรรทุกอะไรมาเยอะแยะจนตุง รถม้าหลายสิบคันเข้ามาเสียจนตรอกที่แต่เดิมก็คับแคบอยู่แล้วแน่นขนัด
คนกลุ่มนี้ล้วนมุ่งหน้ามายังเรือนเล็กของมารดาหลี่มู่
สีหน้าของชุนเฉ่าลนลาน รีบเข้ามาประคองมารดาหลี่มู่
คนกลุ่มนี้มาถึงหน้าประตูเรือนหลังเล็กภายใต้สายตาของคนในตรอกไล่หมูและพวกท่านแม่หลี่ทั้งสอง
คนที่ใบหน้าอยู่ใต้หมวกผ้าคลุมโปร่งบางประสานมือเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “ฮูหยิน ข้าน้อยคือสหายของใต้เท้าหลี่มู่ มาปรับปรุงบ้าน หากมีเรื่องใดรบกวนฮูหยิน ขอฮูหยินได้โปรดอภัย” คนคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้า
คนอื่นมองหน้าของเขาไม่ชัด ที่จริงแล้วเขาก็คือเจิ้งฉุนเจี้ยนนั่นเอง
เรื่องที่หลี่มู่เตรียมการ เขาไม่กล้าเพิกเฉย ในเมื่อชีวิตของเขากำอยู่ในมือของอีกฝ่าย
ที่แท้ก็มาปรับปรุงบ้านนี่เอง
มารดาหลี่มู่และชุนเฉ่าต่างโล่งอก
เรื่องนี้ ก่อนที่หลี่มู่จะไปก็ได้บอกเอาไว้แล้ว
“รีบเข้ามาเถิด” มารดาหลี่มู่พูด
นางมีชาติกำเนิดตระกูลสูงส่ง ถึงแม้ที่ผ่านมาจะตกต่ำ แต่ยังคงมีมารยาทของเจ้าบ้านอยู่
เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้า แต่ไม่รีบร้อนเข้าไปข้างใน เขาหยิบป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมากำไว้ในมือ เดินไปข้างหน้าสามสี่ก้าวอย่างระมัดระวัง ก็เห็นใต้พื้นดินของเรือนเล็กทรุดโทรมพลันมีแสงเป็นเส้นๆ พุ่งออกมา กะพริบแล้วหายวับไป ต่อมาทั่วทั้งบริเวณก็ชวนให้คนรู้สึกว่าเปลี่ยนไป ขาดความรู้สึกของระยะห่าง เหมือนจะห่างไกลลิบลับ แต่ก็เหมือนใกล้มาก
มีค่ายกลของจอมเวทอยู่จริงๆ ด้วย
เจิ้งฉุนเจี้ยนลอบถอนใจ
เมื่อคืนวานหลี่มู่มอบป้ายหยกชิ้นนี้ให้กับเขา บอกเขาว่าคิดจะเข้าไปในบริเวณเรือน หากไม่มีป้ายหยกนำทางก็จะตายไร้ที่ฝัง
กลวิชาของจอมเวทช่างน่ากลัวจริงๆ
หลี่มู่เป็นจอมเวทกี่ดาวกันแน่ จึงใช้เวลาชั่วข้ามคืนวางค่ายกลเช่นนี้ในบริเวณเรือนรกร้างออกมาได้คนเดียว? เจิ้งฉุนเจี้ยนยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว
เขาไม่กล้าเพิกเฉย อาศัยพลังของป้ายหยก สั่งการคนอื่นๆ ให้ลำเลียงวัสดุก่อสร้างที่บรรทุกอยู่ในรถม้ามาไว้ในบริเวณเรือนได้อย่างราบรื่น
หิน ไม้ ต้นไม้ใบหญ้า และอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ อีกทั้งเค้าโครงสิ่งก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปบางอย่างวางอยู่ต่อหน้าผู้คน
งานก่อสร้างอันเอิกเกริกเริ่มขึ้นแล้ว
……
สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลก่อตั้งขึ้นเมื่อแปดสิบปีที่แล้ว แรกเริ่มเป็นแค่สมาพันธ์การค้าเล็กๆ ที่พอจะยืนหยัดอยู่ในเมืองฉางอันได้ ภายหลังได้รับความช่วยเหลือจากผู้ส่งศักดิ์คนหนึ่งจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ขั้วอำนาจสมาพันธ์การค้าเติบโตจากสมาพันธ์การค้าระดับสามเล็กๆ จนเป็นผู้นำของสมาคมการค้าท้องถิ่นของเมืองฉางอันได้ เป็นรองเพียงแค่สาขาย่อยของสมาพันธ์การค้าใต้หล้าที่เมืองฉางอัน..ขั้วอำนาจที่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจว
ประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลนามว่าโจวเต๋อเต้า ปีนี้อายุยังไม่ถึงห้าสิบ เป็นบุคคลมากเล่ห์ลื่นไหล
ตอนเช้าโจวเต๋อเต้าสะสางบัญชีของสมาพันธ์อยู่ที่คฤหาสน์
นี่เป็นเรื่องที่เขาชอบทำมากที่สุด ตัวเลขแต่ละตัวในบัญชีทำให้เขารู้สึกถึงความสุขสุดยอดเมื่อได้รู้ว่าเงินทองมารวมอยู่ในมือไม่ขาดสาย
นอกห้องบัญชี ยอดฝีมือยี่สิบกว่าคนที่เขาจ่ายราคาอย่างงามเพื่อชักชวนมากำลังยืนเฝ้าอารักขาด้วยอาวุธครบครัน
เมื่ออำนาจเงินไปถึงระดับหนึ่งก็จะเกิดเป็นพลังมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อรวมกับอำนาจแล้วยิ่งเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ยากจะจินตนาการได้ สมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงสามารถชักชวนยอดฝีมือในยุทธจักรให้มาดูแลรักษาคฤหาสน์ได้ ลือกันว่าสกุลโจวมีก้งเฟิ่ง[1]ขั้นปรมาจารย์สองคนคอยดูแล
โจวเต๋อเต้ารูปร่างอ้วนเตี้ย ใบหน้าขาวไร้หนวดเครา ใบหน้ามีรอยยิ้มแฝงอยู่สามส่วน ดูเหมือนคหบดีที่ไร้พิษภัย
เขาเปิดบัญชี ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ด้านข้างมีนักบัญชีคนสนิทที่จ่ายราคาสูงเชิญมาหลายสิบคน ลูกคิดถูกดีดดังแป้กๆ นิ้วมือขยับพลิ้วราวบิน ตัวเลขแต่ละตัวรายงานรายรับและรายจ่ายของอาณาจักรเงินทองอันยิ่งใหญ่ของสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลให้โจวเต๋อเต้าได้เห็นและได้ยิน
สาวใช้อ่อนวัยหน้าตางดงามสองคนยืนอยู่ข้างกายโจวเต๋อเต้าพลางโบกพัดขนนกเบาๆ
ทันใดนั้น เสียงประตูดังขึ้น ประตูที่ปิดสนิทอยู่ถูกเปิดออก
ร่างเงาร่างหนึ่งเดินเข้ามา
สีหน้าของโจวเต๋อเต้าฉายแววไม่พอใจ ห้องบัญชีในคฤหาสน์เป็นสถานที่สำคัญยิ่งกว่าสำคัญ เขาย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามเข้ามาโดยไม่รายงาน แต่มีคนกล้าขัดคำสั่งอย่างนั้นหรือ?
เขาเงยหน้าขึ้นไป
เมื่อเห็นก็อึ้งตะลึง
เด็กหนุ่มผมสั้นรูปร่างสูงโปร่งกำยำ ใบหน้าองอาจงดงาม เดินเข้ามาด้วยสีหน้าสุขุม
“เจ้า…เป็นใคร?” โจวเต๋อเต้าถามอย่างรู้สึกแปลกใจ
เขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนพระแต่ก็ไม่ใช่พระ ดูธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดาคนนี้มาก่อน ทำไมจู่ๆ จึงบุกเข้ามาในห้องบัญชีโดยที่ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย
“เอ๋? ไม่อยู่รึ ขอโทษที ข้าเดินผิด” สีหน้าของเด็กหนุ่มสบายๆ ตามอารมณ์ เหมือนเดินเล่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น สายตากวาดไปในห้องบัญชี สีหน้าฉายแววผิดหวัง จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
โจวเต๋อเต้าอึ้งงัน ก่อนจะโมโหเดือดดาล “ใครก็ได้ ขวางมันเอาไว้”
บุกห้องบัญชีแล้วยังคิดจะหนี?
ร่างนับสิบพุ่งออกมาจากทั้งสี่ทิศทันที ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือที่อารักขาคฤหาสน์สกุลโจว ดาบกระบี่ถูกชักออกมาจากฝัก แต่ละกลุ่มล้อมเด็กหนุ่มเอาไว้โดยรอบ
โจวเต๋อเต้ารีบร้อนเดินออกมาจากห้องบัญชี จ้องเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พูดมา เจ้าเป็นใคร? แฝงตัวเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “อย่าตื่นเต้นไป ข้ามาคฤหาสน์ของท่านเพื่อหาคนเท่านั้น หาเจอแล้วข้าก็จะไป”
“หาคน?” โจวเต๋อเต้าโมโหจนถึงขีดสุด “เจ้าแฝงตัวเข้ามาจริงๆ ด้วย? มีอย่างที่ไหนกัน ครูฝึกหวาง พวกเจ้าตายกันหมดแล้วรึอย่างไร? คนนอกแฝงตัวเข้ามายังเขตเรือนห้องบัญชีแล้วยังไม่รู้ตัวอีก?” เขาโมโหอย่างอดไม่ได้ ห้องบัญชีเป็นสถานที่สำคัญเพียงใด เขาจ่ายเงินก้อนโตเลี้ยงยอดฝีมือเยอะขนาดนี้ไว้อารักขาเรือน แต่คนนอกกลับแฝงตัวเข้ามาตามอำเภอใจแบบนี้ นี่ไม่ได้หมายความว่าหากเด็กหนุ่มคนนี้คิดลอบสังหารเขาก็ทำได้สำเร็จแน่หรอกหรือ?
เหล่ายอดฝีมือที่อารักขาเรือนต่างกระอักกระอ่วน
ผู้ที่ถูกเรียกว่าครูฝึกหวางเป็นชายกลางคนอายุราวสามสิบ รูปร่างสูงใหญ่ กลิ่นอายทรงพลัง เขารีบพูดขึ้น “นายท่านโปรดอภัย ข้าน้อยจะจับเจ้าคนถ่อยใจกล้านี่เดี๋ยวนี้…”
เด็กหนุ่มไม่รอให้เขาพูดจบ ดวงตาเปล่งประกาย “นายท่าน?” เขามองไปยังโจวเต๋อเต้า “เจ้าคือประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผล?”
โจวเต๋อเต้าแค่นเสียงเย็น “เช่นนั้นแล้วอย่างไร วันนี้เจ้าบุกห้องบัญชี ข้า…”
ทว่าเขายังพูดไม่จบ ภาพเบื้องหน้าก็พลันพร่าเลือน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏข้างกายโจวเต๋อเต้าราวกับภูตผี มือข้างหนึ่งวางไว้บนไหล่ของเขาแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย เจ้าจะต้องคุ้นเคยในจวนแห่งนี้ดีแน่นอน ข้าตามหาหญิงสาวชื่อว่าเซี่ยจวี๋ เจ้าช่วยข้าตามหาหน่อย หาเจอแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”
เด็กหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าคือหลี่มู่
เขามาหาคนถึงคฤหาสน์สกุลโจว หลังจากเข้ามาแล้วถึงจะพบว่าแผนของตัวเองผิดพลาด คฤหาสน์สกุลโจวใหญ่มากจริงๆ ใหญ่เกินกว่าที่คิดเอาไว้ จะหาคนคนหนึ่งก็ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร หามาครึ่งวันแล้วยังไม่เจอร่องรอยของเซี่ยจวี๋ จนจับพลัดจับผลูมาถึงห้องบัญชีแห่งนี้
……………………………………………………
[1] ก้งเฟิ่ง คือผู้ทำหน้าที่รับใช้ขุนนางอวี้สื่อ ซึ่งเป็นผู้ตรวจการที่คอยตรวจสอบดูแลการทำงานและพฤติกรรมของเหล่าขุนนางในราชสำนัก