จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 153 วันเผยตัว
ความมืดแผ่ตัวปกคลุม โคมวิจิตรเริ่มประดับประดา
หน่วยเลี้ยงรับรองที่ตั้งอยู่บนถนนกลิ่นกำจายด้านตะวันออกของเมืองฉางอันต้อนรับช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของวัน เสียงดนตรีดังแว่วมาจากในถนน ก็เหมือนกับแม่น้ำผงชาดสายนั้นที่อยู่สุดถนนกลิ่นกำจายด้านตะวันออก แต่ละวันล้วนเป็นเช่นนี้ เสียงดนตรีบรรเลงร่ายรำสอดประสาน ทำให้บุรุษนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าฝันหา
หลี่มู่หนุ่มบริสุทธิ์เดินเข้ามาในถนนกลิ่นกำจายภายใต้การนำทางของเจิ้งฉุนเจี้ยนตัวดี
ถนนกลิ่นกำจายลึกและกว้างยิ่งกว่าตรอกไล่หมู เป็นถนนที่ยาวหลายลี้ รถม้าเทียมม้าแปดตัวสี่คันเดินหน้ากระดานพร้อมกันได้ พื้นถนนปูด้วยอิฐดำชั้นเยี่ยมเป็นอย่างดี แนบสนิทไร้ร่องรอย ราบเรียบดียิ่ง สองฝั่งถนนคือหอและอาคารเล็กใหญ่ที่เป็นโครงสร้างดินและไม้ ล้วนวิจิตรงดงามเป็นอย่างยิ่ง มีโคมสีแดงอ่อนเข้มต่างๆ หรือไม่ก็สีชมพูแขวนเอาไว้
บนถนนมีคนมากมาย มีทหารชุดเกราะขี่ม้า บัณฑิตขี่รถม้า สวนกันขวักไขว่ไปมา ส่วนมากเป็นพวกแต่งเนื้อแต่งตัวมีฐานะ
หออาคารสองฝั่งถนนตั้งชื่อคล้ายๆ กัน เช่น ‘หอชิดสิเน่หา’ ‘หอหยกละมุน’ ‘หอชมโฉมสะคราญ’ ป้ายชื่อร้านล้วนเป็นบุคลที่มีชื่อเสียงในเมืองฉางอันเขียนให้ ดูโอ่อ่ายิ่งนัก แต่ละหอมีหญิงสาววัยแรกแย้มสวมหรูฉวินรัดอกยืนกวักมือเรียกและหัวเราะหยอกล้อผู้คนที่เดินผ่านไปมาอยู่บนระเบียง
เสียงหัวเราะออดอ้อนวาจาอ่อนหวาน ภายใต้การขับเน้นด้วยกลิ่นสุราที่ประเดี๋ยวก็ลอยออกมาจากในหอ ยิ่งทำให้ฮอร์โมนหลั่งพลุ่งพล่านโดยแท้
หน่วยเลี้ยงรับรองเป็นเพียงชื่อเรียกโดยรวมของสถานที่ที่ทางการจัดการดูแลหอคณิกา ภายใต้ชื่อนี้ยังมีหอคณิกาแบ่งออกไปอีก ก็เหมือนกับธุรกิจทางการตลาดใหญ่ๆ บนโลกอาจแบ่งกิจการต่างๆ ออกไป ยกตัวอย่างเช่น ‘หอชิดสิเน่หา’ ‘หอหยกละมุน’ ที่หลี่มู่ได้เห็นตามทางขี่ม้าผ่านก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นของหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งนั้น แต่ละที่มีความเชี่ยวชาญต่างกันไป จากคำของเจิ้งฉุนเจี้ยน ในหอเหล่านั้นมีหญิงสาวที่เป็นที่นิยมประจำอยู่
หลี่มู่เดินไปดูไป พลางฟังคำอธิบายจากเจิ้งฉุนเจี้ยน รู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตาขึ้นมาก
เขาต้องยอมรับ ไม่แปลกใจเลยที่ที่แบบนี้จะมีบุรุษนับไม่ถ้วนเฝ้าถวิลหา สตรีแรกแย้มโฉมงามมีเยอะยิ่ง ตลอดทางที่เดินมาก็เห็นใบหน้าที่งดงามชวนตะลึงมากมาย
“ทั้งถนนกลิ่นกำจายมีหอคณิกาทั้งหมดสามสิบเจ็ดหอ อยู่ภายใต้หน่วยเลี้ยงรับรองทั้งสิ้น และหอคณิกาบางแห่งที่ร่วมมือกับหน่วยเลี้ยงรับรองก็อยู่ในถนนนี้ด้วยเช่นกัน แต่หากพูดถึงหอคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดก็ยังเป็น ‘หอหยกงาม’ ‘หออัปสรสวรรค์’ และ ‘หอสดับเซียน’ สามหอนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายอยากไปแห่งใด?” เจิ้งฉุนเจี้ยนหยั่งเชิงถาม
หลี่มู่อยู่บนม้าพูดตอบ “เจ้าเลือกเอาเลย”
ในฐานะที่เป็นหนุ่มบริสุทธ์ผุดผ่อง เขาค่อยๆ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
แต่ว่านี่ก็เป็นเหตุการณ์ปกติ ชายบริสุทธ์คนไหนมาถึงที่แบบนี้ น่ากลัวว่าคงอดหน้าแดงหูแดงไม่ได้ทั้งนั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไป ‘หอสดับเซียน’ แล้วกัน สร้างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำผงชาด แม่นางหลายคนที่หอนั้นมีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง ร่ายรำบรรเลงเพลงช่ำชอง อีกทั้งไม่เคยออกเรือน เป็นนางคณิกาที่ยังไม่เคยรับแขกด้วย หากคุณชายถูกใจก็ไม่เป็นการหมิ่นชื่อเสียงของท่านในวันนี้” เจิ้งฉุนเจี้ยนกล่าว
‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ พูดได้ว่าเลื่องลือไปทั่วเมืองฉางอัน หลี่มู่ในวันนี้ชื่อเสียงโด่งดัง
สุภาพบุรุษชื่อก้องกับสาวงาม นับแต่โบราณมาก็เป็นการจับคู่ราวสวรรค์สร้าง โดยเฉพาะในหอคณิกา บัณฑิตกระทั่งว่าเป็นที่นิยมของแม่นางทั้งหลายมากกว่านักรบเสียอีก เพราะหากกวีบทหนึ่งของบัณฑิตมากรักเลื่องลือไปทั่วหล้า หญิงสาวคนใดหากได้รับบทกวีเช่นนี้ไป ก็จะโด่งดังทันทีในชั่วข้ามคืน ราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป
หลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยนมานั่งอยู่ในโถงใหญ่ของ ‘หอสดับเซียน’
ตำแหน่งของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ ค่อนข้างพิเศษ นับว่าเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในเมืองฉางอันเช่นกัน อีกทั้งยังคุ้นเคยกับหน่วยเลี้ยงรับรองเป็นอย่างดี อาศัยแค่ใบหน้าก็เข้ามาได้แล้ว แม่เล้าของหอสดับเซียนเป็นสาวงามที่ดูแล้วน่าจะประมาณสามสิบปี รัศมีบริสุทธิ์ไร้มลทิน มายิ้มต้อนรับด้วยตัวเอง
เดิมจะพาทั้งสองไปยังห้องที่ดีที่สุด แต่หลี่มู่กลับปฏิเสธ
เขาแค่มาสัมผัสบรรยากาศแบบผ่านๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอะไรจริง ดังนั้นนั่งอยู่ที่โถงใหญ่จะสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งกว่า
“คุณชายเชิญตามสบาย หากต้องการอะไร เรียกข้าได้ทุกเมื่อนะเจ้าคะ” แม่เล้านามไป๋เซวียนพูดยิ้มๆ
ที่จริงแล้ว ไป๋เซวียนอายุประมาณแค่สามสิบเท่านั้น ร่างกายอวบอิ่มสูงโปร่ง ผิวขาวเนียนราวหยก หน้าตางดงามเป็นอย่างยิ่ง บุคลิกราวกับหิมะขาว ให้ความรู้สึกว่าไร้มลทิน ยากที่จะเชื่อมโยงหญิงงามเช่นนี้กับแม่เล้าหอคณิกาจริงๆ ต่อให้บอกว่านางเป็นสตรีตระกูลชั้นสูงก็ไม่มากเกินไป
หลี่มู่พยักหน้าพลางยิ้ม ไม่ได้ตอบกลับ
ไป๋เซวียนก็ไปต้อนรับแขกคนอื่นต่อ
แน่นอน แขกที่ควรค่าให้นางออกไปต้อนรับด้วยตัวเองมีไม่มากนัก
เมื่อไปจากโต๊ะของเจิ้งฉุนเจี้ยนและหลี่มู่ ในใจของไป๋เซวียนยังแอบเดาว่าเด็กหนุ่มที่ดูละอ่อนผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกัน ถึงขนาดให้เจิ้งฉุนเจี้ยนคนสำคัญแห่งที่ว่าการเจ้าเมืองต้องอยู่เป็นเพื่อน อีกทั้งดูท่าทางแล้ว ฐานะและตำแหน่งยังอยู่เหนือกว่า เด็กหนุ่มยังไม่ไว้ผมยาว ผมสั้นเหมือนพระ ทำให้ดูองอาจ หว่างคิ้วมีความเชื่อมั่นในตัวเองฉายชัด ลำพังแค่บุคลิกเช่นนี้ น่ากลัวว่าความเป็นมาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
ไป๋เซวียนดูแลกิจการหอสดับเซียนมานานหลายปี ความสามารถในการฟังน้ำเสียงดูสีหน้ามาถึงขั้นช่ำชอง ปราดเดียวก็มองความไม่ธรรมดาของหลี่มู่ออก
นางเรียกผู้ดูแลคนสนิทสามสี่คนที่รับผิดชอบความเรียบร้อยของโถงใหญ่ชั้นหนึ่งมา กระซิบบอกให้พวกนางจับตาดูหลี่มู่เอาไว้ ห้ามล่วงเกินเขาเป็นอันขาด จะต้องดูแลให้ดี จากนั้นไป๋เซียนจึงได้วางใจลงบ้าง
นางแอบจำหน้าตาของหลี่มู่เอาไว้แล้ว
เพราะนางมีลางสังหรณ์ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นบุคคลที่เยี่ยมยอด วันข้างหน้าอาจมาอีกก็ได้
หลี่มู่กลับไม่ได้สนใจรายละเอียดมากมายพวกนี้
หลังจากเขาประจำที่นั่งแล้วก็จงใจทำเป็นสงบนิ่ง มองประเมินสิ่งก่อสร้างของตบแต่งในหอสดับเซียนไปรอบๆ
หอสดับเซียนเป็นดั่งที่เจิ้งฉุนเจี้ยนว่าเอาไว้จริง เป็นหอศิลป์ ไม่เห็นสตรีที่ประโคมแต่งเนื้อแต่งตัว การแต่งกายเรียบหรูงดงาม ราวกับหอสมุดแผ่กลิ่นหอมของห้องหนังสือที่งามสง่าสูงส่ง เด็กรับใช้ชายหญิงที่เห็นอยู่รอบๆ ก็แต่งตัวเหมือนบัณฑิต ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนโยน ไม่มีมีอาการยั่วยวนแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งทำให้ใจเต้นโครมคราม
หอสดับเซียนแบ่งเป็นสามชั้น
หลังคาโค้งของชั้นสามราวชามแก้วใบมหึมา เป็นหลังคาที่โปร่งแสง ตอนนี้แสงจันทร์กระจ่างขึ้นเรื่อยๆ ดวงจันทร์ทั้งสองลอยเด่น แสงจันทร์นวลผ่องส่องผ่านกระจกสาดเงาลงไปยังโถงใหญ่ชั้นหนึ่งดุจหิมะขาวโพลน ยิ่งเพิ่มความรู้สึกสูงส่งบริสุทธิ์ขึ้นอีกหลายส่วน
โถงใหญ่ชั้นหนึ่งเหมือนกับภัตตาคาร โต๊ะไม้แดงขนาดเท่ากันห้าสิบหกตัวที่ตั้งแยกกัน ตอนนี้โดยพื้นฐานมีแขกเต็มเกือบหมดแล้ว มีอาหารและสุราเลิศรสดั่งภัตตาคาร ทั้งยังมีการแสดงดนตรีและการร่ายรำบนเวทีกลางห้องด้วย
บนเวที สาวงามแรกแย้มอายุน้อยกว่าสิบหกทุกคนราวกับเซียนเหยาฉือ รูปแบบการแสดงงามอ่อนช้อยยิ่งนัก แสงจันทร์สาดส่องกระทบลงมายังเวทีนี้พอดี ทำให้สาวงามเหล่านี้เป็นดั่งเซียนวังจันทราที่ลอยล่อง ทำให้ใจคนสั่นไหว
แน่นอน การแสดงทั้งหมดนี้เป็นการแสดงทั่วไป
กฎของหอสดับเซียนคือ นางคณิกาชั้นสูงที่ออกแสดงจะขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง…อันที่จริงหญิงสาวแทบทั้งหมดในหอสดับเซียนเป็นเช่นนี้ เว้นแต่จะสมัครใจเอง มิฉะนั้นแล้ว โดยทั่วไปก็ไม่มีเรื่องที่บังคับให้หญิงสาวมารับแขกอะไรแบบนี้เกิดขึ้น ความเป็นมาเบื้องหลังของไป๋เซวียนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
เวลาผ่านไป
เวลาประมาณสองทุ่มของบนโลก ทั้งโถงใหญ่ก็มีคนนั่งเต็ม พูดได้ว่าเต็มจนล้น มีแขกหาความสำราญที่มาช้าบางคนไม่มีที่นั่ง จึงทำได้แค่ยืนอยู่ในโถงใหญ่
“สืบมาชัดแล้ว ที่แท้คืนนี้เป็นวันเผยตัวทุกสิบวันของแม่นางฮวา นางคณิกาอันดับหนึ่งของหอสดับเซียน ดังนั้นจึงดึงดูดคนมามากถึงเพียงนี้” เจิ้งฉุนเจี้ยนเดินวนทั่วโถงใหญ่รอบหนึ่งแล้วจึงกลับมาบอกหลี่มู่
แม่นางฮวาคือนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอสดับเซียน ชื่อในวงการคือฮวาเสี่ยงหรง ว่ากันว่าเดิมคือคุณหนูใหญ่ตระกูลพ่อค้าที่มีเชื้อสายของราชวงศ์ ชื่อตัวคือซ่างกวนอวี่ถิง รูปโฉมเป็นหนึ่ง งดงามหยาดเยิ้ม อีกทั้งกายมีกลิ่นหอมสามารถเรียกผีเสื้อมาได้ นางเป็นสาวงามที่ชื่อเสียงโด่งดัง ฉลาดหลักแหลม ชำนาญการขับกลอนร้องเพลง มีความสามารถด้านงานประพันธ์มาก น่าเสียดายสาวงามชะตาอาภัพ ชีวิตตกระกำลำบาก ปีนั้นที่นางอายุสิบสี่ ตระกูลซ่างกวนถูกดึงเข้าไปในคลื่นพายุการปกครอง โดนริบทรัพย์ ครอบครัวบ้างโดนเนรเทศ บ้างโดนประหาร ส่วนนางถูกส่งมาเป็นนางคณิการของทางการ โชคร้ายตกมาอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรอง ดีที่แม่เล้าไป๋เซวียนแห่งหอสดับเซียนรับเอาไว้ จึงยังรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ หลายปีมานี้โดดเด่นขึ้นมาจนมีชื่อ และเป็นหนึ่งในคนที่จะช่วงชิงตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเมืองฉางอัน
“สามเดือนก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าทำไมแม่นางฮวาที่ตลอดมาขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง ทุกวันจะร่ายรำแค่เพียงเพลงเดียว กลับประกาศเผยตัวโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทุกเดือนสามครั้ง ไม่ขอเงินทอง ไม่ต้องการของล้ำค่า ไม่สนหน้าตา ขอเพียงแต่งกลอนกวี นางประกาศต่อภายนอกว่า ขอแค่มีผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นแต่งกลอนทำให้ใจนางหวั่นไหวได้ ก็จะเป็นแขกคนพิเศษ สามารถเข้าไปในห้องนาง และร่วมค่ำคืนอันงดงามด้วยกันได้” เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ยเสริมอีกหน่อย
การเผยตัวที่ว่าคล้ายกับหญิงคณิการับแขก แต่ก็ไม่เหมือนกันทั้งหมด รับแขกหมายถึงนับจากนั้นจะเริ่มรับลูกค้า สิ้นสุดวันที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง ต้องรับสิ่งที่หอคณิกาจัดการให้ในขอบเขตและเงื่อนไขระดับหนึ่ง แต่เผยตัวคือตัวฝ่ายหญิงตัดสินใจเอง เลือกแขกตามแต่ใจของตัวเอง อีกทั้งไม่จำเป็นต้องทอดกาย โดยรวมคือดื่มชา พูดคุย ร่ายรำ หรือแต่งกลอน
พูดง่ายๆ ก็คือคบเป็นสหายกันก่อน หากมีรสนิยมเหมือนกัน ถูกตาต้องใจ จะสมัครรักใคร่กันก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วแต่ความต้องการของตัวฝ่ายหญิงเอง หอคณิกาจะบังคับไม่ได้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แม่นางที่สูงส่งราวเทพธิดา หากเผยตัวและชายคนอื่นเข้าไปในห้องของนางเมื่อใด มักทำให้คนรู้สึกว่าบางทีเทพธิดาอาจนอนกับคนอื่นไปแล้ว ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนในวันวาน ดังนั้นนางคณิกาอันดับหนึ่งที่กำลังดังมากมาย ก่อนรับแขกโดยปกติแล้วจะไม่เลือกเผยตัว เพราะทำเช่นนี้จะทำให้ราคาของตัวเองตกลง
“แม่นางฮวาเผยตัวมาแล้วสามเดือน ยังไม่มีใครใช้กลอนทำให้นางประทับใจ จนเข้าไปในห้องของนางได้” เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดยิ้มๆ “คุณชายมีความสามารถไร้เทียมทาน คืนนี้อาจจะลองสักหน่อยได้”
หลี่มู่ถูจมูกพลางหัวเราะ
‘ความสามารถไร้เทียมทานบ้าบออะไรกัน ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ บทนั้น ตูลอกมาจากปราชญ์เมธีบนโลกเข้าใจไหม?’
เขาแค่อยากจะมาดูหอคณิกา ความสามารถด้านนั้นไม่ได้เรื่องสักนิด ไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนี้เลย ดังนั้นหลี่มู่จึงไม่คิดร่วมการช่วงชิงในคืนนี้ที่ว่า
แต่กลับเป็นเพราะประโยคนี้ของเจิ้งฉุนเจี้ยน เรียกคำหยามหมิ่นจากโต๊ะข้างๆ
“เหอะๆ มีความสามารถไร้เทียมทาน คำคุยโวแบบนี้ก็กล้าพูดออกมาได้ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย”
“ช่วงนี้ ใครก็กล้าพูดคุยโวโดยไม่ดูกาลเทศะจริงๆ”
โต๊ะด้านข้างมีชายหนุ่มสวมชุดแพรห้อยหยกประดับมองหลี่มู่เขม็ง เห็นเขาอายุน้อยนัก ทั้งยังสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ บนตัวก็ไม่มีหยกประดับมีค่าอะไร คิดว่าเป็นบัณฑิตไส้แห้งที่หวังจะมีชื่อเสียงโด่งดังจากงานครั้งนี้ จึงเอ่ยคำแดกดันถากถางโดยไม่กังวลใดๆ “เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังกล้ายกยอตัวเองว่ามีความสามารถไร้ใครเทียมในสถานที่แบบนี้ หน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ”
……………………………………………………