จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 161 เรื่องแดงออกมาแล้ว?
นักดนตรีในห้องถอยหลัง แล้วหันกายจากไป
“คุณหนู ท่าน…เฮ้อ จะให้ข้าว่าท่านอย่างไรดี” ซินเอ๋อร์ทำท่าทางเคียดแค้นชิงชัง “คุณหนู ท่านคงไม่ได้หวั่นไหวกับบัณฑิตน้อยคนนี้จริงหรอกกระมัง?”
ฮวาเสี่ยงหรงยิ้มละมุน นั่งลงบนพื้นอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์แม้แต่น้อย ผมสลวยทิ้งตัวแผ่ไปบนพื้น กระดกปลายเท้าขาวกระจ่างอย่างซุกซน “เป็นอะไรไป น้องสาวคนดีของข้า เขาไม่ใช่คนที่ควรค่าให้ใจหวั่นไหวหรืออย่างไร? เขาไม่ดีหรือ?”
“ดีน่ะดี แต่…เฮ้อ” ซินเอ๋อร์ท่าทางโมโหที่นางไม่ได้เรื่อง “แต่พวกท่านเพิ่งเคยพบกันครั้งแรกเท่านั้น”
“คนบางคนเจอกันหลายครั้งก็ไม่มีความหมาย แต่บางคนเพียงพบครั้งเดียวก็พอแล้ว” ฮวาเสี่ยงหรงหัวเราะ ขยับเท้าขาวผ่อง กระดิกข้อเท้าเรียวและนิ้วเท้าขาวเนียนละเอียดไปมา
อย่างไรเสียนางก็เป็นแค่สาวน้อยอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น ยังคงหลงมีจิตใจอย่างเด็กสาวอยู่ ยามที่ไม่มีคนนอกก็มีด้านซุกซนเจ้าเล่ห์
“คุณหนู ท่านโดนยาพิษแล้วชัดๆ” ซินเอ๋อร์พร่ำบ่น “ซินเอ๋อร์ยอมรับ คุณชายคนนี้ หากเป็นในอดีตก็เป็นคนที่ฝากชีวิตไว้ได้จริงๆ ข้าไม่คัดค้านแน่นอน แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว พรรคจันทราโลหิตบีบเข้ามาทุกที…เฮ้อ หากเขามีอำนาจมีพลัง บางทีอาจช่วยท่านได้ แต่เขาเป็นแค่บัณฑิตยากจนเท่านั้น มีใจแต่ไร้กำลัง ต่อให้ความสามารถดีเท่าไหร่ เป็นคนดีเท่าไหร่ แล้วจะมีประโยชน์อะไร”
ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มในแววตาของฮวาเสี่ยงหรงหม่นลงไปทันที
ความรู้สึกนั้นเหมือนเทียนที่ถูกลมพัดดับอย่างไร้เยื่อใย ทั้งร่างราวกับดอกไม้เหี่ยว ไร้แสงประกายทันที
นางกัดริมฝีปาก ฟันขาวสะอาดดุจไข่มุก ใบหน้าฉายแววไม่ยินยอมขณะเงียบงัน
ซินเอ๋อร์ลนลานแล้ว รีบพูดขึ้นว่า “คุณหนู ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้า…”
ฮวาเสี่ยงหรงเงยหน้าขึ้น ยิ้มเล็กน้อย “ข้ารู้ เด็กโง่ ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร และก็รู้ว่าเจ้าหวังดีต่อข้า ใช่แล้ว ข้าติดตามเขาไปไม่ได้ เพราะนั่นจะทำร้ายเขา สาวงามนำมาซึ่งหายนะ ข้าทำร้ายเขาไม่ได้…วางใจเถอะ กว่าจะถึงเส้นตายยังมีเวลาอยู่บ้าง ข้าแค่พบหน้าคุณชายไม่กี่ครั้ง เมื่อถึงเส้นตายแล้วจะไม่พบหน้าเขาอีก”
ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะจมอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ นางอยากหลงเหลือความทรงจำอันงดงามเอาไว้ให้ตัวเอง
ความต้องการเล็กน้อยด้อยค่าแบบนี้ คงไม่นับว่าเกินไปกระมัง?
มิฉะนั้น เมื่ออยู่ในหุบเหวแห่งความสิ้นหวังที่มืดมิดที่สุด มองไม่เห็นแม้เสี้ยวแสงสว่างแล้วจริงๆ จะมีอะไรมาปลอบประโลมวิญญาณที่บาดเจ็บทุกข์ทรมานกันเล่า?
……
เมื่อหลี่มู่เดินลงมาจากบันได ในโถงใหญ่หอสดับเซียน ผู้คนก็ยังคงเนืองแน่นเช่นเคย
คนมุงทั้งหลายก่อนหน้านี้ไม่มีทีท่าจะแยกย้าย อีกทั้งดูแล้วจำนวนคนมากกว่าทีแรกเยอะด้วย
ครั้นเห็นหลี่มู่ปรากฏตัวขึ้น ฝูงชนก็ฮือฮา ราวกับโยนน้ำแข็งลงไปในหม้อที่น้ำมันร้อนเดือด บรรยากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงทันที
“ออกมาแล้วๆ”
“กว่าจะออกมา นานขนาดนี้เชียว?”
“รับไม่ได้ แม่นางฮวาคงไม่ได้….ไปแล้วหรอกนะ”
“เทพธิดาของข้าโดนย่ำยีแล้ว”
มีคนร้องคร่ำครวญ
ฮวาเสี่ยงหรงเมื่อก่อนสูงส่งบริสุทธิ์ ประดุจเทพธิดาในวังเซียน เพราะไม่เคยมีชายใดได้เข้าไปในห้องของนาง แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว
ชายที่เดินลงมาจากชั้นบนอย่างเนิบช้าเบื้องหน้าคนนี้ เดินลงมาจากห้องของฮวาเสี่ยงหรง ไม่ว่าข้างในจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ แต่สำหรับหลายคนมีนัยว่าเทพธิดาผู้สูงส่งในวันวานตกลงสู่ผืนดิน ไม่สูงส่งบริสุทธิ์อีกแล้ว
“ถุย เจ้าคนจอมปลอมลวงโลก ในที่สุดก็กล้าออกมาแล้วรึ” หัวหน้าสำนักบัณฑิตหลินชิวสุ่ยที่รออยู่นานก้าวเท้ามาอย่างรวดเร็ว ขวางหลี่มู่เอาไว้ “เจ้าคนจน เรื่องที่เจ้าคัดลอกผลงานแดงออกมาแล้ว”
คัดลอก?
เล่นลูกไม้อะไรอีกแล้วรึ?
หลี่มู่มองบัณฑิตหนุ่มคนนี้อย่างไร้อารมณ์
การแสดงและคำท้าท้าที่ย่ำแย่เหมือนตัวตลก ไม่ได้ทำให้หลี่มู่รู้สึกโกรธ
พญามังกรเคยสนใจการท้าทายจากมดปลวกตัวหนึ่งที่ไหนกัน
เขาแค่รู้สึกว่าน่าหัวร่อและน่าสมเพชเท่านั้นเอง
หลี่มู่เดินอ้อมหลินชิวสุ่ยออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
คืนนี้ เขาชมการร่ายรำของฮวาเสี่ยงหรงแล้วเกิดบรรลุ เปิด ‘เนตรสวรรค์’ ได้แล้ว ต้องรีบกลับไปยัง ‘เรือนซอมซ่อ’ ขบคิดจัดระเบียบให้ดีๆ ไม่อยากจะวุ่นวายกับตัวประกอบในเรื่องแบบนี้ต่อ
ทว่า คนไม่มีใจคิดทำร้ายเสือ แต่เสือมีใจจะทำร้ายคน
หลิวมู่หยางแห่งสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ก้าวขึ้นมา ดักทางหลี่มู่ไว้อีก “ทำไม? กลัวแล้วรึ? คิดจะหนีหรือ? หึๆ คัดลอกผลงานของผู้อื่น พอเด่นดังแล้วก็จะหนี? บนโลกมีเรื่องดีๆ แบบนั้นที่ไหนกัน”
หลี่มู่ขมวดคิ้ว
ความรู้สึกหมดความอดทนเอ่อล้นในใจ
เขาหันหน้ากลับไปที่โต๊ะก่อนหน้านี้ กลับพบว่าเจิ้งฉุนเจี้ยนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะล้วนเป็นลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ตอนนี้ใบหน้าของแต่ละคนต่างเผยรอยยิ้มสะใจบนความทุกข์คนอื่น มองมายังตนคล้ายท้าทาย
“ทำไม? ไม่กล้าพูดแล้ว?”
“หึๆ ถูกเปิดโปงแล้วจนคำพูดเลยล่ะสิ”
เหล่าบัณฑิตของทั้งสองสำนักต่างเอะอะโวยวาย
“เจ้ายาจก ข้าเชิญพยานมาแล้ว สามารถพิสูจน์ได้ว่ากลอนสาวงามบทนั้นของเจ้าเป็นการคัดลอกมา คราวนี้เจ้าพูดอะไรไม่ได้แล้ว” หลินชิวสุ่ยหัวเราะเสียงเย็นเยือกชวนขนลุก เดินมาพูดว่า “วันนี้ข้าจะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย”
พยาน?
นอกเสียจากเป็นคนบนดาวโลก หรือเป็นหลี่เหยียนเหนียนในยุคพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ฟื้นคืนชีพ มิฉะนั้นจะมีพยานบ้าบออะไรได้ที่ไหนกัน
หลี่มู่ไม่อยากพูดมากความ กำหมัดขึ้นเตรียมซัดบัณฑิตรนหาที่ตายคนนี้ให้กระเด็น แต่พลันคิดอะไรขึ้นได้ สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์อยู่ในเมืองฉางอันก็นับเป็นขั้วอำนาจใหญ่ หากล่วงเกินไป ตัวเองไม่จำเป็นต้องกลัว แต่จะทำให้ฮวาเสี่ยงหรงลำบากใจหรือชื่อเสียงเสียหายหรือไม่?
ในช่วงที่หลี่มู่กำลังลังเล ในกลุ่มคนก็มีชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งเดินออกมา
ชายชราคนนี้ดูแล้วประมาณห้าสิบกว่า สวมชุดบัณฑิตสีขาว ใบหน้าผอมซูบ มีลักษณะท่าทางทรงภูมิและสง่างาม เห็นแล้วชวนให้คนเกิดความรู้สึกดีๆ ด้วย แต่คำพูดของเขากลับชั่วร้ายยิ่งนัก
“ทุกท่าน ข้าคือเจินหย่วนเต้า อาจารย์อันดับหนึ่งของชั้นปีที่สี่แห่งสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ มาที่นี่เพื่อเป็นพยานใน วันนี้ ‘กลอนสาวงาม’ ที่สหายน้อยผู้นี้แต่งขึ้นนั้นคัดลอกผลงานของข้ามา” ชายชราแนะนำตัว ใบหน้าประดับรอยยิ้มบาง “เมื่อหลายวันก่อน ยามข้าเริ่มเมาในเหลาสุราแห่งหนึ่ง ได้พบหญิงงามเดินผ่านหน้าต่างไป ดังนั้นจึงอดใจไว้ไม่ไหว เกิดอารมณ์กวีขึ้นมา แต่ง ‘กลอนหญิงงาม’ บทนี้ขึ้นแล้วเขียนไว้บนกำแพง ข้าภาคภูมิใจยิ่งนัก บางทีตอนนั้นสหายน้อยผู้นี้อาจจะอยู่ในเหลาสุรา และได้เห็นกลอนบทนี้เข้า คืนนี้จึงนำมาใช้ที่หอสดับเซียน ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก”
ยังพูดไม่ทันจบ ทั่วทั้งโถงใหญ่ก็แตกตื่นฮือฮากันทันที
เจินหย่วนเต้าแห่งสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ ในแวดวงวรรณกรรมของเมืองฉางอันก็มีชื่อเสียงอยู่มาก เคยแต่งบทประพันธ์ดังอย่าง ‘ลำนำจับศาสตรา’ ‘บทสรรเสริญดาราสุริยัน’ ถึงแม้จะไม่ใช่บทประพันธ์อมตะ แต่ก็ถือว่าโด่งดังอยู่ในช่วงหนึ่งเช่นกัน ในแวดวงวรรณกรรมของเมืองฉางอัน ชื่อของคนคนนี้จัดอยู่ในสิบอันดับแรกได้ นับว่าเป็นหนึ่งในแถวหน้าของวงการวรรณกรรมเมืองฉางอัน
เมื่อเขาออกมาพูด ทุกสิ่งก็แตกต่างออกไปทันที
“ที่แท้ก็ลอกมาจริงๆ ด้วย”
“ข้าว่าแล้วไหมเล่า บทกลอนแบบนี้รังสรรค์ขึ้นด้วยฝีมือของท่านเจินถึงจะสมเหตุสมผล”
“ช่างไร้ยางอายนัก ใช้บทกวีของท่านเจินมาอวดอ้างหลอกลวง”
“ซ้ำยังหลอกลวงแม่นางฮวาอีกด้วย อภัยให้ไม่ได้ จับมันเอาไว้ แล้วใช้ม้าแยกร่าง ลงทัณฑ์ทัณฑ์พันมีดหมื่นแล่”
คนในโถงใหญ่เดือดพล่านภายใต้การยุแยงจากบัณฑิตทั้งสองสำนัก
“ฮ่าๆ ข้ายังนึกว่าเป็นอัจฉริยะยอดเยี่ยมจากไหน ที่แท้ก็เป็นพวกลวงโลกคนหนึ่ง ฮ่าๆๆ ช่างน่าอับอายที่รวมกลุ่มอยู่กับเจ้าแท้ๆ” ชายอวดดีซ่งชิงเฟยได้ทีขี่แพะไล่ แค่นเสียงหยันอยู่อีกด้าน
หลิวมู่หยางแห่งสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ยิ้มมุมปากเย็นชา แต่ในใจกลับไม่สบอารมณ์
เพราะเขาก็มีความคิดเหมือนกัน ดังนั้นจึงเชิญเจี่ยจั้วเหรินอาจารย์ผู้มีบุญคุณมา เสียดายที่เจินหย่วนเต้าตัดหน้าไปก่อน เห็นเจินหย่วนเต้าแห่งสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ชิงชื่อเสียงของบทกลอนอมตะไปต่อหน้า ทำให้เขาไม่ค่อยสบอารมณ์จริงๆ
“ตีมันให้ตาย”
“ถอดเสื้อมัน จับแขวนไว้”
ในฝูงชน บัณฑิตอ้วนเตี้ยแห่งสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ตะโกนได้อารมณ์ที่สุด
แน่นอน ไม่ใช่ว่าคนทั้งหมดล้วนเป็นคนโง่
ย่อมมีบางคนที่มองออกมา คำพูดของเจินหย่วนเต้ามีช่องโหว่
เพราะบทกลอนอมตะ ต่อให้เขาบังเอิญแต่งออกมาได้ แล้วเขียนไว้บนกำแพงเหลาสุรา แต่เมื่อหลายวันผ่านไปก็มากพอจะลือกันไปทั่วแล้ว กลอนแบบนี้เป็นบทกลอนมีเสน่ห์ สามารถแพร่สะพัดไปอย่างบ้าคลั่งได้ แต่ทำไมหลายวันที่ผ่านมานี้กลับไม่มีข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องเลย?
อีกทั้ง หากกลอนเป็นของเจินหย่วนเต้าจริง เช่นนั้นทำไมหลินชิวสุ่ยลูกศิษย์สายตรงของเขาจึงไม่พูดออกมาตอนนั้นเลย กลับเพิ่งไปเชิญอาจารย์มาเปิดโปงเด็กหนุ่มหลังจากถูกหักหน้าไปเป็นเวลานานแล้ว? นี่ก็รู้ตัวช้าไปแล้วกระมัง
ทว่า ต่อให้มองอะไรออก ก็ไม่มีใครกล้าเปิดโปง
ในเมื่อแวดวงวรรณกรรมของเมืองฉางอัน สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์มีตำแหน่งสูงมาก ควบคุมกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชนไว้ อำนาจของคำพูดอยู่ที่ปากพวกเขา หากตั้งข้อสงสัยในตอนนี้จะสร้างความแค้นกับสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ได้โดยง่าย ถึงตอนนั้นก็ลำบากแน่แล้ว อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนี้บุ่มบ่ามเกินไป ล่วงเกินขั้วอำนาจด้านวรรณกรรมอย่างสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์และเสียงวิหคสวรรค์ในคราเดียว นั่นยิ่งเท่ากับหาที่ตายเอง
เฮ้อ บนโลกนี้มีเรื่องไม่ยุติธรรมมากมายแบบนี้แล
จะทำอย่างไรได้?
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะมีคนมีปัญญามากมายมองเห็นเงื่อนงำ แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น
“สหายน้อย เห็นแก่ที่เจ้ายังเด็ก ไม่รู้เรื่องราว ก็ไม่อยากจะว่ากล่าวเจ้าจนเกินไป บางทีเจ้าอาจจะวู่วามไปชั่วขณะ จึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา” หนวดเคราและผมของเจินหย่วนเต้าเป็นสีดอกเลา ใบหน้าผอมซูบ มีลักษณะบุคลิกอย่างผู้สูงส่ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มบาง ท่าทางเมตตาโอบอ้อมอารี “ขอเพียงแค่เจ้ายอมรับว่ากลอนบทนี้คัดลอกข้ามา เช่นนั้น วันนี้ข้าจะจบเรื่องลงแค่นี้ เมื่อเจ้ายอมรับผิด ข้าจะปล่อยให้เจ้าจากไปอย่างปลอดภัย”
“เห็นหรือยัง นี่สิถึงจะเป็นท่าทีของปรมาจารย์งานวรรณกรรมที่แท้จริง”
“ปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์ จิตใจกว้างขวางนัก”
เหล่าลูกคู่สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่อยู่ข้างล่างรีบเอ่ยยกยอโดยไม่พลาดโอกาส
……………………………………………………