จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 162 วู่วาม?
หลี่มู่หัวเราะ
เขาก็คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนหน้าหนาไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้จริง
ท่าทางของอีกฝ่ายมีฐานะตำแหน่งสูง แต่กลับทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ มันช่าง….
หากเปลี่ยนเด็กหนุ่มคนอื่น บางคนอาจตกใจกลัวกับคำพูดถากถางแบบนี้ อาจจะลังเลคิดว่ายอมรับผิดก็ไม่เป็นอะไร อย่างดีก็ถือว่าให้กลอนบทนี้กับเจินหย่วนเต้าไป ทว่าทำเช่นนั้นจะตกอยู่ในกับดักคำพูดของฝ่ายตรงข้าม ชื่อเสียงเสียหาย ในภายภาคหน้าไม่อาจพลิกชีวิตกลับมาได้แล้ว
‘กลอนสาวงามของข้าก็ลอกเขามาจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ได้ลอกเอ็งโดยเด็ดขาด
ตาแก่นี่ก็ช่างกล้า’
แต่เดิมหลี่มู่ไม่คิดจะพูดจาด้วยเหตุผลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงกำลังจะลงมือ…
ทว่าในเวลานี้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางบันได
“เป็นไปไม่ได้ คุณชายคนนี้ไม่มีทางลอกงานเด็ดขาด อาจารย์เจินเกรงว่าคงจะเข้าใจผิดแล้ว” เป็นเสียงอ่อนหวานที่คุ้นเคย ฮวาเสี่ยงหรงในชุดผ้าขาวโปร่งบางเดินลงมาจากบันไดอย่างเนิบช้า โดยมีแม่เล้าไป๋เซวียนแห่งหอสดับเซียนเดินมาด้วย
หืม?
นางลงมาอย่างนั้นรึ
หลี่มู่คาดไม่ถึงเล็กน้อย
แต่ทว่า คิดในอีกมุมหนึ่ง น่าจะเป็นเพราะเสียงโหวกเหวกข้างล่างนี้ดังเอะอะเหลือทน ดังนั้นจึงทำให้ฮวาเสี่ยงหรงที่อยู่ชั้นสามตกใจ
สาวน้อยคนนี้มีน้ำใจเสียจริง แม้แต่ชุดยังไม่ได้เปลี่ยนให้ดีก็ลงมาแก้ต่างให้ตนแล้ว
ใบหน้าของหลี่มู่เผยรอยยิ้ม
และในตอนนี้ ทั่วทั้งโถงใหญ่ชั้นหนึ่งแตกตื่นฮือฮา
ไม่นึกว่าแม่นางฮวาจะลงจากชั้นบนมาแล้ว
หลายคนที่อยากยลโฉมมานานแล้วตื่นเต้นขึ้นมาทันที
นี่เป็นโอกาสที่ยากจะพบพาน ในที่สุดก็จะได้ยลโฉมนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอสดับเซียนในตำนานแล้ว
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมองไป
หลินชิวสุ่ย หลิวมู่หยาง และซ่งชิงเฟยทั้งสามคนสีหน้าเคร่งขรึมทันที
พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ฮวาเสี่ยงหรงจะเผยหน้าเผยตัวเพื่อบัณฑิตตัวเล็กๆ แบบนี้ ซ้ำยังช่วยเขาพูดแก้ต่างอีก นี่ทำให้พวกเขาทั้งตกใจทั้งโมโห
สายตาของเจินหย่วนเต้าหยุดอยู่ที่ใบหน้าฮวาเสี่ยงหรง สีหน้าตะลึงเพราะความงามปรากฏขึ้นแล้วหายวับไป ในใจเกิดความร้อนรุ่มอย่างอดไม่ได้ รูปโฉมของสตรีผู้นี้ทำให้เขาตกตะลึงเช่นกัน
“ที่แท้เป็นแม่นางฮวานี่เอง” เขาปกปิดความปรารถนาในใจตนเองอย่างระมัดระวัง หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดขึ้น “แม่นาง เกรงว่าสหายน้อยผู้นี้จะปิดบังเจ้าแล้ว กลอนสาวงามบทนนั้นเป็นผลงานของข้าหลังจากเมามายจริงๆ วันนั้น…”
ฮวาเสี่ยงหรงตัดบทคำพูดเขาทันที “อาจารย์เจินน่าจะดื่มไม่เก่ง ดังนั้นความจำจึงเลอะเลือน ข้าเชื่อว่ากลอนสาวงามต้องเป็นผลงานของคุณชายผู้นี้แน่นอน คุณชายมีคุณธรรมสูงส่ง ความสามารถด้านกลอนกวีเป็นเลิศ ไร้ใดผู้เทียบเทียม ไม่มีทางทำเรื่องคัดลอกกลอนเด็ดขาด”
เจินหย่วนเต้าอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตามีแววโมโหพาดผ่าน
ตอนนี้ เจี่ยจั้วเหรินอาจารย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด ใบหน้าอมยิ้ม ลูบเคราของตน พลางก้าวออกมาเอ่ย “แม่นางฮวาเอ่ยเช่นนี้มีหลักฐานอะไรหรือไม่” ไร้ยางจริงๆ พูดว่าคนอื่นลอก กลับให้นำหลักฐานว่าไม่ได้ลอกออกมา
เจี่ยจั้วเหรินคืออาจารย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ตำแหน่งและชื่อเสียงของเขาไม่ด้อยไปกว่าเจินหย่วนเต้าเลย ทั้งสองสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลังมาตลอด ลูกศิษย์น่าภาคภูมิใจที่สั่งสอนออกมาอย่างหลิวมู่หยางและหลินชิวสุ่ยก็เป็นเช่นนี้
“นี่…” ฮวาเสี่ยงหรงเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นเอ่ย “ความสามารถของคุณชายหายากยิ่งในโลก บนชั้นสามเขาแค่พูดออกไปตามอารมณ์ ก็แต่งกลอนให้กับข้าอีกบท กลอนบทนี้สามารถใช้เป็นหลักฐานได้…ซินเอ๋อร์ นำออกมาเถอะ”
ซินเอ๋อร์เดินมาจากข้างหลังกับสาวใช้อีกคนหนึ่ง คลี่ม้วนกระดาษออกช้าๆ รอยหมึกบนนั้นยังไม่แห้งดี กลอนบทหนึ่งเขียนอยู่บนนั้น เนื้อความว่า ‘เห็นเมฆดั่งเห็นอาภรณ์เจ้าสวมใส่ เห็นโบตั๋นหวนคิดถึงความงามโฉมสะคราญ สายลมสารทฤดูพัดผ่าน แสงจันทร์เด่นขับเน้น งามเลิศล้ำถึงเพียงนี้ หากมิได้พบที่หอสดับเซียน คงได้พบ ณ ตำหนักเหยาไถใต้แสงจันทร์?’
ทุกคนอ่านกลอนบทนี้จบ ก็สูดลมหายใจโดยพลัน
บทกลอนยอดเยี่ยมนัก!
นี่ก็เป็นบทกลอนอมตะอีกแล้ว
อีกทั้งกลอนบทนี้ แค่อ่านก็รู้ว่าเป็นกลอนที่มอบให้ฮวาเสี่ยงหรง ผสานชื่อนางเข้าไปในนั้น ฉากหลังสอดประสาน ใช้รูปแบบทั้งรูปธรรมและนามธรรม นับเป็นผลงานชั้นยอดในผลงานชั้นยอด
นี่เป็นกลอนที่เด็กหนุ่มคนนี้แต่งขึ้นอีกแล้ว?
สายตามากมายมองมาที่หลี่มู่
คนหนึ่งคนแต่งกลอนดีๆ ออกมาได้ก็ยากมากแล้ว แต่งหลายบทนั่นยิ่งยากขึ้นไปอีก
เพราะเรื่องแบบนี้มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่ทำได้
แน่นอน หากเป็นอัจฉริยะจริงๆ แล้วละก็ จะไปลอกผลงานของคนอื่นได้อย่างไร?
สีหน้าของเจินหย่วนเต้าย่ำแย่ไปในทันที
ทว่าเจี่ยจั้วเหรินแห่งสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์กลับไม่รีบไม่ร้อน ก้าวขึ้นมากล่าวยิ้มๆ “ท่าทางแม่นางฮวาจะโดนเจ้าคนหลอกลวงหลอกเอาแล้วจริงๆ กลอนบทนี้ที่ท่านเพิ่งนำออกมาเป็นผลงานที่ข้าได้แรงบันดาลใจจากการชมดอกไม้ในสวน เขียนขึ้นเมื่อเช้านี้เอง…”
ท่ามกลางฝูงชนมีเสียงฮือฮาเป็นแถบ
นี่มันจะหน้าไม่อายเกินไปหน่อยแล้วกระมัง
หากบอกว่าคำพูดของเจินหย่วนเต้าก่อนหน้านี้พอเชื่อถือได้ เช่นนั้นคำพูดของเจี่ยจั้วเหรินตอนนี้ก็ค่อนข้างจะหน้าด้านแล้ว มีเรื่องประจวบเหมาะพอดีขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน กลอนที่เจ้าสรรสร้างออกมา คนอื่นไม่มีใครรู้ แต่เด็กหนุ่มนี่กลับรู้ได้
ฮวาเสี่ยงหรงอึ้งไป
นางคิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนหน้าด้านหน้าทนถึงเพียงนี้ด้วย
ส่วนเจี่ยจั้วเหรินสีหน้าเฉยชา ราวกับไม่ได้ยินเสียงของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดรอบกาย
คืนนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีกลอนอมตะสองบทถูกแต่งขึ้น กลอนสาวงามก่อนหน้านี้เจินหย่วนเต้าศัตรูเก่าแย่งไปแล้ว บทนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
เขาชื่นชอบชื่อเสียง เรื่องแย่งชิงชื่อเสียงด้านกลอน ก่อนหน้านี้ก็ทำมาแล้วไม่น้อย พูดได้ว่าเชี่ยวชาญมาก ต่อให้คนทั้งหลายที่นี่ไม่เชื่อแล้วจะอย่างไร อย่างไรเสียกระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็อยู่ในกำมือของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ขอแค่ต่อไปหาคนบางคนมา สร้างกระแสวิจารณ์ ทำอะไรอีกสักเล็กน้อย ต่อให้เรื่องคืนนี้ลือออกไปก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
“เจ้า…เจ้ามีหลักฐานอะไร? ยืนกรานว่ากลอนของคนอื่นเป็นของเจ้า จะหน้าไม่อายเกินไปหน่อยแล้วกระมัง” ซินเอ๋อร์ตะโกนเสียงดังอย่างอดไม่ได้ นางคัดค้านที่คุณหนูของตนจะทอดกายให้หลี่มู่ แต่นั่นคือการคิดเผื่อคุณหนู ไม่ได้หมายความว่านางสงสัยในความสามารถของเขา
“หุบปาก เป็นแค่สาวใช้หอคณิกาเท่านั้น ต่ำต้อยไร้ค่า ใช่ที่ที่เจ้าจะมาสอดปากเสียที่ไหน ถอยออกไป” เจี่ยจั้วเหรินด่าทอทันใด
ซินเอ๋อร์หน้าแดงจากคำบริภาษ
ใช่แล้ว ฐานะและตำแหน่งของนางเป็นระดับชั้นล่างสุดจริงๆ ยามอยู่ต่อหน้าบุคคลยิ่งใหญ่ในวงการวรรณกรรมเช่นนี้จะมีสิทธิ์พูดอะไร แต่ว่า…มันน่าแค้นใจนัก
“พอแล้ว เรื่องในวันนี้กระจ่างแล้ว เจ้าคนไร้ยางอายผู้นี้ลอกผลงานของอาจารย์สำนักบัณฑิตทั้งสองตามลำดับ แล้วนำมาอวดอ้างหลอกลวงที่นี่ ไร้ยางอายยิ่งนัก” หลิวมู่หยางก้าวออกมาพร้อมสีหน้าได้ใจ มองหลี่มู่อย่างท้าทาย ก่อนเอ่ยข้อสรุปสุดท้ายออกมา “ข้าขอเสนอว่าให้จับเจ้าคนไร้ยางอายส่งทางการ สันดานชั่วช้าแบบนี้ สนับสนุนไม่ได้ จะต้องจัดการให้เด็ดขาด ขจัดหายนะในภายหลัง”
“ใช่แล้ว ให้อภัยไม่ได้”
“สมควรเป็นเช่นนี้”
“จับมันไว้”
“หึ เป็นคนโกหกจริงๆ ด้วย หลอกได้ก็แค่หญิงโคมเขียวโง่เง่าเท่านั้น จะหลอกสายตาพวกเราคนมีการศึกษาได้อย่างไร”
บัณฑิตอ้วนเตี้ยสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์และคนอื่นๆ หัวเราะลั่น
“คุณชาย…” ฮวาเสี่ยงหรงร้อนใจ แววตาร้อนรน สีหน้าตื่นตระหนก คว้าชายเสื้อของหลี่มู่โดยไม่รู้ตัว นางคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ ถึงแม้นางยังเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่ง แต่เมื่อพัวพันถึงเรื่องแบบนี้กลับไร้กำลัง ปกป้องเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่พรสวรรค์ด้านกวีล้นเหลือไม่ได้
หลี่มู่ตบมือฮวาเสี่ยงหรงที่ดึงชายเสื้อของตนไว้เบาๆ สีหน้าเรียบเฉย ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ไม่เป็นไร”
ครั้นภาพนี้ฉายเข้าในตาของหลินชิวสุ่ยข้างๆ เพลิงริษยาในใจเขาลุกโชนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เพื่อให้ได้ตัวฮวาเสี่ยงหรงมา เขาพยายามทำทุกวิถีทาง พยายามสุดความสามารถ เห็นวันนี้จะสมปรารถนาอยู่แล้ว สุดท้ายกลับถูกหลี่มู่แทรกเข้ามาทำลายเรื่องดีๆ กลางคัน ในใจจะไม่แค้นได้อย่างไร ยิ่งเห็นหญิงชายท่าทางสนิทสนม เห็นได้ชัดว่าผ่านรักร้อนแรงมาแล้ว อีกทั้งใบหน้าของฮวาเสี่ยงหรงยังแดงซ่าน เส้นผมหลุดรุ่ย เกรงว่าชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้คงมีความสัมพันธ์กันข้างบนแล้วเป็นแน่…
ทันใดนั้น หลินชิวสุ่ยที่มีใจปรารถนาต่อฮวาเสี่ยงหรงอย่างแรงกล้าพลันโมโหเดือดดาล
“หญิงขายตัวไร้คุณธรรม เล่นละครไร้ความจริงใจ เห็นทีพวกเจ้าชายโฉดหญิงชั่วคงทำเรื่องน่าอับอายอะไรกันแล้ว สาวงามนำมาซึ่งหายนะจริงๆ ฮวาเสี่ยงหรง แต่เดิมข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นหญิงที่มีความสามารถ แตกต่างจากผู้อื่น ใครจะรู้ว่าเจ้าก็เป็นแค่นังแพศยาละโมบลาภยศผลประโยชน์ ข้า…” หลินชิวสุ่ยอดทนไม่ไหวอีกต่อไป อ้าปากด่าด้วยความโมโห
เพียะ!
เสียงฝ่ามือดังกังวานตัดบทคำพูดเขา
ร่างของหลินชิวสุ่ยหมุนคว้างกลางอากาศสามร้อยหกสิบองศา อ้าปากกระอักเลือด ลอยไปกระแทกโต๊ะกลมที่ห่างออกไปกว่าหกจั้งเข้าอย่างจัง สุราสาดกระเซ็นไปทั่ว ถ้วยชามตะเกียบตกกระแทกพื้น
“กรี๊ด…”
มีหญิงสาวหลายคนตกใจจนกรีดร้อง
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึง
หลี่มู่เก็บฝ่ามือกลับมาช้าๆ ขยับนิ้วมือทั้งห้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “ลงมือกับสวะเช่นเจ้า สกปรกมือข้าจริงๆ…”
ในโถงใหญ่เงียบสงัด
ใครก็คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มแต่งตัวธรรมดาๆ ผู้นี้จะลงมือโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
ฝ่ามือเดียวก็ทำให้หัวหน้าบัณฑิตสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ลอยไปราวกับกระสอบผ้า
ใบหน้าของหลินชิวสุ่ยถูกตบจนเหมือนลูกหวงเถา (ลูกพีชเหลือง) ที่สุกจนเน่าหล่นร่วงลงบนพื้น บวมจนไม่ใช่หน้าคน หลังจากอึกๆ อักๆ แล้วก็สลบไป
เจินหย่วนเต้า เจี่ยจั้วเหริน อีกทั้งเหล่าบัณฑิตของทั้งสองสำนักต่างอึ้งตะลึงกันไปหมด
พวกเขาไม่นึกเลยว่าหลี่มู่จะลงมือทำร้ายคนจริงๆ
พอลงมือ เนื้อแท้ของเรื่องราวก็เปลี่ยนไป
ฮวาเสี่ยงหรงก็อึ้งไปเช่นกัน
เมื่อครู่ หลินชิวสุ่ยเอ่ยคำพูดชั่วร้ายใส่นาง นางโกรธจนตัวสั่น ไม่คิดเลยว่าบัณฑิตที่ปกติตามเกี้ยวพาตนอย่างบ้าคลั่ง ทำตัวสุภาพเรียบร้อย ในใจกลับชั่วช้าถึงเพียงนี้ เปลี่ยนธาตุแท้พูดจาร้ายกาจเช่นนั้นออกมา แต่ว่าสิ่งที่นางยิ่งคาดไม่ถึงคือ คุณชายหนุ่มน้อยที่ไร้อำนาจไร้พลังและแต่งกายธรรมดา กลับลงมือทำร้ายคนในสถานที่แบบนี้…
คราวนี้แย่แน่แล้ว
“คุณชาย ท่าน…” ฮวาเสี่ยงหรงร้อนใจ เป็นกังวลต่อความปลอดภัยของเขา
……………………………………………………