จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 163 อึ้งกันไปหมด
ซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็อึ้งไปเหมือนกัน
นางเองก็คิดไม่ถึงว่านักกวีหนุ่มคนนั้นจะเลือดร้อนเช่นนี้ แต่ว่าเรื่องนี้ลำพังแค่เลือดร้อนคงไม่ได้ ฝ่ามือนี้ตบลงไปก็เป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่แล้ว
มีเพียงแม่เล้าไป๋เซวียนแห่งหอสดับเซียนที่ดวงตาฉายแววประหลาด
นางเห็นกับตาตัวเอง หลี่มู่มาโดยมีเจิ้งฉุนเจี้ยนมาเป็นเพื่อน เจิ้งฉุนเจี้ยนเป็นใคร ใจของท่านแม่ไป๋เซวียนรู้ดีเป็นอย่างยิ่ง สามารถให้เจิ้งฉุนเจี้ยนมาเป็นเพื่อนได้โดยทำตัวราวเด็กรับใช้ เด็กหนุ่มที่แต่งตัวธรรมดาคนนี้ต้องมีประวัติความเป็นมาแน่นอน แต่ประวัติความเป็นมาและภูมิหลังจะเป็นขั้วอำนาจใหญ่ที่สั่นคลอนสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ได้หรือไม่ นี่ก็คาดเดากันยากแล้ว
ดังนั้นนางเลือกที่จะสงวนท่าทีไว้ก่อน
ไม่นาน คนทั้งหลายในโถงใหญ่ก็ตั้งสติกลับมา
เจินหย่วนเต้าโมโหอย่างยิ่งยวด ชี้หน้าหลี่มู่ ประกายไฟพุ่งออกจากดวงตา “นี่มันไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เกรงกลัวกฎหมายชัดๆ…ต่อหน้าคนมากมายยังกล้าลงมือทำร้ายคน ใครก็ได้จับเจ้าคนบ้านี่เอาไว้… ”
ยังพูดไม่ทันจบ
ก็เห็นหลี่มู่ยื่นมือออกไป แรงลมไร้รูปร่างหอบม้วนเอาตัวเจินหย่วนเต้าส่งมาถึงฝ่ามือหลี่มู่
เขาบีบคอของเจินหย่วนเต้าไว้ด้วยมือเดียว “ทำร้ายคน? หึๆ”
กร๊อบ
ข้อมือของเขาแค่บิด ก็หักคอของอาจารย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์คนนี้ทันที
“ค่อกๆๆๆ…” ลำคอของเจินหย่วนเต้าส่งเสียงราวกับสัตว์ป่าเผชิญหน้ากับความตาย ร่างของเขากระตุกเหมือนสุนัขถูกตีหลังหัก ดวงตาฉายความหวาดกลัวสุดท้ายออกมา
แม้แต่ฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่าหลี่มู่จะไม่ใช่บัณฑิตมือไร้แรงมัดไก่ แต่เป็นยอดฝีมือ ทั้งยังกล้าลงมือฆ่าคนในสถานที่เช่นนี้จริง
ความตายโจมตีมาดุจคลื่นซัดสาด
เขาแค้นนัก เสียใจยิ่งนัก
แต่ว่าบนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง
ความละโมบเพียงชั่วครู่ คิดจะอาศัยฐานะและตำแหน่งของตนช่วงชิงบทกลอนของผู้อื่น กลับตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจินหย่วนเต้าหวาดกลัวและเสียใจอย่างสุดซึ้ง สุดท้ายก็ขาดใจตายไป
ตุบ!
หลี่มู่โยนศพของเจินหย่วนเต้าลงบนพื้นไปตามอารมณ์
ลงมือ ฆ่าคน!
เหตุการณ์ทั้งหมดราวเมฆคล้อยน้ำไหล ไม่เร็ว แต่ก็ไม่มีเวลาให้คนทั้งหมดรอบๆ ตั้งตัว
คราวนี้ทั้งโถงใหญ่เงียบกริบ เงียบสงัดโดยสมบูรณ์
หากพูดว่าก่อนหน้านี้ตบหลินชิวสุ่ยลอยกระเด็นทำให้คนโมโหตกใจ เช่นนั้นตอนนี้สังหารเจินหย่วนเต้า ความรู้สึกที่นำมาให้ทุกคนก็เป็นความหวาดกลัว
ลูกศิษย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่โหวกเหวกสุดเสียงราดน้ำมันบนกองเพลิงเหล่านั้นตัวสั่นเทิ้ม ราวบิดามารดาตาย แต่ละคนอุดปากเอาไว้ กลัวว่าหากส่งเสียงออกมาอีกเพียงนิดจะดึงความสนใจจากเด็กหนุ่มคนนี้
และในเสี้ยวขณะนั้น ทุกคนถึงจะตั้งสติกลับมาได้ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นลูกแกะอ่อนแอเสียที่ไหน เป็นพยัคฆ์ดุดันเขี้ยวเล็บคมกริบชัดๆ…พยัคฆ์ดุดันที่รังสีสังหารแผ่ซ่าน
เพราะอาจารย์และนักเรียนของสำนักบัณฑิตที่จริงล้วนฝึกยุทธ์กันทั้งสิ้น ไม่ใช่บัณฑิตอ่อนแอ เช่นหลินชิวสุ่ย พลังฝึกก็เป็นขั้นรวมจิต ส่วนเจินหย่วนเต้ายิ่งเป็นขั้นรวมจิตสูงสุด ใกล้จะก้าวเข้าสู่ครึ่งขั้นปรมาจารย์แล้ว แต่จุดจบเล่า?
คนหนึ่งโดนตบปลิวราวกับตบยุง
คนหนึ่งถูกบีบคอหักเหมือนไก่
“ที่จริงเจ้าผิดแล้ว ไม่ใช่แค่ทำร้ายคน ข้ายังฆ่าคนได้อีกด้วย”
น้ำเสียงของหลี่มู่เป็นปกติ เสมือนเป็นเรื่องที่ปกติที่สุด
สายตาของเขาเบนไปอีกทาง มองคนที่ไม่มียางอายแม้แต่น้อยอีกคนหนึ่ง…เจี่ยจั้วเหรินอาจารย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์
“เจ้า…” เจี่ยจั้วเหรินหวาดกลัวเหลือคณา ขาสั่นขึ้นมา หมุนตัวจะหนีไป
หลี่มู่ใช้กระบวนท่าเดิม กระตุ้น ‘วิชาเต๋า • วายุมังกรคลั่ง’ พลังพายุหมุนไร้รูปร่างหอบม้วนเจี่ยจั้วเหรินที่มีระดับพลังครึ่งปรมาจารย์เช่นเดียวกันมาไว้ในกำมือ
“เจ้าบอกว่า เจ้าเป็นผู้กลอนแต่งขึ้น?” หลี่มู่ถาม
“ไม่ๆๆ ไม่ใช่ข้า” เจี่ยจั้วเหรินตัวสั่นเทิ้มราวลูกเป็ดกลางสายฝน พยายามดิ้นรนพลางร้องอ้อนวอน “ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรใช้ตำแหน่งแย่งชื่อเสียงและกลอนของเจ้า ไว้ชีวิตข้าเถอะ เป็นหลิวมู่หยางเด็กเวรนั่นส่งคนมายุแยงข้า บอกว่าท่านเป็นแค่บัณฑิตต่างถิ่นไร้อำนาจ ไร้พลัง ไม่จำเป็นต้องกังวล…”
อาจารย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์คนนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ยอมรับหมดเปลือกดุจเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่
เขาก็เสียใจเหมือนนี่
ยิงนกกระเรียนตอนกลางวัน ครั้งนี้โดนนกกระเรียนจิกเอาตาบอดเสียแล้ว
แย่งชิงชื่อเสียงและกลอนของคนอื่นมาโดยตลอด ครั้งนี้กลับเตะตอเข้าอย่างจัง
“ทุกคนล้วนต้องจ่ายชดใช้ให้กับการกระทำของตัวเอง” หลี่มู่ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
หากคำขอโทษมีผล แล้วจะมีตำรวจไว้ทำอะไร?
หากทุกคนทำเรื่องชั่ว แค่ยอมรับผิดก็ได้รับการยกโทษ เช่นนั้นนรกสิบแปดขุมไม่ว่างโล่งเลยหรืออย่างไร?
“ไม่ๆๆ ไว้ชีวิตข้า ช่วยด้วย…ช่วยข้า…” เจี่ยจั้วเหรินมองไปยังฮวาเสี่ยงหรง “แม่นางฮวา ข้าผิดไปแล้ว ช่วยข้าอ้อนวอนด้วย ขอร้องเจ้าล่ะ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว ข้า…”
ฮวาเสี่ยงหรงมองไปยังหลี่มู่
ชั่วขณะนี้ ในใจของนางสับสนเป็นอย่างยิ่ง
นางพลันพบว่าตัวเองไม่เข้าใจในตัวหลี่มู่เลย
ความสามารถด้านกลอนกวีไร้ใครเทียม ประหนึ่งคุณชายผู้สูงส่งในโลกที่วุ่นวาย?
หรือเป็นคนบ้าใจคออำมหิตที่สังหารคนโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา?
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเข้าไปในห้องส่วนตัวของนาง ยังค่อนข้างอึดอัด หน้าแดง เขินอาย
แต่ตอนนี้ เผชิญคนเป็นหมื่นเป็นพันชี้หน้าด่า เขากลับสบายใจไม่เกรงกลัว เพียงเคลื่อนไหวก็สังหารอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ และยังจับผู้อาวุโสมีชื่อเสียงของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ไว้ในมือ…
สรุปแล้ว ตัวตนไหนถึงจะเป็นเขาจริงๆ?
แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ฮวาเสี่ยงหรงก็ยังอ้าปากอยากจะโน้มน้าวหลี่มู่
ถึงอย่างไร หาเรื่องสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ไปแล้ว หากหาเรื่องสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์อีก ผลลัพธ์จะเลวร้ายจนไม่กล้าคาดคิด
แต่ทว่า หลี่มู่กลับขัดความคิดที่นางอยากจะพูด “หรงเอ๋อร์ วันนี้หากเป็นบัณฑิตธรรมดาที่ไม่มีพลังตอบโต้กลับจะพบจุดจบอย่างไร ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ? คนพวกนี้จิตใจชั่วร้าย ไร้ยางอายเป็นที่สุด ช่วงชิงชื่อเสียงและบทกลอนของผู้อื่น ทั้งยังใส่ร้ายโยนความผิด คิดจะจัดการข้าให้ตาย ต้องรู้ไว้นะว่าพวกมันทำความชั่วโดยไม่รู้จักกลับตัว สำหรับคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีพวกนี้ จะใจอ่อนด้วยไม่ได้”
พูดจบ เสียงกร๊อบก็ดังขึ้น
หลี่มู่หักคอของเจี่ยจั้วเหรินโดยไม่ปรานี ก่อนโยนศพเขาไปไว้ข้างๆ ศพเจินหย่วนเต้าราวกับโยนซากหมู
ภาพนี้ตลกร้ายเป็นอย่างยิ่ง คนที่คิดพยายามหาหาทางเป็นคนดัง ในที่สุดก็มาตายอยู่ด้วยกัน
คราวนี้ ทุกคนในโถงใหญ่ต่างตัวสั่นงันงก
ใครก็คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ จะเป็นราชาปีศาจ สังหารคนราวฆ่าสุนัข
ต่อให้เป็นไป๋เซวียนที่เตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วก็ตื่นตะลึงจนพูดไม่ออกเช่นกัน
แม่เล้าไป๋ที่ประสบการณ์กว้างไกลมีความรู้กว้างขวาง ก็คิดไม่ถึงว่าวิธีโจมตีกลับของเด็กหนุ่มจะรุนแรงบ้าคลั่งเช่นนี้ คิดอยากห้ามก็สายเสียแล้ว
ในหอสดับเซียนมีคนตาย อีกทั้งฐานะของคนตายก็สูงเสียด้วย เรื่องแบบนี้คิดจะปิดก็ปิดไม่อยู่ ต้องแจ้งทางการแล้ว
ไป๋เซวียนหันไปสั่งอะไรบางอย่างกับหญิงผู้ดูแลคนสนิทข้างกาย
ประสาทสัมผัสของหลี่มู่ว่องไว ได้ยินคำพูดกระซิบของไป๋เซวียน แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม
เขาไม่ใช่ฆาตรกรบ้าคลั่งจริงๆ การตัดสินใจของไป๋เซวียนเป็นพฤติกรรมที่คนปกติล้วนทำกัน
“เจ้า…” หลิวมู่หยางหัวหน้าบัณฑิตสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์สั่นเทาไปทั้งตัว หวาดกลัวสุดฤทธิ์ หันตัวเตรียมจะหนีไป
หลี่มู่พลิกมือคว้า จับตัวหลิวมู่หยางไว้กลางอากาศดั่งจับลูกเจี๊ยบ บีบคอเขาแล้วพูดขึ้น “เจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร ผู้ศึกษาร่ำเรียน หากศึกษาจนเหมือนเจ้าแบบนี้ มีชีวิตอยู่ก็เป็นภัยกับมนุษย์เท่านั้น มิสู้ตายไปเสีย…”
ไม่รู้ทำไม แต่หลังจากที่ฝึก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นหนึ่งระดับต้นสำเร็จแล้ว สภาพจิตใจและอารมณ์ของหลี่มู่ก็กระจ่างแจ่มใสอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มุมมองการพิจารณาปัญหาหรือเรื่องราวแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ลงมือเด็ดขาด ไม่ใจอ่อนเหมือนสตรีหรือห่วงหน้าพะวงหลังเหมือนเมื่อก่อน
“ไม่ ข้าผิดไปแล้ว ไว้ชีวิตข้าด้วย…” หลิวมู่หยางตอนนี้กลัวจนขวัญกระเจิง ร้องคร่ำครวญสุดชีวิต
ไป๋เซวียนที่อยู่ข้างๆ อดไม่ไหว ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น “คุณชายท่านนี้ ยั้งมือด้วยเถิด…ปรานีได้ก็ขอให้ปรานี ไยต้องฆ่าล้างจนสิ้น” นางต้องพูด หากมีคนตายอีกแล้วนางยังทำเฉยชา เช่นนั้นนายหญิงหอสดับเซียนตำแหน่งนี้ของนางคงจบสิ้นแล้ว
“คุณชาย โปรดออมมือด้วยเถิด” ฮวาเสี่ยงหรงก็ร้องขอเช่นกัน
นางไม่ได้สงสารหลิวมู่หยาง แต่คิดแทนหลี่มู่ จะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้ หากฆ่าคนอีกก็ทำผิดมหันต์จริงๆ แล้ว ทางการจะต้องสอบสวน ถึงตอนนั้นแม้ฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่จะหนีไปได้อย่างไรกัน?
หลี่มู่มองไปยังไป๋เซวียน กล่าวขึ้นอย่างเยาะหยัน “ก่อนหน้านี้พวกเขากดขี่ ทำให้ข้าลำบากใจ ไม่เห็นแม่เล้าไป๋จะเอ่ยปากช่วยข้าเลย” พูดจบก็ไม่รอให้ไป๋เซวียนได้อธิบาย มองไปยังฮวาเสี่ยงหรง “ก็ได้ เห็นแก่หน้าของหรงเอ๋อร์ คืนนี้ข้าจะไม่ฆ่าคนอีก”
ฮวาเสี่ยงหรงได้ยินดังนั้น ในใจก็รู้สึกหวานซึ้งเป็นระลอกอย่างอดไม่ได้
เขายังฟังคำของนาง
ไป๋เซวียนอยากอธิบายอะไรบ้าง แต่ก็พูดไม่ออก เพราะสิ่งที่หลี่มู่พูดคือเรื่องจริง
“แต่ว่า โทษตายละได้ แต่โทษเป็นยังมีอยู่” หลี่มู่พูดแล้ว กลางฝ่ามือก็มีพลังอัสนีพุ่งออกมาแล้วทะลักเข้าไปในร่างของหลิวมู่หยาง สะเทือนจนกำลังภายในพลังฝึกขั้นรวมจิตสลายไปทั้งหมด เท่ากับทำลายวรยุทธ์ของเขา จากนั้นก็พลิกมือซัดจนหลิวมู่หยางกระเด็นออกไป
ตูม!
หลิวมู่หยางสลบไปบนพื้นของโถงใหญ่ไม่ต่างจากหมูตาย
“ยังมีเจ้า สร้างชื่อเสียงจอมปลอม เสแสร้งเล่นละคร ดูเหมือนใจกล้าบ้าระห่ำ ที่จริงก็แค่คนถ่อย บุคลิกท่าทางที่คนกล้าควรจะมีเจ้ากลับไม่มีแม้แต่น้อย จิตใจคับแคบ อิจฉาริษยา สมควรลงโทษ” หลี่มู่ฟาดฝ่ามือออกไปกลางอากาศ
เพียะ!
พลังไร้รูปร่างตบชายอวดดีซ่งชิงเฟยหน้าบวม ม้วนลอยออกไปกระแทกกับโต๊ะอีกหลายตัว แล้วสลบไปบนพื้นเช่นกัน
“แล้วยังมีเจ้าอีก เศษสวะศีลธรรมต่ำช้า เที่ยวปลุกปั่นยุแยง ประจบประแจง กลับเรียกตนว่าเป็นคนมีการศึกษา ช่างเสียทีที่อ่านหนังสือตำราปราชญ์เมธีจริงๆ” พูดแล้วอีกฝ่ามือหนึ่งก็ซัดไปในอากาศ
พลังไร้รูปร่างซัดไปบนหน้าของบัณฑิตร่างอ้วนป้อมจากสำนักเสียงวิหคสวรรค์ ซีกหน้าของเขาบวมช้ำ ฟันร่วงหมดปาก กระเด็นออกไปกว่าหกจั้งก่อนสลบเหมือดอยู่บนพื้น
ในโถงใหญ่ ทุกคนต่างรู้สึกไม่ปลอดภัย
นี่รอโอกาสคิดบัญชีทีหลังนี่นา
……………………………………………………