จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 183 จันทร์เสี้ยวสาดแสงส่องทั่วจิ่วโจว
ดื่มชาไปหลายถ้วย หลี่มู่ไม่ได้รีบร้อนจากไป แต่อยู่ในห้องชาและเริ่มฝึกฝนหมัดยุทธ์แท้
วันนี้สู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ หมัดยุทธ์แท้สำแดงพลังน่าเกรงขาม ทำให้เขายิ่งสัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพของของหมัดยุทธ์แท้ยามต่อสู้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน ภายใต้แรงกดดันจากพลังฟ้าประทานขุมนั้นของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ กายเนื้อของเขาก็ได้รับการฝึกฝน ได้ผลดีกว่าการต่อสู้ใดๆ ก่อนหน้านี้
นี่ทำให้หลี่มู่รู้สึกเลาๆ ว่าเหมือนจะถึงช่วงทะลวงขั้นแล้ว สามารถลองทะลวงท่าที่สี่ได้แล้ว
ทว่า การทดลองครั้งแรกล้มเหลว
การทดลองครั้งที่สองก็ล้มเหลวเช่นกัน
ทดลองติดกันสี่ห้ารอบ หลังจากที่โคจรพลังถึงกระบวนท่าที่สาม คิดจะฝืนทำกระบวนท่าที่สี่ต่อ ร่างกายก็เกิดอาการเจ็บปวดรุนแรง เอ็นกระดูกราวกับฉีกแตกออก ไม่อาจเข้าใจกระบวนท่าที่สี่ได้ถ่องแท้เลย
“ท่าทาง การสะสมของพลังยังไม่พอ”
สุดท้ายเขาก็เลือกล้มเลิกไป
จะรีบร้อนทำให้สำเร็จในทันทีไม่ได้ มิฉะนั้นจะเข้าทำนองทำเร็วแต่ไม่เป็นผล
จากการสู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ หลี่มู่วิเคราะห์พลังของตนได้คร่าวๆ แล้ว ผู้แข็งแกร่งเหมือนธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่เพิ่งก้าวเข้าขั้นฟ้าประทาน ต่อให้ฝึกฝนพลังฟ้าประทานกลุ่มหนึ่งออกมาได้ก็ไม่ใช่คู่มือของเขา แต่หากเป็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานเก่าแก่บางคนจะไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลี่มู่มีต้นทุนที่จะต่อกรกับผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานได้
นี่ทำให้เขายิ่งมั่นใจขึ้นกว่าเดิม
อีกทั้งเครื่องรางเต๋าใช้ครั้งเดียวส่วนหนึ่งที่ปลุกเสกออกมาเพื่อศึกท้าประลองก็ยังไม่ได้ใช้ สามารถเอามาทำเป็นไพ่ตาย เก็บเอาไว้ก่อนได้
‘กลับไปต้องหาเวลาหลอมอาวุธมิติออกมาสักสามสี่ชิ้น พกของพวกนี้ติดตัวไว้บ้างจะสะดวกขึ้นอีกเยอะ’
หลี่มู่คิดในใจ
ในระหว่างนี้ แม่เล้าไป๋เซวียนเข้ามาสองครั้ง
ครั้งแรกนำสุราและอาหารมาให้ ครั้งที่สองมารายงานว่าข่าวที่หลี่มู่อยู่หอสดับเซียนแพร่ออกไปแล้ว เหล่าบุคคลยิ่งใหญ่ฝั่งต่างๆ ในเมืองฉางอันต่างมายังหอสดับเซียน หวังว่าจะได้มาคารวะหลี่มู่ ต่างตระเตรียมของกำนัลมาให้
“ของกำนัลรับไว้ ส่วนคนไม่พบ”
หลี่มู่พูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เขามาถึงโลกใบนี้ก็เพื่อฝึกฝนขัดเกลาพลังของตน ทั้งยังแบกภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่จะกลับไปช่วยฟื้นฟูโลกให้รุ่งเรืองไว้บนบ่า จะมีเวลาไปคบค้าสมาคมกับคนใหญ่คนโตที่ว่าเหล่านั้นเสียที่ไหน และยิ่งไม่อยากถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับการแก่งแย่งหลอกลวงกันที่น่าหัวร่อพวกนั้นด้วย อีกทั้งต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่งเด็ดขาด อำนาจที่ว่าก็แค่หมอกควันผ่านตาไปเท่านั้น
สำหรับของกำนัล…
ของที่ส่งมาให้ถึงที่ไยต้องปฏิเสธ ไม่ได้ไปบังคับให้พวกเขาส่งมาเสียหน่อย
ซินเอ๋อร์หยุดชะงัก หัวเราะคิกคักว่าหลี่มู่เป็นพวกหน้าเงินอยู่ข้างๆ
หลี่มู่ก็ไม่ได้อธิบายกับเด็กสาวคนนี้
สาวงามแม่นางฮวาที่อยู่ข้างๆ สายตานางเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้ง เห็นได้ชัดว่าใจทั้งดวงผูกอยู่กับหลี่มู่จนหมดสิ้น คีบอาหารรินเหล้าให้เขาด้วยความรักความเสน่หา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก
พริบตาเดียวโคมวิจิตรก็เริ่มจุดสว่างไสว
หน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ สาวใช้ตัวน้อยซินเอ๋อร์ไม่ไล่แขกแล้ว กลับช่วยคุณหนูของตนพูดเจื้อยแจ้วอยู่ด้านข้าง เปิดหัวข้อสนทนาไม่หยุด ท่าทางเสมือนไม่อยากให้หลี่มู่ไป
จันทร์เสี้ยวสองดวงลอยเด่นกลางนภา
“จันทร์เสี้ยวสาดแสงส่องทั่วจิ่วโจว หลายครอบครัวมีความสุข หลายครอบครัวมีความทุกข์ หลายครอบครัวดื่มกินภัตตาคารหรูหรา หลายครอบครัวร่อนเร่กลางถนน หลายครอบครัวสามีภรรยาอยู่พร้อมหน้า หลายครอบครัวพลัดพรากรอนแรมไกล…” หลี่มู่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง
ฮวาเสี่ยงหรงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินฉือบทนี้ ดวงตาก็เปล่างประกาย
เทียบกับหลี่มู่ที่มีไอสังหารแผ่ซ่านสีหน้าเย็นชาคนนั้นแล้ว นางชอบหลี่มู่ที่คิ้วตาแฝงด้วยรอยยิ้ม แค่อ้าปากก็ร่ายกลอนทำนองเสนาะออกมาคนนี้มากยิ่งกว่า
“คุณชายหลี่ท่องกลอนอีกแล้ว” ซินเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย “กลอนบทนี้ชื่อว่าอะไรหรือเจ้าคะ”
หลี่มู่หัวเราะ “อะไรก็ได้ จันทร์เสี้ยวก็ได้”
วันนี้มายังห้องส่วนตัวของฮวาเสี่ยงหรง หลี่มู่รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากศึกใหญ่ ความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งท่วมท้นขึ้นทุกที คิดถึงคนและเรื่องราว แล้วก็สุนัขตัวนั้นบนโลกหลายต่อหลายครั้ง
บางทีนี่อาจจะเกี่ยวกับที่ฮวาเสี่ยงหรงเป็นกายเต๋าฟ้าประทาน คบหาอยู่กับนางย่อมรู้สึกจิตใจเบิกบาน คิดถึงบ้านได้ง่ายเป็นเรื่องปกติ
จะจัดให้ฮวาเสี่ยงหรงอยู่ที่ไหนอย่างไรดี?
ตอนนี้เกรงว่าทั่วทั้งเมืองฉางอันคงมองว่านางเป็นคนของตนแล้ว แต่หากแค่นำนางมาไว้ข้างกาย ให้นางร้องรำทำเพลง ก็จะเป็นการปิดกั้นคุณสมบัติกายเต๋าฟ้าประทานแห่งแสงของนาง หลี่มู่คิดๆ ดู ตนเหมือนจะไม่มีเคล็ดวิชาฝึกฝนที่เหมาะกับกายเต๋าฟ้าประทาน วิชาเช่นวิชาอัสนีหรือวิชาเต๋าอื่นๆ ทั้งหลายล้วนแต่อยู่บนพื้นฐานของพลังจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง ฝึกฝนแค่ทักษะ ไม่ฝึกฝนวิชา นั่นเป็นไปไม่ได้ ทว่าเคล็ดวิชาฝึกที่หลี่มู่ควบคุมได้จริงๆ ก็มีแค่ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เท่านั้น
ส่วนเคล็ดวิชาฝึกฝนที่รีดไถมาจากผู้แข็งแกร่งในยุทธจักรทิศพายัพที่ว่าก็เป็นเคล็ดวิชาสายยุทธ์ระดับต่ำทั้งสิ้น กายเต๋าฟ้าประทานฝึกฝนเคล็ดวิชาสายยุทธ์ ถึงแม้จะก้าวหน้าเร็วกว่าคนทั่วไป แต่ก็เสียของเปล่าเช่นกัน
‘สัมผัสจิตดุจธนู’ วิชาประเภทนี้มีการโจมตีและป้องกันที่แข็งแกร่งทรงพลัง ไม่ใช่แค่ไม่เหมาะให้สตรีฝึกฝน อีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับกายเต๋าฟ้าประทานแห่งแสงเลย
กายเต๋าต้องฝึกฝนวิชาเต๋าของเซียนถึงจะสำแดงพลังครั่นคร้ามที่แท้จริงออกมาได้
หรือจะต้องถ่ายทอด ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ให้นาง?
ตอนนั้นที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดวิชาก่อนกำเนิดให้ ก็ไม่ได้มีเงื่อนไขว่าวิชานี้ห้ามถ่ายทอดให้คนนอก แต่ยิ่งฝึกฝนอยู่บนดาวดวงนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เคล็ดวิชาเช่นนี้ใช่ว่าจะถ่ายทอดให้กับคนอื่นไม่ได้ แต่หากจัดการไม่ดีกลับจะทำร้ายฮวาเสี่ยงหรง ทำให้นางอยู่ในอันตรายอย่าง ‘คนไร้ความผิด ผิดที่ถือครองหยก’ แทน
หลี่มู่สองจิตสองใจอยู่บ้าง
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” หลี่มู่ลุกยืน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าต้องกลับแล้ว”
เมื่อพูดออกมา สีหน้าของฮวาเสี่ยงหรงและซินเอ๋อร์เปลี่ยนไปทันที
ดวงตาของฮวาเสี่ยงหรงฉายแววหมองหม่นพาดผ่าน
อันที่จริง ตอนนี้นางรับหลี่มู่มาไว้ในใจโดยสมบูรณ์แล้ว หัวใจทั้งดวงผูกไว้กับเขา ตอนนางยังเด็กตระกูลประสบเคราะห์ ครอบครัวตกระกำลำบาก แตกกระสานซ่านเซ็นไป ยากที่จะตามหาพบ ตัวนางต้องมาอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรอง ราวกับจอกแหนที่ลอยไปตามระลอกคลื่น ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นไร ทุกวันอยู่ท่ามกลางความกังวลและหวาดกลัว มีเพียงหลายวันนี้ที่ได้รู้จักกับหลี่มู่ ใจนางไม่เคยสงบและมั่นคงเหมือนอย่างหลายวันที่ผ่านมานี้เลย ประหนึ่งว่าท่ามกลางความมืดมิด นางหาแสงสว่างเส้นบางๆ เจอ จึงหวังจะกอดแสงสว่างกลุ่มนี้เอาไว้ตลอดกาล
คืนนี้นางวางแผนจะเคียงหมอนร่วมคืนกับหลี่มู่ที่นี่แล้ว
แต่หลี่มู่จะกลับไป
ฮวาเสี่ยงหรงผิดหวัง ทั้งยังค่อนข้างกระอักกระอ่วน ไม่เข้าใจความหมายของหลี่มู่ อีกทั้งกลัวว่าความหวานซึ้งเต็มอกของตนจะจบลงเช่น ‘เทพธิดารักใคร่สมัครจิต เซี่ยงอ๋องไร้รักตัดเยื่อใย’[1]
ส่วนซินเอ๋อร์ก็คิดทำนองนี้เช่นกัน
คืนนี้ สายตาไม่รู้ต่อกี่คู่จับจ้องหอสดับเซียนเอาไว้ หากคุณชายหลี่จากไปเช่นนี้ เกรงว่าคำนินทาต่างๆ นานาของโลกภายนอกจะเล่าลือกันไปอีกว่าคุณชายหลี่ก็แค่สนใจประเดี๋ยวประด๋าว ที่จริงแล้วไม่ได้ชมชอบอะไรคุณหนูสักเท่าไหร่ มิฉะนั้นคงค้างคืนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้วแน่
หากไม่ระวัง คุณหนูของตนจะกลายเป็นตัวตลกเอาได้
การแข่งขันในหอคณิกาสลับซับซ้อนยิ่งนัก
“วันนี้ได้ชัยชนะมา ยังไม่ทันได้กลับไปแจ้งท่านแม่เลย” หลี่มู่หัวเราะเอ่ย “ข้าจะยังอยู่ในเมืองฉางอันอีกระยะหนึ่ง ทุกวันจะมาพบแม่นาง ดูการร่ายรำฟังการขับร้อง วันหน้าหากเจ้าอยากไปจากหน่วยเลี้ยงรับรองก็บอกข้าได้ทุกเมื่อ ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่เอง”
“อา…ขอบคุณคุณชาย ข้า…ขอบคุณอย่างสุดซึ้ง” ฮวาเสี่ยงหรงได้ยินดังนั้น ก็เปลี่ยนจากทุกข์ระทมเป็นดีใจ
คนคนนี้นี่นะ
ซินเอ๋อร์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ข้างๆ เช่นกัน
ทั้งสองไปส่งหลี่มู่
ยามกลับมายังห้องอีกครั้ง ใบหน้าของฮวาเสี่ยงหรงยังแฝงด้วยรอยยิ้มหวานบางๆ อารมณ์ดีไม่เลวทีเดียว
สมบัติล้ำค่าหามาได้ง่าย ชายในดวงใจนั้นหามาได้ยาก
พี่น้องไม่รู้ต่อเท่าไหร่ที่ต้องมาอยู่ในหอคณิกา ต่างรักษาความบริสุทธิ์ของตนเอาไว้อย่างระมัดระวัง หวังว่าจะได้พบชายในดวงใจสักคน สุดท้ายก็ทุ่มเทเดิมพันโดยไม่เสียดายทุกสิ่ง แต่ส่วนมากมักจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม สตรีหอคณิกา ต่อให้งามล้ำปราดเปรื่องไม่เป็นสองรองใคร สุดท้ายผู้ที่มีความสุขจริงๆ จะมีสักกี่คนกัน?
แต่ฮวาเสี่ยงหรงเชื่อว่า การตัดสินใจของตนจะไม่เหลือความเสียใจทิ้งเอาไว้
หลี่มู่จะต้องเป็นคนที่ใช่คนนั้นแน่นอน
“คุณหนู ท่านยิ้มจนหน้าจะบวมหมดแล้ว” ซินเอ๋อร์หยอกล้ออยู่ข้างๆ พูดตามตรง นางดีใจแทนคุณหนูของตน คุณชายหลี่ไม่เหมือนกับบัณฑิตหรือพวกผู้สูงส่งที่ดีแต่คุยโวโอ้อวดพวกนั้น
หญิงสาวทั้งสองหยอกล้อกัน อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เงาร่างหนึ่งเดินเข้ามา
“ท่านแม่ไป๋เซวียน” ฮวาเสี่ยงหรงรีบเดินมารับหน้า
ไป๋เซวียนอายุก็แค่ประมาณสามสิบกว่าๆ เท่านั้น รูปโฉมแน่นอนว่างดงามยิ่ง บุคลิกสง่าทรงเสน่ห์ ร่างอวบอิ่ม เต็มไปด้วยเสน่ห์ของสตรีที่เป็นผู้ใหญ่ ยามสาวนางก็เป็นหญิงงามแห่งยุคเช่นกัน ตอนนี้เป็นแม่เล้าผู้ดูแลแห่งหอสดับเซียน ว่ากันว่าเบื้องหลังของนางมีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง เพียงแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตบแต่งตามประเพณี ไม่มีแม้แต่ฐานะหน้าตา
“ยินดีด้วยฮวาเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็สมปรารถนาแล้ว” ไป๋เซวียนจับมือของฮวาเสี่ยงหรง พูดว่า “คุณชายหลี่ฐานะสูงส่ง วันหน้าเจ้าก็จะหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ได้แล้ว ไม่แน่นะ การฟื้นฟูสกุลซ่างกวนของเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ชื่อเดิมของฮวาเสี่ยงหรงคือซ่างกวนอวี่ถิง
“กลัวแต่ว่าหน่วยเลี้ยงรับรองจะขัดขวาง” ฮวาเสี่ยงหรงเอ่ยอย่างค่อนข้างกังวล
ทางการของจักรวรรดิส่งนางมายังหน่วยเลี้ยงรับรองเพราะสกุลซ่างกวนทำความผิด หากอยากจะหลุดพ้นจากรายชื่อนางคณิกา จะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยเลี้ยงรับรอง ได้ยินมาว่าหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองคนนี้เป็นผู้ที่มีประวัติความเป็นมา ปกติแล้วแข็งแกร่งยิ่งนัก ในเมืองฉางอันก็เป็นคนโหดเหี้ยมคนหนึ่งเช่นกัน
“น้องสาวผู้โง่เขลาของข้า เจ้าวางใจเถอะ คุณชายหลี่มู่พลังฝึกอยู่ขั้นฟ้าประทาน ขั้นฟ้าประทานอายุสิบห้าปีพูดได้ว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งก็ไม่เกินไปนัก เกรงว่าข่าวนี้แพร่ออกไปเมื่อใด แม้แต่เชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิก็ยังต้องแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ หัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองไม่มีทางทำให้คุณชายหลี่ลำบากในด้านนี้แน่” ท่านแม่ไป๋เซวียนรู้เรื่องภายในเป็นอย่างดี
ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง
“น้องฮวา ข้าขอถามเจ้า ช่วงเวลาที่เจ้าอยู่หอสดับเซียน ข้าดูแลเจ้าอย่างไร?” ท่านแม่ไป๋เซวียนพูดคล้ายเกริ่นนำ
ฮวาเสี่ยงหรงฉลาดปราดเปรื่อง เพียงฟังดนตรีก็เข้าใจความหมาย รู้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะขอร้องตนแล้ว ทว่าก็ยังพูดอย่างจริงใจ “ท่านแม่ไยพูดเช่นนี้ ข้าตกอับอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรอง แต่เดิมคิดว่าไม่มีวันเงยหน้าอ้าปากได้อีกแล้ว โชคดีที่ท่านแม่เลือกข้ามายังหอสดับเซียน ดูแลข้าเป็นอย่างดีทุกเรื่อง ปกป้องข้าทุกครั้ง ข้าถึงได้มีที่อยู่อย่างปลอดภัย ไม่ถึงขนาดต้องตกอับไปตลอดกาล หากไม่มีท่านคอยปกป้องข้า วันนี้เกรงว่าข้าคง…” ฮวาเสี่ยงหรงซาบซึ้งในตัวไป๋เซวียนยิ่งนัก
“เช่นนั้นพี่สาวคนนี้มีเรื่องอยากขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง” ท่านแม่ไป๋เซวียนเอ่ย
ฮวาเสี่ยงหรงบอก “ท่านแม่เชิญพูด”
……………………………………………………
[1]เทพธิดารักใคร่สมัครจิต เซี่ยงอ๋องไร้รักตัดเยื่อใย มาจากเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งในสมัยจ้านกั๋ว ประโยคที่ถูกต้องคือ เซี่ยงอ๋องรักใคร่สมัครจิต เทพธิดาไร้รักตัดเยื่อใย กล่าวถึงเซี่ยงอ๋องที่ชื่นชมบูชาเทพธิดา เฝ้าขอความรักจากนาง แต่นางก็ไม่ไยดี ภายหลังใช้เปรียบเทียบกับการแอบรักหรือรักข้างเดียว