จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 199 กลับมาเมืองฉางอันอีกครั้ง
‘หรือเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่าวัน เขาก็แข็งแกร่งขึ้นเหมือนกับเจ้าสำนักแล้ว?’
จ้าวหลิงคาดเดาในใจ
แต่ไม่นานนางก็ปฏิเสธความคิดนี้ของตัวเองไป
เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้
จากการพูดคุยกัน หลี่มู่ได้รู้ว่าบาดแผลของเฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งหายสนิทดีแล้วจากดูแลของจ้าวหลิง นอกจากแผลเป็นบางแห่งบนร่างกาย ก็ไม่ได้ทิ้งอาการภายหลังใดๆ ไว้ หม่าจวินอู่นอกจากแขนที่ขาดไปไม่อาจงอกขึ้นใหม่ได้ บาดแผลอื่นๆ ก็ฟื้นตัวดี สามารถเดินเหินได้ตามใจแล้ว
มีเพียงปีศาจน้อยชิงเฟิงเท่านั้นที่ตั้งแต่ช่วงล่างของขาทั้งสองลงไปยังไม่หายดีในตอนนี้ เนื่องจากเสียเลือดมากบาดแผลสาหัส แต่อย่างน้อยก็ไม่โดนตัดทิ้ง ทว่ากล้ามเนื้อลีบ ยามนี้อาศัยรถเข็นก็สามารถไปมาในที่ว่าการได้
วันข้างหน้ามีโอกาสที่จะหายดีหรือไม่ หลี่มู่มองหมอยาสาว
ก็ไม่แน่ จ้าวหลิงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หากเป็นเมื่อก่อนนางจะต้องพูดออกมาเลยทันทีว่า ‘ไม่มีทาง’ อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้พูดตามตรง นางไม่กล้ายืนยันแล้วจริงๆ
เพราะสิบกว่าวันนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นได้ทำลายระบบความรู้ในฐานะหมอยาของนางไปบ้าง
บาดแผลของพวกหม่าจวินอู่ทั้งสามคน ความเร็วในการสมานตัวเกินกว่าการคาดการณ์ในแง่ที่ดีที่สุดของนางเสียอีก
นี่ยังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือความเร็วในการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บของชิงเฟิง ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์จริงๆ แต่เดิมนางมั่นใจว่าชิงเฟิงจะต้องตัดขาแน่ เลือดลมเสียหาย นับจากนี้เป็นต้นไปต้องเจ็บออดๆ แอดๆ ยากที่จะอายุยืนได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร? ชิงเฟิงไม่ใช่แค่ร่างกายฟื้นฟู เลือดลมเต็มเปี่ยมเหมือนคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ขาทั้งสองก็รักษาเอาไว้ได้ อีกทั้งส่วนใต้เข่าลงไปที่บาดเจ็บหนักที่สุดก็แค่กล้ามเนื้อลีบเท่านั้น
ทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้?
จ้าวหลิงสังเกตแล้ว ในใจก็ได้ข้อสรุปส่วนหนึ่ง
หนึ่งคือเพราะพลังวิญญาณในที่ว่าการอำเภอเข้มข้นมากนัก เทียบได้กับสถานที่ฝึกฝนลึกลับบางแห่งของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ อีกทั้งยังเพราะเลือดที่หลี่มู่ทิ้งไว้ในตอนนั้นแฝงไว้ด้วยพลังชีวิตอันแข็งแกร่งยิ่ง ช่วยทดแทนเลือดลมที่เสียไปของชิงเฟิงกลับมา เทียบได้กับโอสถวิเศษ
อันที่จริง หลายวันมานี้ความสงสัยใคร่รู้ในตัวจ้าวเฟิงของนางสะสมจนใกล้จะถึงขีดสุดแล้วเต็มที
อีกทั้งในใจของนางก็ยอมรับแล้วว่า หลี่มู่ไม่มีทางเป็นฆาตกรที่สังหารศิษย์สำนักเดียวกันเหล่านั้นได้
หลายวันมานี้ จากคำของเฝิงหยวนซิง เจินเหมิ่ง หม่าจวินอู่ ชิงเฟิง เหล่าทหาร และบ่าวรับใช้ทั้งหลายในที่ว่าการอำเภอ นางเข้าใจหลี่มู่อย่างแท้จริงยิ่งขึ้นและชัดเจนยิ่งขึ้น เปลี่ยนอคติที่มีต่อหลี่มู่ก่อนหน้านี้ไปแล้ว
อีกทั้งเพราะความเข้มข้นของพลังวิญญาณในที่ว่าการพิสดารนัก เทียบได้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักด้วยซ้ำไป ดังนั้นหลายวันมานี้การฝึกฝนเพิ่มระดับของจ้าวหลิงจึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นางตื่นเต้นยินดียิ่งนัก พูดจากมุมหนึ่งก็นับว่านางได้รับบุญคุณจากหลี่มู่ด้วย
ดังนั้นนางถึงกระทั่งว่ารู้สึกดีกับหลี่มู่ขึ้นมาเล็กน้อย
แต่นางก็ยังกระดากอายที่จะขอโทษหลี่มู่
ความรู้สึกเหนือกว่าที่มีมายาวนาน และความหยิ่งทะนงในฐานะอัจฉริยะหญิง ทำให้นางไม่มีทางเป็นคนนั้นที่เอ่ยปากก่อน
แต่ชัดเจนว่าหลี่มู่ไม่คิดจะสนใจความคิดอันละเอียดอ่อนของ ‘เชลย’ คนนี้
ความสนใจของเขาอยู่ที่ชิงเฟิงทั้งสิ้น
ข้าจะรักษาเจ้าให้หายแน่นอน หลี่มู่ตบบ่าของเด็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ใบหน้าของชิงเฟิงมีรอยยิ้มบาง หลังจากผ่านอุปสรรคในชีวิตครั้งหนึ่งไปแล้ว สภาพจิตใจของเขาก็ยิ่งเติบโตเกินวัย บุคลิกเปลี่ยนไปอย่างมาก รอยยิ้มและสายตาเช่นนั้นราวกับผู้รู้ผู้ปราดเปรื่องที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากก็ไม่ปาน คุณชาย ข้าก็เชื่อเช่นกันว่าตัวเองจะต้องหายดี
ตอนนี้ ความคิดและจิตใจที่ตั้งมั่นของเขาดุจดั่งเหล็กกล้า
หลี่มู่พยักหน้า
หลังจากตระเตรียมเสร็จแล้ว พวกมารดาหลี่มู่ก็นับว่าอาศัยอยู่ในที่ว่าการโดยสมบูรณ์ ด้วยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดทาง ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรากันไป
หลี่มู่ปฏิเสธข้อเสนอที่อยากจะรายงานการทำงานของเฝิงหยวนซิงและพวกขุนนางทั้งหลาย ทั้งยังแนะนำส่งเสริมให้พวกเขาจัดการได้เต็มที่ จากนั้นก็โยนพวกเขาออกไปนอกที่ว่าการอำเภอเสีย
เขาเรียกเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงไปยังห้องฝึกยุทธ์ของตน
ไปเมืองฉางอันครั้งนี้ ข้าได้วิชามาชุดหนึ่ง น่าจะเหมาะให้เจ้าฝึกฝน หลี่มู่ถ่ายทอด ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ฉบับง่ายขั้นที่หนึ่งให้กับเด็กรับใช้บัณฑิตน้อย
นี่เป็นการตัดสินใจที่เขาคิดลึกซึ้งมาดีแล้ว
คนข้างกายตน จะต้องให้พวกเขาพัฒนาขึ้น มีพลังปกป้องตัวเองได้ ถึงจะไม่กลายเป็นภาระ
อีกทั้งหลี่มู่เริ่มค่อยๆ รู้สึกแล้วว่าตัวเองคนเดียวพลังอ่อนแอน้อยนิดนัก อย่างไรเสียไม่สู้ฝึกฝนพลพรรคข้างกายให้สะใจ รวบรวมอัจฉริยะในโลกนี้มาแล้วฝึกฝนอบรม หากสร้างขั้วอำนาจที่ไม่เลวขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้นใครกล้าทำลายโลกก็ฝ่าทะลวงมันไป คิดๆ ดูแล้วเจ๋งเป็นบ้า
แน่นอน เงื่อนไขทั้งหมดก่อนหน้านั้นคือหลี่มู่ต้องแข็งแกร่ง
จนถึงตอนนี้ ฮวาเสี่ยงหรงและเด็กรับใช้บัณฑิตสองคนเป็นคนที่เขาวางใจและเชื่อใจมากที่สุด
ดังนั้นสามารถเอา ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ฉบับง่ายขั้นที่หนึ่งมาลองดูก่อนได้
เทียบกับฮวาเสี่ยงหรงแล้ว เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยพอจะเข้าใจทฤษฎีวิถียุทธ์อยู่บ้าง จึงเข้าใจได้เร็วกว่า เขาเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง เริ่มต้นได้ราบรื่นกว่าฮวาเสี่ยงหรง แต่คุณสมบัติกายเขาเทียบไม่ได้กับความพิสดารของกายเต๋าฟ้าประทานของฮวาเสี่ยงหรง สุดท้ายผลลัพธ์จากการฝึกฝนจะเป็นอย่างไร ตอนนี้หลี่มู่เองก็มองไม่ออก
หลังจากถ่ายทอดเสร็จสิ้น เขาก็ให้เด็กรับใช้บัณฑิตฝึกฝนคนเดียวในห้องฝึกยุทธ์ไป ส่วนตัวเองมายังในที่ว่าการอำเภอตามลำพัง
เขาจะวาง ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ใหม่ เสริมความแข็งแกร่งเข้าไปอีก
เทียบกับเมื่อสิบกว่าวันก่อน พลังของหลี่มู่เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะพลังจิตวิญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเบิกเนตรสวรรค์แล้ว การวางค่ายกลทำได้ชำนิชำนาญกว่าเดิม ความเข้าใจต่อทฤษฎีค่ายกลวิชาเต๋าก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น สามารถหาและเสริมข้อด้อยช่องโหว่ของค่ายกลก่อนหน้านี้ได้
ใช้เวลาเต็มๆ ไปหนึ่งชั่วยาม หลี่มู่ก็ซ่อมค่ายกลทั้งหมดเสร็จสิ้น
‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ที่ผ่านการปรับปรุงแล้ว กล่าวได้ว่าเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละค่ายกล มีคุณสมบัติการพัฒนาในระดับหนึ่ง สามารถทำให้พลังของค่ายกลเพิ่มพุ่งพรวดผ่านการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง ประเมินการคร่าวๆ ดูแล้ว หลังจากนี้หนึ่งเดือน ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานก็อย่าได้คิดฝันจะบุกเข้ามาในที่ว่าการอำเภอเลย
และในตอนนี้ระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณฟ้าดินที่รวมตัวกันก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ยังแฝงไว้ด้วยความมหัศจรรย์มากมาย แต่ว่าจำเป็นต้องมีคนคอยควบคุมค่ายกล และกระตุ้นมันอยู่ข้างใน
ด้วยพลังฝึกของหลี่มู่ในตอนนี้ หากควบคุมค่ายกล ต่อให้เป็นยอดฝีมือในระดับเดียวกันบุกมาโจมตี เขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องพ่ายแพ้ถูกขังอยู่ข้างในแน่นอน
นี่คือความน่าอัศจรรย์ของค่ายกลนี้
ครั้นทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลี่มู่ก็เรียกพวกเฝิงหยวนซิงมากำชับ สั่งให้คนย้ายสถานที่ทำงานราชการออกไปจากที่ว่าการอำเภอ แล้วก็สร้างที่ว่าการขึ้นใหม่ข้างนอกเพื่อไม่ให้คนเข้าๆ ออกๆ มากเกินไป จนดูแลยากป้องกันยาก ความลับของค่ายกลรั่วไหล หรือไม่ก็ทำลายบางส่วนของค่ายกลเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
ป้อมปราการมักจะถูกทำลายได้อย่างง่ายดายยิ่งจากภายใน
นี่เป็นคำที่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่เคยพูดไว้
หลี่มู่จำต้องป้องกันไว้ก่อน
นับจากวันนี้ไป ที่ว่าการอำเภอในวันวาน โดยเนื้อแท้ได้กลายเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของหลี่มู่ไปแล้ว
ไม่มีใครมีปัญหากับเรื่องนี้ เพราะที่นี่อยู่ในขอบเขตอำนาจของเขาอย่างสมบูรณ์
เมื่อกลับไปยังห้องฝึกยุทธ์อีกครั้ง เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงฝึกฝนได้ไม่เลว พลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าเทียบกับฮวาเสี่ยงหรงแล้วยังห่างชั้นกันอีกมาก นี่เป็นเรื่องของพรสวรรค์ส่วนบุคคลที่สวรรค์ลิขิตมา ไม่มีทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ หนทางการฝึกฝนของชิงเฟิงจึงจำต้องอดทนฝึกไปอย่างช้าๆ
หลี่มู่ถ่ายทอดวิธีควบคุมค่ายกลบางส่วนให้ชิงเฟิงอย่างจริงจัง…พลังจิตวิญญาณของชิงเฟิงย่อมไม่มากพอจะควบคุมมันได้ แต่หากใช้คู่กับป้ายหยกควบคุมที่หลี่มู่ทิ้งไว้ให้ก่อนหน้านี้ก็แสดงพลังส่วนหนึ่งของ ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ออกมาได้
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว
หลี่มู่เตรียมตัวเดินทางกลับไปยังเมืองฉางอันอีกครั้ง
เจิ้งฉุนเจี้ยนก็กลับไปด้วยกันกับเขาด้วย
ส่วนคุณชายหลี่ปิงผู้เคราะห์ร้ายก็ยังคงถูกขังอยู่ในคุกของที่ว่าการเช่นเดิม
จวบจนกระทั่งยามโพล้เพล้ หมอยาสาวจ้าวหลิงถึงค่อยได้ข่าวว่าหลี่มู่กลับไปยังฉางอันอีกรอบแล้ว
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ในใจของหมอยาสาวผิดหวังเป็นอย่างมาก
ข้าจะต้องรู้ความลับในตัวเจ้าให้ได้
นางรู้สึกว่าตัวหลี่มู่มีความลับซ่อนอยู่มากมายเหลือคณา
นางสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
และความรู้สึกแบบนี้ทำให้ใจของนางเหมือนมีลูกแมวตัวเล็กๆ ใช้อุ้งเท้านุ่มนิ่มเขี่ยไปมา ใจคันยุบยิบจนทรมานนัก
……
วันที่สองตอนเช้า หลี่มู่ก็กลับมาถึงเมืองฉางอันอีกครั้ง
เหตุที่เร็วถึงขนาดนี้ก็เพราะหลี่มู่ขี่เสือดาวเบญจมาศ ไม่ต้องคอยดูแลรถม้าของพวกท่านแม่หลี่ แทบจะห้อตะบึงมาทั้งคืน ก้าวข้ามระยะทางหลายร้อยลี้ ยามดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้น เขาก็ถึงหอสดับเซียนบนถนนกลิ่นกำจายแล้ว
เอ๋ คุณชาย ท่านกลับมาแล้ว?
ฮวาเสี่ยงหรงที่เพิ่งจะฝึกฝนยามเช้าเสร็จสิ้นเห็นหลี่มู่ปรากฏตัว ก็ดีใจเป็นนักหนาทันที
หลี่มู่ไปจากเมืองฉางอันเพิ่งจะสองวันนิดๆ เท่านั้น แต่สำหรับนางราวผ่านไปเป็นปี
ความรู้สึกที่ในใจมีใครคนหนึ่งในนั้น ในที่สุดหญิงสาววัยแรกแย้มก็ได้สัมผัสอย่างถ่องแท้แล้ว ความคิดถึงที่เหมือนใจจะขาด ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกไม่นานชายในดวงใจจะกลับมาแต่ก็อดคิดถึงไม่ได้ หากไม่ใช่ว่าฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิดเทพนารี’ ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้วละก็ ความรู้สึกของฮวาเสี่ยงหรงในช่วงสองวันนี้คงแทบจะเนิ่นนานยิ่งนัก
หลี่มู่ยกมือลูบผมของฮวาเสี่ยงหรงอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเอ่ย บอกไว้แล้วว่าสองวันจะกลับมา แน่นอนว่าต้องกลับมาสิ
ฮวาเสี่ยงหรงเขินอายจนหน้าแดง
เพิ่งจะผ่านไปสองวันเท่านั้น แต่ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของฮวาเสี่ยงทำให้หลี่มู่ตกใจยิ่ง
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เลือดลมและพลังชีวิตของฮวาเสี่ยงหรงเต็มเปี่ยมสมบูรณ์กว่าสองวันที่แล้วมากกว่าสิบเท่า ในกายเต็มไปด้วยพลัง หากฮวาเสี่ยงหรงเมื่อสองวันก่อนเป็นเพียงแค่สตรีธรรมดาๆ ที่อ่อนแอ เช่นนั้นนางในยามนี้ก็มีคุณสมบัติกายขั้นรวมกำลังสุดยอดแล้ว
พลังที่เพิ่มมามากยิ่งกว่าคือพลังจิตวิญญาณ
เกรงว่าความแข็งแกร่งของพลังจิตวิญญาณจะเทียบเท่าจอมเวทระดับสองดาวแล้วกระมัง…นี่มันจะ…เร็วเกินไปแล้ว
ความเร็วในการฝึกฝนของกายเต๋าฟ้าประทานทำให้หลี่มู่ต้องตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า
……………………………………………………