จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 239 ถ่ายทอดวิชา
หลังจากที่ได้ฟัง สีหน้ากุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าและนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มองหน้ากันเองด้วยความรู้สึกไม่วางใจนัก
กุนซือแห่งทุ่งหญ้าลองเอ่ยถามขึ้น ท่านมีเรื่องลับใดที่ต้องสอบถามธิดาเทพหรือ?
หลี่มู่ตอกกลับ เจ้าก็รู้ว่าเป็นเรื่องลับๆ แล้วยังจะถามทำไม?
กุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาพูดไม่ออกยิ่ง รู้สึกได้เลยว่ายอดยุทธ์ผู้ลึกลับตรงหน้าคนนี้เป็นคนที่คุยด้วยลำบากจริงๆ แต่ละประโยคที่พูดมามีแต่จะทำให้โมโหโกรธเคืองกัน…จะพูดจาดีๆ กันหน่อยได้หรือไม่
กุนซือหนุ่มและนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ยังคงรู้สึกเป็นกังวลกับธิดาเทพชิงเยียน นั่นเป็นเพราะ…นางงดงามจนเกินไปนั่นล่ะ
หลี่มู่พอเห็นสีหน้าของคนทั้งสอง ก็รู้ทันทีว่าพวกเขากำลังกังวลเรื่องอะไร จึงเอ่ยขึ้นมาว่า พอเลยๆ เจ้าคิดว่าข้าจะจับนางขืนใจแล้วสังหารทิ้งหรือไงกัน? นี่ ในหัวของพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่ ทำไมมีเรื่องสกปรกพรรค์นี้เยอะนัก นางเป็นหลานสาวของข้าเลยนะ พวกเจ้านี่มัน…
หุบปาก สีหน้าของธิดาเทพชิงเยียนเปลี่ยนทันควัน หลี่มู่คนนี้ปากเสียเกินไปแล้ว
ส่วนนายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าหน้าดำหน้าแดงกันเป็นแถบ
เจ้าคนนี้ช่างปากกล้าจริงๆ
หากเป็นคนอื่นละก็ ป่านนี้คงถูกธิดาเทพชิงเยียนสับเป็นชิ้นๆ ก่อนโยนให้สุนัขกินไปแล้วกระมัง
คำพูดเช่นนี้เป็นเกล็ดใต้คอมังกร[1]ของธิดาเทพชิงเยียนเลยก็ว่าได้
ข้าจะอยู่เอง พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ ธิดาเทพชิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
หลี่มู่หัวเราะคิกคัก ทำท่าโบกมือลาไปทางนายน้อยเผ่ายิงจันทร์และกุนซือแห่งท้องทุ่งหญ้า
ทั้งสองรู้สึกจนปัญญา จากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายจากไปอย่างว่าง่าย
ท่านให้ข้าอยู่ก่อน มีเรื่องอะไรหรือ? ธิดาเทพชิงเยียนถามเสียงเย็น
หลี่มู่ตอบกลับ จิ๊ๆๆ เจ้าทำหน้าอย่างนี้ ราวกับว่าข้าติดค้างอะไรเจ้าอยู่…คืนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะข้า พวกเจ้าคงกลายเป็นศพกันหมดแล้ว ไม่คิดจะพูดขอบคุณข้าสักหน่อยหรือ?
ธิดาเทพชิงเยียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่พูดอะไรกลับสักอย่าง
หลี่มู่คิดในใจ ให้ตายเถอะ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอารมณ์ขันกับเขาบ้างหรือไงกัน
เขาคิดๆ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น อย่าจ้องข้าแบบนี้ เจ้าอย่าคิดเป็นอื่นไปล่ะ ผู้หญิงเย็นชาเป็นน้ำแข็งแบบเจ้า ข้าไม่ได้สนใจเลยสักนิด…อืม ข้าถามเจ้าข้อหนึ่งก็แล้วกัน เจ้าน่ะ เป็นคนเผ่าเดียวกับพี่ใหญ่กัวใช่หรือไม่?
ถ้าเป็นแล้วจะทำไมรึ? ธิดาเทพชิงเยียนถูกยั่วจนแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว
นางรู้สึกว่าความอดทนของตนเองมาถึงขีดสุดแล้ว หากเป็นคนอื่นละก็ เมื่อพูดประโยคแบบนี้มา เกรงว่าจะถูกนางตราหน้าเป็นศัตรูอาฆาตเป็นแน่
ถ้าใช่ เจ้าก็ล้างหูรับฟังไว้ดี ข้าจะพูดแค่รอบเดียว หลี่มู่ใช้ส่งกระแสจิตออกไปสำรวจบริเวณรอบๆ ตรวจดูว่ามีพวกยอดฝีมือคนใดแอบฟังอยู่หรือไม่ จากนั้นจึงเอ่ยถึงเคล็ดลับกระบวนหนึ่ง
ธิดาเทพชิงเยียนตกตะลึง นางรู้ว่านี่คือเคล็ดลับของวิชาเทพ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’
นางฝึกฝน ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ จากเศษเสี้ยววิชาที่หลงเหลืออยู่มา ดังนั้นพอได้ยิน ก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่หลี่มู่พูดคือเคล็ดที่สมบูรณ์แบบของวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ถึงแม้จะเป็นเคล็ดลับที่บอกเพียงจุดสำคัญ แต่ก็ทำให้สิ่งที่ขาดหายไป ความย้อนแย้ง และความคลุมเครือที่นางได้จากเศษเสี้ยววิชากระจ่างแจ้งทั้งหมดในทันที
หลี่มู่บรรยายต่อไปเรื่อยๆ บอกทั้งบทนำ จิตอาตมัน เกาทัณฑ์ดั่งจิต และศรสถิตสวรรค์ทั้งสี่ส่วนของเคล็ด ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ออกมาจนหมด สมบูรณ์ครบถ้วนยิ่ง ไม่มีส่วนใดที่ตกหล่นเลยแม้แต่น้อย
ธิดาเทพชิงเยียนฟังอย่างใจจดใจจ่อ
เพราะนางเคยเรียนจากเศษเสี้ยววิชาที่เหลืออยู่มาแล้ว จึงสามารถเข้าใจได้ว่าวิชาเทพแผลงศร ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ที่สมบูรณ์นั้นน่ากลัวและสูงส่งเพียงใด ในที่ราบทุ่งหญ้าเล่าขานกันว่าวิชาธนูเทพนี้ทัดเทียมได้กับตำราลับของเก้าสำนักเทพ เป็นวิชาสุดยอดอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
เมื่อมีพื้นฐานที่เคยร่ำเรียนมาก่อน ประกอบกับสติปัญญาอันปราดเปรื่องของธิดาเทพชิงเยียน รวมกับนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ พวกเขาจึงกลายเป็นคู่หนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์แห่งที่ราบทุ่งหญ้า ดังนั้นฟังเพียงรอบเดียว นางก็สามารถจดจำได้ถึงเก้าในสิบส่วน มีเพียงศรสถิตสวรรค์ระดับสุดท้ายเท่านั้นที่ฟังแล้วยังรู้สึกคลุมเครือไม่ชัดเจนในส่วนเล็กๆ
จำได้หรือยัง? หลี่มู่ถามขึ้น
สายตาของธิดาเทพชิงเยียนอ่อนโยนลงบ้างแล้ว พอคิดที่จะตอบ กลับถูกหลี่มู่ขัดขึ้นว่า จำไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่พูดรอบที่สองแล้ว
ธิดาเทพชิงเยียนลมหายใจสะดุดกึก
นางรู้สึกได้ถึงความหวังดีของชายสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้ แต่ว่าทำไมเขาถึงได้ปากเสียนัก พูดจากันดีๆ ไม่ได้หรือ?
ทำไมท่านถึงถ่ายทอดเคล็ดลับของวิชาเทพนี้ให้กับข้า? ธิดาเทพชิงเยียนพยายามอดกลั้นความโมโห เพื่อให้น้ำเสียงปกติที่สุด
โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว นางเริ่มอยากรู้อยากเห็นในตัวของหลี่มู่ขึ้นมาบ้างแล้ว
นี่ไม่เหมือนกับตัวนางในเวลาปกติเลยสักนิด
เพราะเห็นวิชาธนูของเจ้าแล้ว มันแย่มากจริงๆ ระดับฝีมือแค่นี้ทำพี่ใหญ่กัวขายหน้าโดยแท้ ถ้าจำไว้แล้วก็กลับไปฝึกฝนให้ดีๆ เสีย หากพัฒนาขึ้นมาได้บ้าง ทีหลังจะได้ไม่โดนจับไปขายที่หน่วยเลี้ยงรับรองอีก หลี่มู่พูดกลับมา
ธิดาเทพชิงเยียนหัวเสีย
ท่านลุงกัวให้ท่านมาถ่ายทอดวิชาให้ข้า ใช่หรือไม่? นางลองเดาสุ่มดู
หลี่มู่ยกมุมปากขึ้น ชิ พี่กัวไม่เคยบอกเสียหน่อย เขาไม่เคยเอ่ยถึงเจ้าด้วยซ้ำ ข้าแค่เห็นรอยสักบนหัวไหล่เจ้า ถึงคิดเชื่อมโยงได้เฉยๆ
ธิดาเทพชิงเยียนหน้าแดงก่ำทันควัน แต่เพียงพริบตาความเขินอายทั้งหมดก็สลายไป
นางตระหนักได้ทันทีว่า ก่อนหน้าที่ตนเองจะถูกจับตัวไปประมูลขายที่หน่วยเลี้ยงรับรอง ชายใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้ก็อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมองเห็นอีก ขณะนั้นนางถูกพันธนาการไว้ในรถกรงเหล็กด้านหลัง ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้เลยว่าบนเวทีหลักเกิดอะไรขึ้น
หลี่มู่ถูกความกระดากอายของนางเล่นงานจนตกตะลึงไป
ให้ตาย ผู้หญิงคนนี้สวยบาดจิตบาดใจจริงๆ
ถ้าหากพูดถึงระดับความสวยแล้วละก็ ฮวาเสี่ยงหรงที่ฝึกฝนวิชา ‘พลังฟ้าประทานฉบับย่อ’ ยังดูด้อยกว่าเล็กน้อย สตรีลึกลับในชุดขาวที่หันมายามล้างหน้าอยู่ริมทะเลสาบเมื่อตอนนั้น ถึงจะสามารถนำมาเทียบกับพริบตาที่เทพธิดาสงครามเผยท่าทีเขินอายเมื่อครู่ได้
หลี่มู่ถ่ายทอดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ให้กับนาง ไม่ใช่เพราะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ หรือเพราะมีความคิดน่าเบื่อที่ต้องการรอยยิ้มสาวงามเป็นการตอบแทนอะไรเทือกนั้น แต่เมื่อครั้งที่ได้พูดคุยกับกัวอวี่ชิงที่น้ำตกเก้ามังกร หลังจากที่กัวอวี่ชิงถ่ายทอดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ นี้ให้กับหลี่มู่ เขาเคยพูดอย่างทอดถอนใจโดยไม่รู้ตัวว่า วิชานี้เดิมทีเป็นของที่ราบทุ่งหญ้า น่าเสียดายที่ปีนั้นเขาไม่ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับชาวเผ่าของตน และตัวเขาตอนนี้ก็ไม่สามารถกลับไปเหยียบที่ราบทุ่งหญ้าได้อีกตลอดชีวิต พออยากนำวิชาธนูเทพนี้ส่งกลับไปที่ท้องทุ่งหญ้าจึงยากเย็นเหลือเกิน
หลี่มู่ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่กัวชิงเยียน เป็นเพียงแค่การเติมเต็มความเสียใจของพี่ใหญ่กัวเท่านั้น
ท่านเป็นใครกันแน่? ธิดาเทพชิงเยียนอดถามขึ้นไม่ได้ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ เป็นถึงสุดยอดวิชาเทพ ท่านลุงกัวไม่ได้กำชับอะไรไว้ ท่านก็มาถ่ายทอดให้ข้าเช่นนี้น่ะหรือ?
พูดไร้สาระอะไรกัน วิชาสุดยอดวิชาเทพในสายตาเจ้า สำหรับข้าแล้วก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรนัก ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ในสายตาของข้าก็แค่วิชาธรรมดาๆ เช่นกัน…เจ้ารีบไปเถอะ ค่ายกลกำลังจะหยุดทำงานแล้ว หลี่มู่เอ่ยอย่างรำคาญเต็มที
แต่ยิ่งเขาพูดออกมาเช่นนี้ ธิดาเทพชิงเยียนกลับยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น
กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความโมโหหายไปตั้งแต่ตอนไหน
ท่าน…ถอดหน้ากากออกมาได้หรือไม่ ให้ข้าเห็นสักหน่อย ข้าอยากรู้ว่าชายคนใดที่ช่วยเหลือพวกของข้าและพี่ใหญ่เถี่ยมู่เจินเอาไว้ ธิดาเทพชิงเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติที่สุด
อะไรนะ? หลี่มู่ทำท่าตกใจ เดินถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยขึ้นว่า เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่ามาหลงใหลความหล่อเหลาของข้า ฟ้ากำหนดมาให้ข้าเป็นชายที่เจ้าเอื้อมไม่ถึง…ฮึ นางโลมที่หน่วยเลี้ยงรับรองพวกนั้นต่างก็อยากเห็นโฉมหน้าของข้าโดยไม่สนสิ่งใด มาอ้อนวอนขอร้อง อยากจะร่วมหมอนนอนเคียงด้วย ข้าก็ปฏิเสธไปจนหมด…ทางที่ดีเจ้าอย่าคิดเป็นอื่นจะดีกว่า
ธิดาเทพชิงเยียนอึ้งไป
นางอยากจะฆ่าคนเสียจริงๆ
จะพูดคุยกับชายใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้ดีๆ ทำไมถึงได้ยากเย็นนัก?
เทพธิดาสงครามแห่งทุ่งหญ้านางหนึ่ง ตอนนี้ถูกราชาปีศาจหลี่มู่หยอกเล่นจนหมดท่า
ในพริบตาที่กำลังโมโหอยู่นั้น นางลืมไปจนหมดสิ้นว่าพลังของตนเองแตกต่างจากหลี่มู่เพียงไหน รีบพุ่งตัวพร้อมยื่นมือเข้าไปคว้าหน้ากากของเขาทันที
ขณะที่ยื่นมือออกไป ในใจของนางพลันได้สติกลับมา อีกฝ่ายมีฝีมือล้ำลึกถึงเพียงนี้ นางจะถอดออกง่ายๆ ได้อย่างไร?
แต่ทว่าสิ่งที่นางคาดไม่ถึงเลยคือ หลี่มู่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย
หน้ากากผียิ้มสีเงินถูกปลดออก
ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่องอาจผึ่งผายปรากฏขึ้น
ไม่ถึงกับหล่อเหลาที่สุด เพียงแต่คิ้วเข้มตาโต ทว่าคิ้วดกดำนี้ และยังดวงตาที่ราวกับมีหมู่ดาวเปล่งประกายอยู่ภายใน นัยน์ตาดำขลับจนเหมือนบึงน้ำลึกมืดสนิท ประหนึ่งจะกลืนกินวิญญาณของมนุษย์ลงไปได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อายุน้อยเกินไปแล้ว
น้อยกว่าที่กัวชิงเยียนคิดเอาไว้เสียอีก
นี่มันใบหน้าของหนุ่มน้อยชัดๆ
แม้ว่าก่อนหน้าตอนที่ได้ยินเสียงภายใต้หน้ากากสีเงินนั้น ก็เดาออกแล้วว่าเขาคงอายุน้อยนัก แต่พอได้มาเห็นใบหน้าจริงๆ นางก็ยังตกใจเป็นอย่างมาก
นี่ไม่ใช่ใบหน้าที่รักษาความอ่อนเยาว์ไว้ได้เพราะพลังยุทธ์ลึกล้ำเสียด้วย
รัศมีที่อ่อนเยาว์จากกลางใบหน้ากระจายออกมาอย่างยับยั้งไม่ได้
มือคว้าเอาหน้ากากสีเงินมาได้ สมองของเทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเกิดความคิดสับสนวุ่นวายในพริบตา นางยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ นางไม่คิดเลยว่าตนเองจะสามารถปลดหน้ากากของหลี่มู่ลงมาได้
เจ้า… หลี่มู่กลับมีสีหน้าโกรธและตกตะลึง รีบพูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า เจ้ากล้าลงมือเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ ตอนที่อาจารย์ของข้าสวมหน้ากากนี้ให้เมื่อสิบปีที่แล้ว เขาบังคับให้ข้าเอ่ยคำสาบาน ภายภาคหน้าหากมีสตรีคนใดมาถอดหน้ากากนี้ออก ข้าจะต้องแต่งงานกับสตรีนางนั้น มิเช่นนั้นภายในยี่สิบปีข้าต้องจากโลกใบนี้ไป…เจ้า…เจ้าทำไมถึงทำเช่นนี้? เจ้าต้องรับผิดชอบ!
เทพธิดาสงครามแห่งทุ่งหญ้าได้ยินดังนั้น ก็อึ้งตะลึงอีกครั้ง
มีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ?
นางรู้สึกตัวขึ้นมาทันที ตนเองบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปเสียแล้ว จริงหรือ?
แต่เมื่อนางเห็นใบหน้ากลั้นหัวเราะของหลี่มู่ ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตนเองน่าจะถูกหยอกเล่นเข้าแล้ว จึงพลันโมโหจนทำอะไรไม่ถูก ขว้างหน้ากากสีเงินนั้นกลับไปที่หน้าอกของหลี่มู่ หันหลังกลับโดยไม่พูดไม่จา จากนั้นรีบพุ่งเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที
แล้วเจ้าจะรับผิดชอบไหมนี่?
หลี่มู่จงใจตะโกนเสียงดัง
พริบตาต่อมา ร่างของเทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าก็เลือนหายไปกลางค่ายกล
หลี่มู่ทำปางมือ หยกทั้งหกชิ้นถูกเก็บกลับมา ค่ายกลหยุดทำงาน
เมื่อเขากระทืบเท้า พื้นดินสั่นสะเทือน ร่องรอยลายค่ายกลที่สลักเอาไว้สลายหายไปในพริบตา
หลี่มู่หันหลังกลับ พุ่งตัวราวสายฟ้า มุ่งหน้าตรงไปทางศูนย์กลางของหน่วยเลี้ยงรับรอง
เรื่องที่ควรจะทำก็ทำจนหมดสิ้น ตอนนี้ต้องไปหนุนซ่างกวนอวี่ถิงแล้ว
ทว่าในใจของเขายังคงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่เนตรสวรรค์เห็นอยู่ภายในหอโอบจันทร์ ผู้แข็งแกร่งน่าพรั่นพรึงที่มีกลิ่นอายร้อนแรงราวตะวันคนนั้น จริงๆ แล้วเป็นใครกันแน่ ทำไมจึงยังไม่เห็นลงมือ?
………………