จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 243 ลมพัดโหมเมฆตั้งเค้า
สิ่งที่ควรทำ ข้าได้ทำไปจนหมดแล้ว ส่วนที่ทำไหวก็พยายามอย่างเต็มที่ เรื่องที่เหลือคงต้องให้ฟ้าลิขิตแล้ว
หลี่มู่ถอนหายใจ
พอคิดถึงถังฮูหยินที่สะสวยแบบผู้ใหญ่และบุตรสาวที่งามราวกับเทพธิดาสองนางนั้น หลี่มู่ก็อดกังวลและเสียดายกับโชคชะตาของพวกนางไม่ได้
เจ้าก็จับตาดูให้ดีแล้วกัน หากมีข่าวคราวเกี่ยวกับถังฮูหยิน ให้รีบมาแจ้งข้าทันที
หลี่มู่สั่งการไป
ขอรับ เจิ้งฉุนเจี้ยนโค้งคำนับ
จากนั้น เขายังพูดต่อว่า คุณชายเตรียมที่จะออกจากเมืองฉางอันเมื่อไรหรือขอรับ?
หลี่มู่ตอบกลับ ยังไม่ได้ไปสำรวจที่สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์กับสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เลย คาดว่าน่าจะต้องอยู่ที่เมืองฉางอันนี่อีกหลายวันอยู่
สีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดต่อว่า ข้าน้อยคิดว่าคุณชายออกจากเมืองฉางอันให้ไวที่สุด น่าจะดีกว่ากระมัง?
หลี่มู่มองเขาและถามขึ้น หืม? เพราะอะไร? หรือว่าที่อำเภอขาวพิสุทธิ์เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เจิ้งฉุนเจี้ยนรีบร้อนตอบกลับ ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ยังปกติดีขอรับ ฮูหยินที่อยู่ในอำเภอได้รับการดูแลจากหมอยาจ้าวหลิงเป็นอย่างดี เห็นว่าสายตาฟื้นฟูบ้างแล้ว เมืองอำเภอภายใต้การจัดการของเฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ เจินเหมิ่ง และบรรดาคุณชายน้อยอีกหลายคนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแค่…
พูดถึงจุดนี้ เขาก็เริ่มลังเลเล็กน้อย
หลี่มู่เอ่ยขึ้น แค่อะไร? พูดมาเถอะ
เจิ้งฉุนเจี้ยนกล่าวต่อ เพียงแค่ช่วงนี้ สถานการณ์ในเมืองฉางอันเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ทุกขั้วอำนาจต่างกำลังรวมตัวกัน ได้ยินว่าคนจากสำนักดับนิวรณ์ก็กำลังมาที่นี่ เว่ยชงคนนั้นถึงแม้เป็นเพียงแค่ผู้อาวุโส แต่ก็ยังเป็นหน้าตาของสำนักดับนิวรณ์ คุณชายสังหารเขาไป สำนักดับนิวรณ์ไม่มีทางสงบศึกอย่างนี้เป็นแน่ ไหนจะพรรคจันทราโลหิต จวนเจิ้นซีอ๋อง สำนักตรวจสอบ กระทั่งสำนักกระบี่สวรรค์ก็ตรงมาที่นี่ ลือกันว่าเป็นเพราะการตายของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์…คุณชายต้องระมัดระวังตัวให้มากนะขอรับ
หลี่มู่มองเจิ้งฉุนเจี้ยน กล่าวว่า เจ้ากลัวว่าถ้าข้าถูกสังหาร คำสาปยันต์เป็นตายในร่างเจ้าจะไม่มีใครถอนได้หรือไร?
เจิ้งฉุนเจี้ยนรีบร้อนตอบ ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยเพียงรู้สึกว่าคุณชายเก่งกาจมีพรสวรรค์ เป็นหนึ่งในใต้หล้า ไม่ควรฝืนทำอะไรในเวลานี้ แต่ควรที่จะเลี่ยงออกไปบ้าง ด้วยพรสวรรค์ของคุณชาย ต้องการเพียงแค่เวลาเท่านั้น วันหน้าท่านถูกกำหนดให้โบยบินเอาไว้แล้ว เหตุใดต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้?
หลี่มู่หัวเราะ
เขาก็รู้สึกได้ถึงความหวังดีจากคำพูดของเจิ้งฉุนเจี้ยนเช่นกัน
คนผู้นี้แม้วิธีการลงมือจะโหดเหี้ยม ทำเรื่องเลวทราม ซ้ำยังรักตัวกลัวตาย ไม่ใช่คนดีอะไรเลย แต่ตอนใช้งานก็ยังราบรื่นดี
ไม่ใช่คิดเล็กคิดน้อย แต่เวลาของข้า เดิมทีก็เหลือไม่มากอยู่แล้ว หลี่มู่เอ่ยต่อ เจ้าไปเถอะ ได้ข่าวคราวอะไร ให้รีบมาแจ้งข้าทันทีก็พอ
เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่เอ่ยอะไรต่ออีก ท้ายที่สุด เขาก็หมุนตัวเดินจากไป
หลี่มู่ลุกขึ้น เดินออกจากห้องหนังสือ
ค่ายกลป้องกันของลาน ‘เรือนซอมซ่อ’ เริ่มเสื่อมบ้างแล้ว พลังของหลี่มู่ในตอนนี้เพิ่มขึ้นมามากมาย แน่นอนว่าต้องจัดการวางเสียใหม่ เพื่อให้ลานนี้กลายเป็นเหมือนป้อมปราการที่ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก อย่างน้อยก็ป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับซ่างกวนอวี่ถิงและบรรดาสาวงามทั้งสิบเจ็ดคนนี้ได้ หลี่มู่จะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังอีก
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากหลอม ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ได้ หลี่มู่มีความมั่นใจในการวางค่ายกลมากขึ้นแล้ว
ประโยชน์ของอาวุธเต๋า ไม่เพียงแต่นำมาใช้ขณะสู้รบเท่านั้น แต่ยังนำมาฝึกบำเพ็ญได้ ตราประทับห้าธาตุสามารถควบรวมพลังแห่งธาตุทั้งห้า ส่วนค่ายกลและอักขระเต๋าด้านใน ก็สามารถนำมาเป็นต้นแบบความเข้าใจในวิชาเต๋าห้าธาตุ ในเวลาเดียวกัน ยังนำมาวางค่ายกลและช่วยเพิ่มพลังค่ายกลได้ด้วย
หลี่มู่เริ่มลงมือ ขุดๆ กลบๆ ทั้งด้านนอกและในเขตที่พัก พยายามบูรณะบางส่วนไม่หยุด
เหล่าสาวงามหลังจากจัดการเรื่องที่หลับนอนของตนเองเสร็จแล้ว ก็สังเกตุหลี่มู่อย่างสนอกสนใจ
ยอดยุทธ์ที่เขาเล่าลือกันคนนี้ มองแล้วไม่เห็นจะเย็นชาเข้าหายากเหมือนที่ผู้คนเปรียบเปรยกันไว้ ซ้ำยังคล้ายน้องชายข้างบ้านเสียด้วยซ้ำ ดูอ่อนโยนและน่าสนใจนัก จากปากของซ่างกวนอวี่ถิง พวกนางจึงได้รู้ว่าหลี่มู่เพิ่งอายุสิบห้าปีเท่านั้น
การบูรณะค่ายกล ใช้เวลาของหลี่มู่ไปหลายวันถึงจะเสร็จสมบูรณ์
จากการช่วยเหลือของ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ หลี่มู่อ้างอิงอักขระค่ายกลเต๋าด้านใน จัดการวางค่ายกลห้าธาตุเอาไว้ด้านนอกลานของ ‘เรือนซอมซ่อ’ ใหม่ เหนือใต้ออกตกและจุดกึ่งกลางฝังหยกอาคมก้อนใหม่ลงไป แบ่งเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง โดยให้ทองอยู่ใจกลาง ดินน้ำลมไฟล้อมรอบสี่ทิศ
ช่วงสามสี่ห้าวันนี้ หลี่มู่ไม่ได้ออกไปไหน เขาทำงานขะมักเขม้นอยู่ภายใน ‘เรือนซอมซ่อ’ แห่งนี้ ซ่อมนั่นเติมนี่ราวกับลืมเรื่องอื่นไปจนหมดสิ้น
เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ค่อนข้างขยันขันแข็ง ข่าวคราวมากมายถูกส่งมาไม่ขาดสาย
ในช่วงนี้ มีพวกไม่ดูตาม้าตาเรือส่วนหนึ่ง ไม่รู้ว่าขั้วอำนาจไหนส่งเข้ามาสอดแนมอยู่ในเงามืด แต่ก็ถูกหลี่มู่จัดการเรียบร้อย โดยที่พวกซ่างกวนอวี่ถิงไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
วันที่หก การซ่อมค่ายกลของหลี่มู่นับว่าเสร็จสมบูรณ์ลง
พริบตาที่ค่ายกลเริ่มทำงาน พื้นดินเกิดแรงสั่นสะเทือน น้ำในบ่อพุ่งราวน้ำพุ ลมตลบเมฆม้วนตัว ต้นไม้ใบหญ้าในลานลอยขึ้นเริงระบำ แสงเทพไร้สีตรงมารวมกันที่ศูนย์กลาง จากนั้นพุ่งขึ้นสู่ฟ้า พลังวิญญาณจากทั่วสารทิศพุ่งมารวมกันตรงนั้น ภาพขณะที่เริ่มช่างน่าตกตะลึง แสงศักดิ์สิทธิ์ราวมังกรที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าทะยานขึ้นสูงหลายลี้ ประหนึ่งเสาค้ำยันสวรรค์ก็มิปาน
ซ่างกวนอวี่ถิงและซินเอ๋อร์เคยชินแล้วกับการที่หลี่มู่ทำอะไรเอะอะมะเทิ่ง แต่กลุ่มสาวงามซึ่งพูดคุยกันอยู่กลับตกใจอย่างรุนแรง พวกนางล้วนเป็นคนฉลาด ย่อมมองออกว่าการเคลื่อนไหวที่อัศจรรย์เช่นนี้ คือผลพวงจากสิ่งที่หลี่มู่ลงทุนลงแรงทำมาหลายวัน
สวีหว่านเอ๋อร์กับลู่เซิ่งหนานพิจารณาอยู่อย่างเงียบๆ ว่าจะเข้าหาหลี่มู่อย่างไรดี จึงจะได้ร่ำเรียนความสามารถของเขามาบ้าง
โดยเฉพาะคนหลัง อยากให้หลี่มู่ช่วยฟื้นฟูพลังแท้จริงของนางกลับมาแทบทนไม่ไหว นางจะได้กลับไปแก้แค้น
สตรีคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็มีความคิดเช่นนี้
ภาพที่น่าอัศจรรย์แบบนี้ แน่นอนว่าต้องทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายในเมืองฉางอัน
มีคนคาดคะเนว่าอาจมีสมบัติบางอย่างปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์
ค่ำคืนนั้น จำนวนของพวกที่มาสอดแนมจากขั้วอำนาจต่างๆ พุ่งขึ้นไปถึงขีดสุด
แต่ทว่า ลาน ‘เรือนซอมซ่อ’ ที่อยู่ภายใต้การทำงานของค่ายกลราวกับถูกตัดขาดไปอีกโลกหนึ่ง ถึงหลี่มู่ไม่ทำอะไร คนภายนอกก็ไม่สามารถเร้นกายเข้ามาได้ ส่วนด้านนอกมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น และสัมผัสถึงไม่ได้ด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์คือทุกฝ่ายต้องผิดหวังกันไป
แน่นอน หลังจากมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลี่มู่สร้างขึ้น ความหวาดหวั่นที่ทุกฝ่ายมีต่อหลี่มู่ก็ยิ่งทบเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า
บรรยากาศในเมืองฉางอันช่วงนี้ค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นทุกวัน
บรรดาทหารลาดตระเวนบนถนนเปลี่ยนจากองครักษ์และมือปราบของกองรักษาการณ์ทั้งสี่ เป็นทหารทัพหลักที่มาจากค่ายทหารใหญ่นอกเมือง
เหล่าทหารกองกำลังหลักไม่ใช่แค่เจนจัดด้านการรบ ศาตราวุธก็ดีเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นระดับอาวุธสงครามทีเดียว
พวกที่ถูกเลือกให้มาลาดตระเวนบนถนน ต่างเป็นสุดยอดของทัพหลัก บนตัวพกอาวุธเวทสีแดงเข้ม เสื้อเกราะและอาวุธล้วนเสริมพลังของจอมเวท พร้อมสลักค่ายกลดาราเอาไว้ เมื่อกระตุ้นจะมีพลังป้องกันและโจมตีที่แข็งแกร่ง
นอกเหนือจากนี้ ทหารทุกนายที่ออกลาดตระเวนต่างพกธนูดาราติดตัว สามารถยิงศรทลายดาวที่อัดแน่นด้วยกำลังภายในของขั้นปรมาจารย์ถึงสิบดอกในพริบตา นี่เป็นอาวุธร้ายแรงที่มีไว้รับมือกับจอมยุทธ์ยอดฝีมือ หากถูกหน่วยลาดตระเวนเหล่านี้รุมล้อม ยอดปรมาจารย์ขั้นต้นบางส่วนก็อาจถูกเด็ดหัวเช่นกัน
ภายใต้การลาดตระเวนเช่นนี้ บรรดาสำนักใหญ่ พรรค หรือกระทั่งโรงฝึกยุทธ์ต่างๆ ในเมืองฉางอันสงบเสงี่ยมกันมากขึ้น
พวกจอมยุทธ์และผู้แข็งแกร่งไร้สังกัดที่กำเริบเสิบสานอยู่ในเมือง ก็เริ่มม้วนหางทำตัวเป็นคนดีเช่นกัน
ทางการประกาศรางวัลนำจับ ให้จับกุมพรรคพวกขุนพลเจิ้นกั๋วถังฉงที่หลบหนีออกไปจากหน่วยเลี้ยงรับรอง
รูปภาพของถังฮูหยิน ถังถัง ถังมี่ หวางเฉิน และชายชุดขาวร่างผอม รูปภาพของชาวที่ราบทุ่งหญ้า รวมทั้งชายสวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน ต่างก็ถูกวาดออกมาได้ละม้ายคล้ายคลึง หลังจากใช้เวททำสำเนากว่าหมื่นแผ่น ก็ถูกนำไปติดประกาศในทุกถนนซอกซอย รางวัลนำจับสูงลิ่ว แม้แต่การแจ้งเบาะแสเล็กน้อยยังรับรางวัลได้ถึงหนึ่งร้อยตำลึงทอง
เมื่อหลี่มู่เห็นประกาศจับจากทางการ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป
ฝ่ายองค์ชายสองรู้อยู่แล้วว่าคนใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินคือเขา แต่หลังจากแปะประกาศนี้ออกไป กลับไม่มีการบุกเข้ามาจับกุมตรงๆ ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียเฉยๆ หรือเขาอาจกำลังรอโอกาสที่เหมาะสมอยู่?
หลี่มู่หยิบประกาศนำจับนั้นมาติดไว้ที่ประตูของลานบ้านของเรือนซอมซ่อ
การติดตามจับกุมในเมืองหนักข้อขึ้นทุกวัน
หน่วยลาดตระเวนของกองกำลังหลักร่วมมือกับองครักษ์และมือปราบของกองรักษาการณ์ทั้งสี่ รวมถึงอิทธิพลของบรรดาสำนัก พรรคใหญ่ สมาพันธ์การค้า และกลุ่มการเงินที่ทางการว่าจ้างมา เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ราวกับเป็นตะข่ายล่องหนผืนใหญ่ที่ทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง ปกคลุมลงมากลางเมืองฉางอัน ไล่ตรวจค้นหาตัวคนตระกูลถังกันอย่างบ้าคลั่ง
แต่ละพื้นที่ของเมืองฉางอันเกิดการต่อสู้ขึ้นตลอดเวลา
บรรดาจอมยุทธ์ชั่วช้าที่ถูกจักรวรรดิหมายหัวหรือตามจับอยู่ เดิมทีพรางตัวเปลี่ยนชื่อหลบซ่อนได้เป็นอย่างดี อยู่ในเมืองฉางอันมาหลายปีก็ไม่เคยเกิดอันตราย แต่ภายใต้การตามจับกุมจนแทบจะขุดค้นทุกๆ สามฉื่อของทางการเช่นนี้ พวกเขาเสมือนกลายเป็นปลาดิ้นในบ่อเลนแห้งขอด น้ำลดหินโผล่ ถูกจับกุมอย่างง่ายดาย
สำหรับคนเหล่านี้แล้ว ดวงของพวกเขากุดจนถึงที่สุดจริงๆ
แต่ที่ดวงแย่กว่านั้นก็คือ เผ่าปีศาจที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองฉางอันก็ได้รับลูกหลงนี้ ถูกตามจับสังหารด้วยเช่นกัน
เผ่าปีศาจที่พรางตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นปีศาจระดับสูงที่ตบะถึงขั้นแปลงกาย สามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์ได้ ไม่แตกต่างจากคนปกติ ชาวบ้านทั่วไปจะสัมผัสไม่ได้และมองไม่ออก หรือพวกเผ่าปีศาจที่มีความสามารถแปลงกายมาแต่กำเนิด แม้ว่ายังไม่สำเร็จถึงขั้นแปลงกายก็ยังปลอมตัวได้
เผ่าปีศาจเหล่านี้ มีพวกที่เคยชินกับการใช้ชีวิตในสังคมมนุษย์ กระทั่งแต่งงานมีลูก แต่เมื่อถูกกลุ่มลาดตระเวนเหล่านี้จับได้ ก็จะถูกสังหารทิ้งอย่างไร้ความปรานี
พวกที่เกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจ ทั้งหมดจะถูกสังหาร
ว่ากันว่ามีผู้นำสมาพันธ์การค้าใหญ่ผู้หนึ่ง ด้วยความที่ไม่รู้ จึงรับเอาปีศาจจิ้งจอกสาวมาเป็นภรรยา มีลูกสาวหนึ่งคน หลังจากถูกหน่วยลาดตระเวนตรวจเจอ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรหรืออ้อนวอนเพียงใดก็ไร้ซึ่งความหมาย ภายในวันเดียว กว่าหนึ่งร้อยชีวิตถูกสังหารเรียบจนไม่เหลือ
ในสังคมมนุษย์ หากข้องเกี่ยวกับเผ่าปีศาจถือว่ามีโทษหนัก
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน เรียกได้ว่าภายในเมืองฉางอันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ คนตระกูลถังที่เหลือก็เหมือนระเหยหายไปในอากาศ ไม่มีร่องรอยปรากฏให้เห็นเลย
………………