จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 253 ชะตาชีวิต
ในห่อผ้ามีเนื้อสดหนึ่งจิน และยังมีลูกอมห่อเล็กๆ อีกหนึ่งห่อ
ลูกอมนั้นเตรียมมาให้เยวี่ยเยวี่ย
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเครื่องแบบของสำนักที่นางใส่มาแล้วสามปีชุดหนึ่ง ซักสะอาดเรียบร้อย จุดที่ขาดเหล่านั้นล้วนใช้ฝีเข็มถี่ละเอียดปะชุนอย่างดี มองเผินๆ ดูไม่ออก แท้จริงทุกปีสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์จะแจกเครื่องแบบให้สองชุด แต่เหลยอินอินล้วนแลกเครื่องแบบเป็นเงินเอามาจุนเจือครอบครัว ส่วนตัวเองมีชุดเครื่องแบบชุดเดียว ใส่มาสามปีเต็มแล้ว
มารดาผู้ชราป่วยตายเมื่อปีก่อน งานศพใช้เงินไปไม่น้อยเลย
ตอนนี้ พี่ชาย น้องสาว พี่สะใภ้ และยังมีเจ้าตัวน้อยอายุสามขวบอีกหนึ่ง พูดได้ว่าพึ่งพิงอาศัยด้วยกันแล้ว
เหลยเหลาหู่เป็นชายซื่อๆ ไม่มีความสามารถหรือทักษะอะไรเลย ทำได้แค่ใช้แรงงาน แต่เพราะเหลยอินอินเป็นบัณฑิตระดับสูงของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ พี่ชายและพี่สะใภ้ก็เป็นคนจิตใจดี ครอบครัวนี้อยู่ในละแวกนี้จึงนับว่าเป็นที่รักใคร่
ชีวิตถึงแม้จะลำบาก แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วดีกว่าไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ทุกคนล้วนพอใจมาก
ความฝันของเหลยอินอินคือ หลังจากศึกษาจบแล้วจะไปเข้าร่วมสำนักคุ้มกันไม่ก็สมาพันธ์การค้าอะไรพวกนี้ บัณฑิตที่จบการศึกษาของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ อยู่ในเมืองฉางอันนับว่าหางานง่าย เจ้าสำนักผู้ชราก็เอาใจใส่บัณฑิตที่จบทุกรุ่นมาก
ทว่า…
นางก้มหน้าลง นั่งเหม่อลอยคนเดียวในบ้านครู่หนึ่ง
นั่งๆ ไป ความเศร้าในใจก็เอ่อล้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ น้ำตาเกือบจะไหลออกมาอีก
นางไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ
นางรู้สึกว่าแต่ไหนแต่ไรมา ตัวเองสามารถรวบรวมความกล้าสู้กับอำนาจและความอยุติธรรมได้
ทุกสิ่งในบริเวณบ้าน ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ และทุกสิ่งในสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ล้วนเป็นสิ่งที่นางหวงแหนและอยากปกป้อง แต่ว่ายามที่ความโหดร้ายของชีวิตและความอำมหิตของอำนาจโจมตีมา นางถึงตระหนักได้ว่า หากคิดจะปกป้องทุกอย่างนี้ก็ต้องเสียสละอะไรบางอย่าง นั่นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าความตาย
นางถอนหายใจอีกครั้ง
จำนวนครั้งที่ถอนหายใจของวันนี้ มากกว่าปีที่แล้วทั้งปีเสียอีก
เหลยอินอินระงับอารมณ์ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ และเริ่มเก็บถ้วยเก็บจาน เริ่มทำกับข้าว
ฝีมือทำอาหารของนางเยี่ยมยอดมาก
เด็กในครอบครัวยากจนมักรู้ความเร็ว
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งในสี่ชั่วยาม เมื่อเหลยเหลาหู่เลิกงานกลับมา กลิ่นหอมของเนื้อแต่ละจานในครัวก็ลอยมา เยวี่ยวเยวี่ยน้อยยืนมองตาแป๋วน้ำลายยืดอยู่ที่ประตูครัว ข้างหลังเขามีสุนัขสีน้ำตาลตัวโตและลูกสุนัขที่ยังไม่หย่านมอีกสองตัว…
วางถ้วย วางตะเกียบ ทุกคนก็นั่งประจำที่
ครอบครัวคนจนไม่มีพิธีรีตองอะไร
สุนัขสีน้ำตาลนอนหมอบอยู่ข้างโต๊ะ แทะกระดูกติดเนื้อดังกร๊อบๆ
หลังกินข้าวเสร็จ เหลยอินอินก็เก็บถ้วยชาม เหลยเหลาหู่อุ้มลูกชายพลางดึงนางไว้ พูดกลั้วยิ้มว่า น้องข้า ปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้ว มีคนถูกใจแล้วหรือยัง ข้ากับพี่สะใภ้เจ้าเก็บเงินไว้ก้อนหนึ่ง สินเดิมของเจ้าสาวเตรียมไว้ให้เจ้าแล้วนะ
เหลยอินอินเขินอาย พี่เหลาหู่ ข้ายังเด็ก…
พี่หวางบ้านข้างๆ ลูกสาวสิบห้า ลูกชายขวบหนึ่งแล้ว เหลยเหลาหู่เอ่ยอย่างทึ่มๆ หากบ้านเราไม่จน ข้าเลยแต่งงานช้าไป ไม่แน่ว่าตอนนี้เยวี่ยเยวี่ยคงเจ็ดแปดขวบแล้ว ฮ่าๆ
เรื่องบ่นหยุมหยิมที่ปกติชวนให้คนรำคาญใจ วันนี้เหลยอินอินได้ยินแล้วกลับรู้สึกอบอุ่นเป็นที่สุด
นางจงใจหัวเราะเสียงดัง พี่ชาย ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? คนในดวงใจข้าจะต้องเหมือนกับคุณชายหลี่ เป็นชายหนุ่มที่เก่งกาจวิชาบุ๋นเยี่ยมยอด วิชาบู๊เยี่ยมยุทธ์ ท่านรู้จักคนแบบนี้ไหมเล่า? หากรู้จักเช่นนั้นก็แนะนำให้ข้า ข้ายินดีแต่ง
เหลยอิน เจ้าเด็กโง่ สมองคงจะเสียแล้วกระมัง คนอย่างคุณชายหลี่มู่เป็นเทพเซียนลงมาจากฟ้า เจ้าฝันไปเถอะ เหลยเหลาหู่หัวเราะร่วน ทำลายจินตนาการที่ไม่เป็นจริงของน้องสาวอย่างไม่เกรงใจ
เหลยอินอินกล่าว ชิ ข้ารู้จักคุณชายหลี่นะ
ทุกคนหัวเราะพูดคุยกัน
เหลยเหลาหู่มองน้องสาว รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
หลายปีมานี้ ที่บ้านหลังนี้ยืนหยัดมาได้ หลักๆ แล้วอาศัยน้องสาว นางเป็นเหมือนเสาหลักที่คอยจัดการข้างในข้างนอกดุจหัวหน้าครอบครัว เขาที่เป็นพี่ชายกลับเหมือนตัวถ่วง นอกจากแรงงานก็ไม่มีความสามารถอื่นอีก
แน่นอนว่าเขาหวังให้น้องสาวพบคนดีๆ
ในสายตาของเหลยเหลาหู่ น้องสาวของตนคนนี้ยอดเยี่ยมที่สุด สวยที่สุด งดงามที่สุด จิตใจดีที่สุด เป็นเด็กผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลก
ทว่าคุณชายหลี่มู่…นั่นเป็นตำนานเชียวนะ
น้องสาวจะหาคนแบบนั้น ยากยิ่งนักกระมัง?
ครู่หนึ่ง เหลยอินอินกับพี่สะใภ้สองคนก็เก็บชามไปล้าง
เหลยเหลาหู่ล้วงเงินห้าอีแปะจากกระเป๋าเสื้อออกมาเรียงเป็นแถวในมือ
นี่เป็นเงินค่าแรงที่เขาขนสินค้าทั้งวันนี้ เขาหยิบเงินสามอีแปะเก็บกลับเข้ากระเป๋าเสื้อ ส่วนนี้คือเงินที่ให้ภรรยาดูแลบ้าน สองอีแปะที่เหลือเขาเก็บเอาไว้ในกล่องไม้ข้างเตียง
เมื่อเขย่ากล่องไม้เบาๆ ก็ได้ยินเสียงหนักๆ ดังออกมา หลังจากประเมินน้ำหนักของกล่องไม้ ใบหน้าของชายหนุ่มซื่อๆ คนนี้ก็ฉายรอยยิ้มพึงพอใจ
ในกล่องมีเงินประมาณร้อยอีแปะ
เขาเก็บออมมาปีหนึ่งแล้ว
รอจนเก็บครบสองร้อยอีแปะ มากพอจะตัดชุดผ้าไหมได้ ก็จะมอบให้กับน้องสาว ถือว่าเป็นสินเดิมของนาง
จะต้องให้น้องสาวสวมเสื้อใหม่แต่งออกไปให้ได้
นี่เป็นความหวังที่เรียบง่ายที่สุดของชายหนุ่มผู้นี้
และเป็นเรื่องที่ความสามารถของเขาทำได้
ครู่หนึ่ง เสียงของเหลยอินอินก็ดังมาจากข้างนอก พี่เหลาหู่ ข้ากลับสำนักบัณฑิตแล้วนะ…กลางคืนยังมีเรียนอีก
……
ความมืดย่างกรายมาเยือน
บนท้องฟ้าสูงหนึ่งลี้ ดาบวัฏจักรบินไปราวสายฟ้า รวดเร็วเหนือเสียง แหวกเป็นรอยทางหนึ่งท่ามกลางฟ้ามืด เนิ่นนานกว่ารอยแยกจะประสานกัน
ตัวดาบกว้าง ยืนได้นิ่งเลย
หลี่มู่ยืนอยู่บนตัวดาบ กางสองแขนออกเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายเหมือนเล่นสเก็ตบอร์ด
ดาบเหินหาวบินทะยาน
เป็นเรื่องที่เท่เอามากๆ
ในที่สุดเขาก็ทำให้เป็นจริงได้แล้ว
ในตัวดาบวัฏจักรสลักค่ายกลวิชาเต๋าหลายชนิด พอขับเคลื่อน ความเร็วก็ไม่แพ้กระบี่เหยี่ยวถลาลมเมื่อก่อนนี้เลย แต่มันนิ่งกว่า คมดาบสะท้อนแสงวิบวับ เกราะลมสีดำเป็นวงโค้งกางออก สกัดกั้นแรงลมจากการบินอย่างรวดเร็วไว้ข้างนอกทั้งหมด
สำหรับหลี่มู่ สมมติฐานบางอย่างของเขาสำเร็จในขั้นต้นแล้ว
เขาบังคับดาบวัฏจักรให้โบยบินบนพื้นฐานของการรักษาระดับความเร็ว ความมั่นคงสูงกว่าเดิม อย่างน้อยๆ ก็ไม่เกิด ‘อุบัติเหตุการบิน’ แบบในวันนั้น ไม่ต้องกังวลว่าถ้าพลาดจะร่วงจากกลางท้องฟ้าสูงหลายพันจั้ง
โบยบิน คือความฝันตลอดกาลของมนุษย์บนโลก
หลี่มู่ก็ไม่ยกเว้นเหมือนกัน
เขาบังคับดาบวัฏจักร หันหัวดิ่งลง เปลี่ยนทิศทาง เพิ่มความเร็ว ลดความเร็ว ทำท่าต่างๆ ไปไม่หยุดกลางท้องฟ้า พร้อมส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นราวเด็กที่เพิ่งเล่นสเก็ตบอร์ดหรือสเก็ตน้ำแข็งสำเร็จ
ด้วยพลังฝึกปราณแท้ฟ้าประทานของเขาในวันนี้ ยามกระตุ้นดาบวัฏจักรก็สามารถให้ดาบเหินหาวได้สองเค่อ
สำหรับความเร็วเหนือเสียงแล้ว เวลาสองเค่อมากพอจะข้ามระยะประมาณหนึ่งพันสองร้อยลี้ เร็วกว่ารถไฟความเร็วสูงของโลกมาก นี่จะเป็นไพ่ตายใบสำคัญของหลี่มู่ สู้ไม่ได้ก็หนี…หลังจากหลี่มู่ควบคุมดาบเหินหาวโบยบินได้ ประโยคนี้ถึงจะนับว่าสำเร็จสมบูรณ์
โลกใบนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ก็ทำไม่ได้ถึงจุดนี้
เวลาผ่านไป หลี่มู่ฝึกจนชำนาญขึ้นเรื่อยๆ
ปราณแท้ในกายใกล้จะใช้หมดแล้ว หลี่มู่จึงดิ่งไปยังป่ารกในเขตเมืองฝั่งตะวันตก ร่อนลง จากนั้นก็ปรับลมหายใจ รอจนฟ้ามืดสนิทถึงมุ่งหน้าไปยังสวนสุสานทหาร แล้วเปิด ‘ค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำ’ เพื่อดูดซับพลังจากชีพจรมังกรต่อ
ขุนพลเพลิงและขุนพลผู้วายชนม์คนอื่นๆ หน้าเขียวคล้ำหมดแล้ว
และในชั่วเวลาเดียวกัน เหลยอินอินก็มาถึงปากตรอกไล่หมู
เดิมทีนางจะกลับสำนักบัณฑิต แต่ไม่รู้ทำไม เดินไปเดินมาก็มาถึงที่นี่
ที่แห่งนี้เป็นที่พักอาศัยของคนอายุเท่ากันที่เลิศล้ำที่สุดในใจของนาง
เริ่มจากศึกต่อสู้ที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ไม่สิ บางทีอาจจะนานกว่านั้น กระทั่งว่าอาจเริ่มจากได้ยินเรื่องราวของหลี่มู่ครั้งแรก เหลยอินอินก็เริ่มเลื่อมใสเด็กหนุ่มคนนี้ การตัดสินใจออกจากบ้านตอนนั้น ความดื้อดึงตบมือสามครั้งตัดสัมพันธ์ แปดปีหลังจากนั้นถึงกลับมากลายเป็นตำนาน
และวันนั้น จากการได้พบกันที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เหลยอินอินก็กลายเป็นผู้เลื่อมใสของหลี่มู่โดยปริยาย
วันก่อน การปรากฏตัวของหลี่มู่ที่หน้าประตูสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ก่อนจัดการพวกเฮ่ออวิ๋นเสียงแบบสบายๆ นั่นทำให้เส้นทางที่นางเลื่อมใสคนผู้นี้กว้างไกลออกไปเรื่อยๆ
ในใจของเหลยอินอิน หลี่มู่และเรื่องราวของเขาแทบจะใกล้เคียงกับความเชื่อทางจิตวิญญาณไปแล้ว
ความปรารถนาในใจที่ทำให้เป็นจริงไม่ได้ หลี่มู่ล้วนทำได้
นางไม่ได้มาที่หน้าเรือนซอมซ่อแค่ครั้งเดียว นางก้มมองเขตเรือนที่มีเมฆหมอกพันล้อมราวแดนเซียนแห่งนั้นจากที่ไกลๆ ทั้งที่ใกล้อยู่เบื้องหน้า แต่ก็เหมือนไกลสุดขอบฟ้า
แต่ว่าครั้งนี้ นางมาเพื่อบอกลา
เหลยอินอินไม่ได้เดินเข้าไปในตรอกไล่หมู เพราะนางไม่ได้มาเพื่อขอความช่วยเหลือจากหลี่มู่
พลังของ ‘เทียบสังหารผมชาด’ หนักหนาเกินไป หลี่มู่ในตอนนี้ก็อาจจะจัดการไม่ได้
อีกทั้งเหลยอินอินไม่คิดว่าหลี่มู่มีหน้าที่ต้องไปจัดการเรื่องน่าปวดหัวเรื่องนี้ของตนด้วย
นางหวังว่าตำนานของหลี่มู่จะสืบเนื่องต่อไป
ไม่เหมือนกับการยืนหยัดของนาง ที่เมื่อเผชิญหน้ากับหายนะที่จู่ๆ โจมตีมาก็แหลกสลายลงทันที
ระหว่างมองเรือนซอมซ่ออยู่ไกลๆ ใบหน้าของเหลยอินอินฉายรอยยิ้ม
จากนั้นนางก็หมุนตัวจากไป
หลังจากกลับมาสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ นางไปคารวะเจ้าสำนักชวีที่อาการบาดเจ็บสาหัสยังไม่ฟื้นตัว
เด็กน้อย เจ้าไปเสียเถอะ ไปจากเมืองฉางอัน หนีไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ไปเท่านั้น ข้าหาสหายเก่าเอาไว้แล้ว จะส่งเจ้าไปนอกเมืองอย่างลับๆ เจ้าสำนักบัณฑิตชวีเอ่ย
เหลยอินอินส่ายหน้า หากข้าไป สำนักบัณฑิตแย่แน่ นี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เปลี่ยนชะตาคนหนุ่มสาวยากจนในเมืองฉางอัน ข้าเห็นมันถูกทำลายไม่ได้ ยังมีคนในครอบครัวของข้า สหายของข้าอีก…เจ้าสำนักบัณฑิต ท่านเคยปลุกใจพวกเราว่า หากชะตาชีวิตมอบความโหดร้ายหนักหนาให้กับเรา มีเพียงรับหน้ากับความลำบากถึงจะเป็นหนทางเดียว หากข้าเป็นดั่งที่ ‘เทียบสังหารผมชาด’ ว่าเป็นหลูติ่งชั้นยอดจริงๆ ข้าก็อยากรู้ว่าสุดท้ายชะตาชีวิตจะเตรียมเส้นทางอะไรไว้ให้กับข้า
เจ้าสำนักบัณฑิตชวีถอนใจ
นี่เป็นลูกศิษย์ที่เขาอบรมสั่งสอนมากับมือเหมือนกับลูกสาว
เขาปวดใจนัก
เจ้าสำนัก หลังจากข้าไปแล้ว ท่านได้โปรดดูแลพี่ชายและพี่สะใภ้ของข้าอย่างลับๆ ด้วยเถิด เหลยอินอินยังเป็นห่วงคนในครอบครัว
เจ้าสำนักบัณฑิตชวีพยักหน้า
เขานึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้น พรุ่งนี้จะเป็นวันที่คุณชายหลี่มู่มาคลังคัมภีร์ของสำนักบัณฑิต เจ้าเลื่อมใสเขามาตลอดมิใช่หรือ? ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าพบคุณชายหลี่มู่สักหน่อย แล้วค่อยไปฝ่ายดับนิวรณ์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ก็แล้วกัน?
…………………