จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 264 มาส่งพัสดุด่วนอีกแล้ว
“เวลาสามวัน?”
หลี่มู่ได้ข่าวนี้แล้ว สิ่งแรกที่รู้สึกคือประหลาดใจเล็กน้อย
ในเมื่อประกาศออกมาแล้วว่าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเกี่ยวข้องกับพวกตระกูลถัง แล้วเหตุใดไม่ทำลายประตูบุกเข้าไปจับตัวคนเลย แต่กลับล้อมอยู่ด้านนอก ซ้ำยังประกาศกร้าวอีกว่าหลังจากนี้สามวันจะบุกโจมตี?
ทว่าเมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว กลับรู้สึกทันทีว่าองค์ชายสองที่ควบคุมเรื่องนี้ทั้งหมดเลวทรามต่ำช้า จนเรียกได้ว่าโหดเหี้ยม
ประกาศว่าจะเข้าโจมตีสามวันให้หลัง วางกำลังพลไว้ด้านนอก น่าจะมีเป้าหมายเพียงสองข้อ
หนึ่งคือทำลายขวัญและกำลังใจของคนที่อยู่ด้านในโรงฝึก
สองคือต้องการเข้าล้อมเพื่อโจมตี ล่อพวกคนหน้าเก่าที่เกี่ยวข้องกับขุนพลเจิ้นกั๋วตระกูลถังให้ออกมา จากนั้นหว่านแหจับเพื่อถอนรากถอนโคนทิ้ง
หลี่มู่ครุ่นคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าระหว่างโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและขุนพลเจิ้นกั๋วตระกูลถังต้องมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างจริง ส่วนเรื่องที่ถังฮูหยินกับลูกสาวสองคนซ่อนตัวอยู่ในโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
ตามข่าวสารที่เจิ้งฉุนเจี้ยนเคยรายงาน คืนนั้นที่หน่วยเลี้ยงรับรอง สุภาพบุรุษวาโยหวางเฉินกับฝ่าบาทคนนั้นที่อยู่เบื้องหลัง ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถพาถังฮูหยินหนีออกนอกเมืองไปตามที่ตั้งใจ ต่อมายิ่งไม่มีโอกาสอีก ภายใต้คำสั่งขององค์ชายสอง ไม่กี่วันนี้มีการปิดเมืองเพื่อไล่ล่า หาตัวเหล่าปีศาจที่หลบซ่อนอยู่ในเมืองออกมาจนสิ้น แต่ก็ยังหาตัวพวกนางไม่เจอ เช่นนั้นต้องยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองเป็นแน่ โรงฝึกยุทธ์พลังพายุก็มีความเป็นไปได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ชะตาของถังฮูหยินกับสองบุตรสาวก็น่ากังวลจริงๆ
หากต้องตกอยู่ในมือขององค์ชายสองอีกครั้ง เกรงว่าจะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าความตาย
ส่วนพวกที่เป็นห่วงเป็นใยรุ่นหลังของขุนพลถัง หากทนไม่ไหวแล้วเลือกเข้าไปช่วยเหลือละก็ มีแต่จะต้องตายกันหมดเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
องค์ชายสองมีความแค้นอะไรกับขุนพลถังกันแน่?
หลี่มู่ไม่รู้จริงๆ
แต่คนที่เป็นถึงองค์ชายของราชวงศ์ กลับมาไล่ล่าแม่หม้ายกับลูกกำพร้าแบบนี้ ถึงแม้กำลังหย่อนเบ็ดล่อปลา วิธีการเช่นนี้หลี่มู่ก็คิดว่าเกินเลยไปหน่อย
“คุณชายจะลงมือเองขอรับ?” เจิ้งฉุนเจี้ยนถาม
หลี่มู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะ “ตอนนี้ยังไม่มีความคิดนั้น ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ”
เจิ้งฉุนเจี้ยนถอนหายใจโล่งอก
เขากังวลจริงๆ ว่าหลี่มู่จะเลือดร้อนเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้
เพราะดูจากข่าวที่ได้รับมาจากหลายฝ่าย ครั้งนี้องค์ชายสองนำกำลังพลมาล้อมโจมตี มีคนระดับสูงที่คอยรับใช้ราชวงศ์เคลื่อนไหวไม่น้อย ขั้นเหนือมนุษย์อย่างเจ้าสำนักยมบาล ก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายใหญ่บางอย่าง ต่อให้หลี่มู่มีชื่อเสียงจากการสังหารยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ แต่หากต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ ก็ตกอยู่ในอันตรายได้เช่นกัน
วังวนการเมืองนี้ เบื้องหลังช่างน่ากลัวเป็นที่สุด
ต่อให้เป็นขั้นเหนือมนุษย์ หากเข้ามาในวังวนเช่นนี้ อาจจะไม่เหลือไว้แม้แต่กระดูกสักชิ้นก็เป็นได้
ตัวอย่างก่อนหน้านี้ ความจริงก็มีให้เห็นมากมาย
“จริงสิ แล้วเรื่องนั้นล่ะ ช่วยถามให้ข้าแล้วหรือยัง” หลี่มู่ถามขึ้น
เจิ้งฉุนเจี้ยนลดคิ้วต่ำลง สีหน้ารู้สึกผิด ตอบกลับว่า “ท่านเจ้าเมืองบอกว่าหากท่านอยากรู้ ต้องไปถามเอาเองขอรับ” ก่อนหน้านี้ หลี่มู่ให้ฉุนเจิ้งเจี้ยนไปถามเจ้าเมืองชั่วคนนั้น อยากจะค้นหาตัวตนของขั้นเหนือมนุษย์ที่ใช้พลังดัชนีทองผ่าน ‘กระจกสยบฟ้า’ เจิ้งฉุนเจี้ยนจึงเข้าไปถามอ้อมๆ กับหลี่กัง
แต่คำตอบของหลี่กังนั้นตรงไปตรงมาและเรียบง่าย
หลี่มู่ต้องไปเยี่ยมเขาด้วยตนเอง ถึงจะพอมีความเป็นไปได้
ไปถามเขาด้วยตัวเอง?
หลี่มู่ยกมือขึ้นนวดขมับ
เจ้าเมืองขยะนั่นต้องการอะไรกันแน่?
จะให้ตนเองไปก้มหัวขอร้อง?
หรือว่าในที่สุดก็อยากเจอหน้าลูกชายแล้ว แต่เลือกใช้วิธีการที่เย่อหยิ่งเช่นนี้?
“เหอะๆ…ไปก็ไป”
หลี่มู่เหยียดยิ้มออกมา
ตอนแรกคนที่ลั่นวาจาตัดสัมพันธ์พ่อลูกอย่างเด็ดขาดไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นหลี่มู่จากโลกนั้นต่างหาก ดังนั้นหลี่มู่เองจึงไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปดูเจ้าเมืองขยะคนนี้เสียหน่อย นับตั้งแต่วันนั้น ตอนที่เขาเอ่ยปากห้าม ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า และแสดงพลังที่แท้จริงออกมา…อืม ไปดูชายสารเลวที่เก็บตัวแต่มีพลังน่าตะลึงคนนี้หน่อยก็ดีเหมือนกัน
ความจริงแล้วหลี่มู่ก็รู้สึกสนใจเจ้าเมืองขยะคนนี้พอควร
ระหว่างที่พูด จู่ๆ ด้านนอกเรือนซอมซ่อก็มีเสียงราวฟ้าผ่าดังมา
“ข้าเมิ่งอู่ ผู้บัญชาการแห่ง ‘กองกำลังคมโลหิต’ ขุนนางอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่ ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้”
เสียงที่ลอดผ่านเรือนซอมซ่อเข้ามาได้ พลังน่าจะอยู่ในขั้นฟ้าประทาน
หลี่มู่เหลือบมองไปทางเจิ้งฉุนเจี้ยน
เจิ้งฉุนเจี้ยนตอบกลับอย่างรู้กัน “คมโลหิตเป็นหนึ่งในสามกองกำลังหลักนอกเมืองฉางอันขอรับ ถือเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเมือง ส่วนขุนพลซ้ายเมิ่งอู่คนนี้ ตำแหน่งเดิมคือทหารรักษาวังเมืองฉิน หนึ่งปีก่อนมายังเมืองฉางอัน เข้าดูแลกองกำลังคมโลหิต เป็นคนหัวแข็งดื้อรั้น ว่ากันว่ามีเมืองหลวงฉินอยู่เบื้องหลัง ในช่วงนี้เขากับองค์ชายสองใกล้ชิดกันมาก หน่วยลาดตระเวนที่รับคำสั่งจากองค์ชายสองมาเพ่นพ่านในเมืองฉางอัน ต่างเป็นพวกยอดฝีมือหรือนักรบหัวกะทิของกองกำลังคมโลหิตรวมตัวกันขอรับ”
หลี่มู่ฟังแล้วเหมือนจะครุ่นคิดอะไร
คนขององค์ชายสองสินะ
น่าสนใจจริงๆ
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” หลี่มู่ลุกขึ้น
เจิ้งฉุนเจี้ยนออกจากประตูด้านข้างไป
ส่วนหลี่มู่มาถึงด้านนอกของเรือนซอมซ่อ
หน้าประตูหลัก ในตรอกไล่หมู อาชาสวรรค์เขาเดียวในชุดเกราะสีเงินทั้งตัวยืนอย่างสงบ บนหลังมีขุนพลหอกเงินในชุดเกราะเงินนั่งอยู่ ใบหน้าได้สัดส่วน สายตาคมกริบ สวมเสื้อคลุมกันลมสีขาว หอกยาวแขวนอยู่บนเกราะขาหนักด้านซ้าย ทั้งตัวขาวผุดผ่องราวหิมะกองหนึ่ง โดดเด่นเป็นอย่างมาก
ไม่ต้องเดาเลย คนผู้นี้ก็คือผู้บัญชาการแห่ง ‘กองกำลังคมโลหิต’ เมิ่งอู่
ด้านหลังเมิ่งอู่เกราะเงินผ้าคลุมขาวผู้นี้ ยังมีองครักษ์อีกสิบสองนาย กลิ่นอายองอาจ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรมาจารย์ ทุกคนสวมชุดเกราะเพลิงแดงดำมันขลับ เสื้อคลุมสีดำ นั่งคร่อมอยู่บนม้าดี สะพายดาบหนักไว้ข้างเอว สายตาเย็นเยียบ รังสีฆ่าฟันคุกรุ่น
“ท่านคือหลี่มู่?” เมิ่งอู่ที่อยู่บนอาชาสวรรค์เขาเดียวสีขาว มองหลี่มู่จากตำแหน่งที่สูงกว่า
กองกำลังคมโลหิตเป็นกองทหารหลักของเมืองฉางอัน ระดับของผู้บังคับบัญชานี้เป็นถึงขั้นสอง ขุนนางเมืองขั้นเก้าอยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นเพียงเม็ดงาเท่านั้น
หลี่มู่ไม่ใส่ใจน้ำเสียงเช่นนี้ของเขา พยักหน้าแล้วตอบกลับ “ข้าเอง ขุนพลเมิ่งมีอะไรหรือ?”
“ข้าได้รับรายงานมาว่า ลูกปีศาจจิ้งจอกขาวที่มาจากสมาพันธ์การค้าวารีครามหลบซ่อนอยู่ในเขตที่พักของท่าน ใต้เท้าหลี่ กรุณาปลดค่ายกลรอบด้าน ให้ข้าเข้าไปตรวจสอบด้วย” อาชาสวรรค์หอกเงินเมิ่งอู่ท่าทีหยิ่งผยอง เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ขุนนางเมืองหลี่ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”
ใบหน้าหลี่มู่ปรากฏรอยยิ้ม
อยากจะเข้าไปในเรือนซอมซ่อม?
หาเหตุผลได้ไม่เลว
เขากล่าว “ให้ความร่วมมือ ได้สิ ต้องให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ท่านขุนพลใหญ่ ไม่ต้องหาหรอก เจ้าจิ้งจอกขาวตัวน้อยอยู่ที่นี่จริงๆ”
เมิ่งอู่ตะลึง
ยอมรับอย่างง่ายดายเช่นนี้?
ไม่เห็นเหมือนกับภาพที่วาดไว้ก่อนหน้านี้เท่าไหร่เลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าหลี่ โปรดส่งตัวปีศาจจิ้งจอกมาเถอะ” บนใบหน้าของเขาฉายแววเหยียดหยาม
ลือกันว่าเจ้าบ้าหลี่ที่ทำตัวกำเริบเสิบสานไปทั่ว ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด แต่พอมาเห็นตอนนี้ แท้จริงก็เป็นเพียงพวกรุ่นหลังอ่อนแอขี้กลัวกระมัง พอเห็นกลุ่มทหารหลักอย่างกองกำลังคมโลหิตปรากฏตัว ก็หัวหดทันที คำพูดที่บอกให้เขาเตรียมตัวดีๆ ก็ไม่เห็นจะมีทางหนีทีไล่ใดๆ
ชื่อเสียงกับตัวจริงไม่สมกันเลย
“ส่งให้? ทำไมต้องส่งตัวให้ด้วย?” หลี่มู่ทำหน้างงงัน “ข้าบอกว่าจะให้ไปหรือ?”
เมิ่งอู่ตะลึงอีกครั้ง จากนั้นเผยสีหน้าโมโห “หลี่มู่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร? คิดจะเล่นลิ้นกับข้าหรือ?”
หลี่มู่ปรบมือพลางหัวเราะร่า “ถ้าเล่นลิ้นกับเจ้า แล้วจะอย่างไร?” พูดจบสีหน้าของเขาก็เย็นชาลง เอ่ยต่อว่า “เอาละ หมดเวลาเล่นทายปัญหากับเจ้าแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าไม่สนว่าใครส่งเจ้ามา และไม่สนด้วยว่าพวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร ตอนนี้ข้ายุ่งมาก และกำลังหงุดหงิดมาก หากพวกเจ้าไม่มีพลังขั้นเหนือมนุษย์ ก็อย่ามารนหาที่ตายกับข้าที่นี่”
“เจ้า…เจ้าวอนหาที่ตาย!”
เมิ่งอู่บันดาลโทสะ พูดตะกุกตะกักด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขายกขาปลดหอกเงินลงมา ปลายหอกชี้ตรงมายังหน้าผากหลี่มู่ จิตสังหารพลุ่งพล่าน
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
ด้านหลังเขา องครักษ์ยี่สิบนายที่มีพลังฝึกระดับสูงสุดของขั้นปรมาจารย์ตะโกนขึ้นพร้อมกัน ดาบหนักถูกชักออกจากฝัก คมกระบี่เย็นเยียบ จิตใจเด็ดเดี่ยวและความดุดันกระจายออกมาจากร่องเสื้อเกราะ ปกคลุมไปทั่วตรอกไล่หมูแห่งนี้ ราวกับหมอกลงก็มิปาน
ไอสังหารลอยคละคลุ้ง
เหมือนกับชั่วพริบตาถัดมา การเข่นฆ่านองเลือดจะเปิดฉากโหมโรงขึ้น
หลี่มู่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม แสยะยิ้มไม่พูดจา
ในพริบตานั้น เมิ่งอู่เกือบจะไสหอกแทงออกไปแล้ว
แต่ว่าสติเส้นสุดท้ายของเขาห้ามไว้ก่อน
เพราะเขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของหลี่มู่
ยามมองเด็กหนุ่มผมสั้นที่ยิ้มเย็นชาตรงหน้า กลับไม่พบพลังใดๆ ทั้งตัวเต็มไปด้วยพิรุธ แต่ทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรงเกินบรรยาย เมิ่งอู่ก็เริ่มเชื่อแล้วว่าคนผู้นี้เป็นเจ้าบ้าที่กำเริบเสิบสานคนหนึ่งอย่างที่ร่ำลือกันจริงๆ
คนบ้าที่มีพลังขนาดสังหารยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ลงได้
“หลี่มู่ เจ้าก็รู้ดีว่าการสบคบคิดกับพวกปีศาจ มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นล้างตระกูล?” เมิ่งอู่ข่มความโกรธในใจ คิดถึงคำสั่งขององค์ชายสองก่อนหน้า เก็บความคิดจะลงไม้ลงมือไป และกล่าวต่อว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เห็นว่าเจ้ามีตำแหน่งขุนนางแห่งจักรวรรดิ ข้าจึงไม่อยากซักไซ้อะไรมากนัก ขอแค่ส่งเจ้าจิ้งจอกนั่นมา เรื่องก็จะจบลง”
หลี่มู่ส่ายศีรษะ
“เจ้าน่ะ เป็นถึงผู้บังคับบัญชา ทหารมีความกล้าหาญของทหาร แล้วความกล้าของเจ้าล่ะ? ทำได้แค่ข่มความโกรธในใจ บีบจมูกพ่นคำพูดของคนอื่น เพื่อทำหน้าที่ตามบทละครที่คนอื่นหยิบยื่นให้ เจ้าว่ามันดีแล้วหรือ? ถ้าเป็นตัวข้าละก็ คงทิ่มหอกนั่นลงมาแล้ว ในใจเจ้ายังมีความแน่วแน่ของจอมยุทธ์อยู่ไหม?”
เมิ่งอู่จะระเบิดอารมณ์แล้วจริงๆ
“แม้จะสังหารขั้นเหนือมนุษย์ได้ ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะวางก้ามต่อหน้ากองกำลังคมโลหิตได้ ขอแค่ข้าสั่งการ ธนูทลายดาราของกองกำลังคมโลหิตก็เป่าที่นี่เป็นผุยผงได้ในพริบตา” เขาแทบทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
หลี่มู่มองสำรวจชุดเกราะของเมิ่งอู่ จากนั้นไล่มองไปยังหอกเงินของเขา ก่อนยิ้มกล่าว “โอ้ เจ้าก็แค่พนักงานส่งพัสดุด่วน กลับกล้าอวดดีเช่นนี้ ก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้า เรียกทหารของเจ้ามารวมกันให้หมด มาส่งพัสดุด่วนให้ข้าพร้อมกันเลย”
เมิ่งอู่ไม่เข้าใจคำว่าพนักงานส่งพัสดุหรือส่งพัสดุด่วน แต่เขาในตอนนี้ถูกท่าทีและน้ำเสียงของหลี่มู่ยั่วยุจนสติแตกแล้ว
“ตาย”
เขาพุ่งไปด้วยความโกรธ ไสหอกแทงออกไปทันที
……
ชั่วระยะหนึ่งก้านธูปต่อมา
หลี่มู่ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูที่ว่าการประจำเมือง
รายงานและขอเข้าพบตามขั้นตอนงานราชการ
ครู่ต่อมา
“ใต้เท้าหลี่กลับไปก่อนเถิด วันนี้ท่านเจ้าเมืองต้องต้อนรับแขกสำคัญ ไม่อาจมาพบท่านได้ ขอให้ท่านมาใหม่วันอื่น” ที่ปรึกษาของที่ว่าการทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว จากนั้นหมุนตัวกลับเข้าไป
หลี่มู่ยกมือนวดขมับ
เจ้าสุนัขรับใช้ทางการ
แสดงอำนาจข่มรึ?
เขาหมุนตัวเดินออกมา
ไหนๆ ก็มาขอความช่วยเหลือ จะแข็งกระด้างใส่ก็กระไรอยู่ คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน
แต่ดูแล้วคงไม่ใช่แค่รอบเดียวแน่
ไม่เห็นเป็นไร มาสักหลายรอบหน่อย
เขาหันหลังจากไป
ขณะที่กลับมาถึงตรอกไล่หมู อู่เมิ่งและองครักษ์ยี่สิบนายจากกองกำลังคมโลหิตหายไปไม่เหลือแม้เงา
“อืม คงจะฟื้นกันหมดแล้ว” หลี่มู่พยักหน้า พอคิดถึงตอนที่ทุบพวกเขาจนสลบ แล้วค้นเอาของมีค่าต่างๆ ออกมาจากตัวของเมิ่งอู่ได้ หลี่มู่ก็เบิกบานขึ้นมาก
“พอรวมกับของที่ได้มาจากจางปู้เหล่าก่อนนี้ ก็น่าจะใกล้เคียงแล้ว กลับไปหลอมดาบวัฏจักรใหม่เสียก่อน…ดูท่ามีใครบางคนใกล้อดทนไม่ไหว อยากจะใช้ดาบวัฏจักรอีกครั้งแล้ว”
……………………………