จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 350 การเปลี่ยนแปลงสะเทือนฟ้า
ระยะเวลาสามสี่เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับหลี่มู่ที่ฝึกฝนคัมภีร์หัวใจจักรพรรดิเพลิงจาก ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ อยู่ในฟ้านิจนิรันดร์ เวลาสี่เดือนกว่านี้เหมือนม้าขาววิ่งผ่านรอยแยก เพียงพริบตาก็ผ่านไป กระทั่งระหว่างนั้นเขาไม่ได้ลืมตาขึ้นเลยแม้เพียงครั้ง จมดิ่งอยู่กับการปิดด่านฝึกฝนแบบ ‘กลางเขาไร้เดือนไร้ตะวัน’ อย่างสมบูรณ์
ส่วนวานรภูเขาขนทองที่อยู่นอกถ้ำ ทุกวันมักออกไปข้างนอกชั่วระยะหนึ่ง ทุกครั้งจะนำเอาสิ่งของสารพัดกลับมาด้วยมากมาย
ทว่าในช่วงเวลานี้ บนแผ่นดินใหญ่เสินโจวภายนอกกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินขึ้น
พายุหิมะบนที่ราบทุ่งหญ้าหยุดลงแล้ว ซ้ำยังนำพาฤดูหนาวอันอบอุ่นที่ร้อยปีจะมีครั้งมาด้วย ต้นไม้ใบหญ้างอกงามราวกับต้นฤดูใบไม้ผลิ บรรดาเผ่าหมานน้อยใหญ่บนทุ่งหญ้าที่ตกอยู่ท่ามกลางมหันตภัยพายุหิมะมาแต่เดิมได้ต้อนรับแสงสว่าง วิหารเทพแมงมุมที่พบกับหายนะช่วงหนึ่งเงียบหายไร้ร่องรอยอย่างน่าประหลาด สงครามระหว่างชนเผ่าใหญ่ยังคงมีอยู่ แต่ก็มีเพียงยิบย่อย เมื่อเทียบกับช่วงมีพายุหิมะก่อนหน้าแล้วสงบกว่าไม่รู้กี่เท่า
ชาวที่ราบทุ่งหญ้ามากมายต่างทอดถอนใจกับความกรุณาปรานีของฉางเซิงเทียน
ทว่า เมื่อเทียบกับการมาถึงของแสงแห่งความหวังบนที่ราบทุ่งหญ้า พื้นที่อื่นๆ บนแผ่นดินใหญ่เสินโจวที่รักษาความสงบมาหลายร้อยปี ความเป็นระเบียบเรียบร้อยที่เคยมีกลับพังทลายลงในคืนเดียว
จักรวรรดิฉินตะวันตกเดิมทีก็อยู่ในสภาพในระส่ำนอกระสายอยู่แล้ว สิบเมืองเก้าพื้นที่ด่านชายแดนเสียไปกว่าครึ่ง ถึงแม้จากการถอยร่นของวิหารเทพแมงมุม ภายใต้การนำของเทพนักรบแห่งฉินตะวันตก ‘ทวนปราบอสูร’ หลี่หยวนป้า กองพันโองการฟ้ายึดกลับมาได้สามเมือง แต่เมืองที่ซ่งเหนือยึดครองนั้นยังไม่อาจยึดคืนได้ เพราะคณะเสนาบดีมีคำสั่งเร่งด่วนถึงกองทหาร ให้กองพันโองการฟ้าภายใต้บัญชาการของหลี่หยวนป้าแบ่งทหารออกมาสองแสนนาย ตรงไปยังเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อปราบปรามทัพกบฏเจิ้นซีอ๋อง ทำให้กำลังทหารของฉินตะวันตกลดลงไปถึงหนึ่งส่วนสาม…
แต่ฝันร้ายของฉินตะวันตกยังไม่จบลงเท่านี้
รองผู้บังคับบัญชาทหารชายแดน ‘ขุนนางเทพสวรรค์’ ฉินเฟิ่นควบคุมทหารไปยังเมืองเชียนหยาง ตั้งค่ายตอนกลางคืน เจ้าเมืองเชียนหยางอวี๋เฟิ่งเสียนที่รับคำสั่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กองพันโองการฟ้าลอบวางยาในเสบียงทหาร แล้วนำสามกองทหารใหญ่เมืองเชียนหยางบุกจู่โจมกลางดึก ศึกนี้ดำเนินไปกว่าสี่ชั่วยาม กองพันโองการฟ้าอาศัยพลังที่แข็งแกร่ง ทำลายสามกองทหารใหญ่ใต้บังคับบัญชาของอวี๋เฟิ่งเสียนจนหมด ทว่ารองผู้บังคับบัญชา ‘ขุนนางเทพสวรรค์’ ฉินเฟิ่นรวมถึงทหารเดนตายยี่สิบสามนายรบจนตัวตาย ขุนพลระดับสูงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน กองพันโองการฟ้าสองแสนนายสูญเสียไปกว่าครึ่ง คนบาดเจ็บมากมาย ผู้ที่ยังทำศึกต่อได้มีไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ ฝ่ายสนับสนุนถูกทำลายแทบทั้งหมด ไม่มีกำลังจะเข้าทำศึกในแดนตะวันตกอีก ทำได้เพียงซ่อมแซมเมืองเชียนหยางที่พังเละเทะเท่านั้น…
สำหรับจักรวรรดิฉินตะวันตก ข่าวนี้ร้ายแรงมากอย่างไม่ต้องสงสัย
สองกำลังหลักของฉินตะวันตก กองกำลังรักษาวังและทหารชายแดน ทหารชายแดนครึ่งหนึ่งถูกรั้งไว้คอยเก็บกวาดที่สนามรบชายแดน ส่วนอีกครึ่งมาติดกับที่เมืองเชียนหยาง เท่ากับว่าสูญสิ้นความสามารถด้านการรบไปจนหมด และกองกำลังรักษาวังที่เหลืออยู่ หลายร้อยปีที่ผ่านมาล้วนป้องกันแต่ในเมืองหลวงฉิน ไม่กล้าแบ่งทหารไป ถึงแม้ผลงานการรบในอดีตจะโดดเด่นเหนือใคร แต่ตอนนี้นอกจากจำนวนคนที่มีมากแล้ว ยังเหลือกำลังรบสักเท่าใดก็ไม่มีใครรู้
ภายใต้ฉากหลังเช่นนี้ จักรพรรดิฉินหมิงแห่งฉินตะวันตกยังคงเก็บตัวฝึกฝน ประตูห้องลับปิดสนิทมานานแสนนาน จนบางคนเริ่มสงสัยว่าจักรพรรดิฉินหมิงอาจฝึกจนธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้ว
หากบอกว่าแรงกดดันที่มาจากราชสำนักทำให้คนทั้งหมดของฉินตะวันตกกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ ข่าวลือต่างๆ ของสำนักเทพทุ่งปิดภูผาที่คุ้มครองจักรวรรดิ กลับยิ่งทำให้จอมยุทธ์มากมายในฉินตะวันตกค่อยๆ รู้สึกสิ้นหวัง
สามเดือนก่อนหน้า ตำนานวิถียุทธ์แห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยกับเจ้าอารามเต๋าเขาเมืองมรกตสำนักเทพฝั่งซ่งเหนืออย่างเต้าฉงหยางต่อสู้กันที่ชายแดนของสองจักรวรรดิ มีผู้แข็งแกร่งระดับสูงจากที่ต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่เสินโจวไปชมการต่อสู้ แต่หลังจากศึกใหญ่สิบวันสิบคืน สุดท้ายผลคือสองจากเก้ายอดคนต่างเจ็บหนัก ชั่วพริบตาที่พักการต่อสู้ จู่ๆ ก็มีผู้แข็งแกร่งไร้นามสิบคนเข้ามาลงมือ ยอดฝีมือจากสำนักที่เกี่ยวข้องกับทุ่งปิดภูผาและเขาเมืองมรกตบางส่วนร่วมมือกันโจมตีพวกสาวกเทพปีศาจนอกพิภพที่หลบซ่อนอยู่ในกลุ่มคน หลี่พั่วเยวี่ยกับเต้าฉงหยางสองเก้ายอดคนผู้แข็งแกร่งสละชีพระเบิดตนเองอย่างไม่นึกเสียดาย และลากเอาพวกลอบจู่โจมส่วนใหญ่ตามไปด้วย
ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ ไม่มีใครไม่ใช่ยอดคนจากดินแดนต่างๆ ผลลัพธ์ก็ถูกคลื่นปะทะรุนแรงจนบาดเจ็บล้มตายเช่นกัน
เวลานี้ทุกคนจึงเข้าใจ ที่แท้การท้าดวลครั้งนี้ถูกคนใช้ประโยชน์ สังหารตำนานแห่งวิถียุทธ์ไปถึงสองคน ซ้ำยังมีผู้แข็งแกร่งด้านยุทธ์สิ้นชีพไปไม่น้อย
ยังดี ผู้ที่มาชมการต่อสู้ไม่ขาดแคลนวีรบุรุษชั้นยอด สุดท้ายร่วมมือกันสังหารพวกลอบกัดกับสาวกเทพปีศาจนอกพิภพจนหมดสิ้น
ทว่า การดับสูญของสองในเก้ายอดคนผู้ยิ่งใหญ่เป็นความสูญเสียที่ไม่อาจนำกลับมาได้ สำหรับจักรวรรดิฉินตะวันตกและซ่งเหนือแล้ว ไม่เพียงแต่เป็นเคราะห์ร้ายครั้งหนึ่งเท่านั้น เมื่อเสียเทพผู้คุ้มครองไปก็จะไม่มีกำลังต่อต้านการรุกรานของเก้ายอดคนอื่นๆ และง่ายต่อการถูกคนเข้ามาบั่นศีรษะโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าราชนิกุลของทั้งสองจักรวรรดิ พูดได้ว่าร้อนๆ หนาวๆ กันหมด
ผ่านมานานนับพันปี เก้ายอดคนเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ผู้คอยคุมดวงชะตาทั่วหล้าให้สงบสุขมาโดยตลอด เพราะมีพวกเขาอยู่ ใต้ฟ้านี้จึงไม่เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ ระหว่างขั้วอำนาจใหญ่จากหลายจักรวรรดิใหญ่ เผ่าหมาน เผ่าทราย รวมไปถึงเผ่าผู้วิเศษจากแผ่นดินสุดแดนใต้ ถึงแม้กระทบกระทั่งกันเรื่อยมา แต่ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องระดับล่มบ้านล่มเมืองหรือสงครามใหญ่ระดับม้วนกวาดแผ่นดินใหญ่แน่นอน ทว่าตอนนี้สองในเก้ายอดคนดับสูญ เท่ากับจำนวนของระดับเก้ายอดคนเสียความสมดุล และเท่ากับความสมดุลระหว่างขั้วอำนาจใหญ่แต่ละแห่งถูกทำลายลง ทำให้สงครามระดับม้วนกวาดทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจวปะทุได้ง่ายขึ้น
ข่าวสารกระจายไปทั่วดินแดน ฮือฮากันทุกทิศ
ฝ่ายที่เตรียมพร้อมจู่โจมก่อนคือจักรวรรดิฉู่ใต้
เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ สามจักรวรรดิใหญ่ที่อยู่ใจกลางแผ่นดินใหญ่เสินโจว มีเพียงฉู่ใต้เท่านั้นที่ยังมีเทพพิทักษ์ของตนเอง
ในสำนักบัณฑิตถามเต๋าหรือสำนักเทพพิทักษ์แห่งจักรวรรดิฉู่ใต้ ผู้คลั่งไคล้ตำราเว่ยอู๋ปิ้งที่เป็นหนึ่งในเก้ายอดคน เมื่อไม่มีศัตรูเก่าอย่างหลี่พั่วเยวี่ยและเต้าฉงหยางแล้ว ก็แทบจะเอาชนะยอดยุทธ์ของฉินตะวันตกและซ่งเหนือได้ทั้งหมด
สำนักฟ้าครามและสำนักมหาวารีจากสุดแดนใต้ก็เตรียมการรบเช่นกัน พันธมิตรเผ่าผู้วิเศษขนาดใหญ่แต่ละเผ่าประกาศศักดา ร้องเอะอะว่าจะตีโต้ รุกโจมตีพื้นที่ใจกลางแผ่นดินใหญ่
ถึงอย่างไรแผ่นดินสุดแดนใต้ที่ไร้ความอุดมสมบูรณ์ก็ยังมีสำนักเทพอยู่สองสำนัก ผู้ใช้คลื่นวารีเจ้าสำนักและ ‘มารศักดิ์สิทธิ์กระบี่ภูต’ ล้วนเป็นตำนานบนจุดสุงสุดของการฝึกยุทธ์ หากเลือกบัญชาทหารขึ้นแดนเหนือ ตรงเข้าสู่ดินแดนใจกลาง ใครกันจะมาต้านทานได้?
จักรวรรดิทะเลทรายสุดแดนตะวันตกก็มีความเคลื่อนไหวส่งต่อมาเช่นกัน
ชนเผ่าทรายรุ่นสู่รุ่นใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย เหมือนผีเดินดินก็มิปาน ในสายตาของคนจักรวรรดิใหญ่ทั้งสามบนใจกลางแผ่นดินมองพวกเขาเป็นคนป่าเถื่อน ไม่ใช่มนุษย์ เทียบไม่ได้กระทั่งฐานะของเผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้า แต่ก็ยังสร้างอาณาจักรและอารยธรรมของตนเองขึ้นมาได้ พวกเขานับถือกราบไหว้ภาพสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์คู่ เป็นชนเผ่าที่รวมการปกครองและศาสนาไว้ด้วยกัน ตำแหน่งของราชวงศ์เผ่าทรายสู้วิหารเทพอาทิตย์ไม่ได้ ศาสดาอาทิตย์นั้นสูงกว่าใคร
หลังจากได้ยินข่าวว่า ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยดับดิ้น ในวิหารเทพอาทิตย์ที่ตั้งอยู่บนเนินเทพทะเลทรายก็มีเสียงหัวเราะสนั่นฟ้าสะเทือนดิน
ในวันนั้นเอง จักรวรรดิทะเลทรายเริ่มจัดทัพทหาร การเดินทัพสู่ตะวันออกที่วางแผนมานับพันปี ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ยามแล้ว
เมืองหลงซีที่อยู่ด้านตะวันตกสุดของจักรวรรดิฉินตะวันตกเริ่มโดนทหารม้าทะเลทรายก่อความวุ่นวาย…
ในสามจักรวรรดิใหญ่ จักรวรรดิที่อยู่ในสถานการณ์อันตรายที่สุดคือฉินตะวันตกอย่างไม่ต้องสงสัย
ทางตะวันตกถูกคุกคามจากจักรวรรดิทะเลทราย ภายในมีกบฏเจิ้นซีอ๋อง และการก่อกบฏของเจ้าเมืองเชียนหยางอวี๋เฟิ่งเสียนยิ่งทำให้คนระดับบนล่างในฉินตะวันตกร้อนรนกระวนกระวาย คณะเสนาบดีไม่กล้าเชื่อถือท้องถิ่น ระหว่างพื้นที่ก็เริ่มป้องกันกันเอง พูดได้ว่าเหมือนเม็ดทรายกระจัดกระจาย และที่เขตชายแดนก็ยังมีการคุกคามจากซ่งเหนืออีก กล่าวอย่างไม่เกินจริงได้ว่าฉินตะวันตกตอนนี้เปลี่ยนจากจักรวรรดิใจกลางที่รุ่งเรืองกลายเป็นโกลาหลวุ่นวาย เพียงพริบตาก็อาจเกิดวิกฤตระดับบ้านเมืองล่มสลายได้
และเวลานี้ ก็เป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งปีเท่านั้น
ครึ่งปีก่อนหน้า จักรวรรดิฉินตะวันตกปรากฏปฐมเทวะที่อายุเพียงสิบกว่าปีคนหนึ่ง สง่างามยิ่งนัก สั่นสะเทือนแผ่นดิน ถือเป็นลางดีว่าจะได้ครอบครองทั้งสามจักรวรรดิใหญ่ในหลายร้อยปีข้างหน้า ทว่า ตอนนี้ปฐมเทวะหนุ่มคนนั้นไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว ฉินตะวันตกเป็นดั่งอาทิตย์ที่ล่วงลับเขาตะวันตก เปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนทำให้คนยากจะเชื่อได้
แน่นอน จักรวรรดิซ่งเหนือที่สูญเสียเทพคุ้มครองของตนไปก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรนัก
ในเดือนที่หก ซ่งเหนือพลันถอนกำลังทหารออกจากชายแดนฉินตะวันตก ซ้ำยังส่งทูตเข้ามาเจรจาเป็นพันธมิตรกับฉินตะวันตก ไกล่เกลี่ยบุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้
ยามที่สถานการณ์แต่ละฝ่ายยังไม่คลี่คลาย ก็มีข่าวน่าตะลึงมาอย่างกะทันหัน…
แดนศักดิ์สิทธิ์เต๋าเขาเมืองมรกตเกิดเรื่องคานกันภายใน
นักพรตเต้าหลิงรองเจ้าอารามเขาเมืองมรกตไม่ยอมรับคำตัดสินให้เจินเต้าลูกศิษย์ของเต้าฉงหยางรับตำแหน่งสืบทอด จึงโกรธและร่วมมือกับเจ้าวิหารเต๋าอื่นอีกสิบสองคน เปิดศึกแย่งชิงนองเลือดกับคนเขาเมืองมรกตที่มีเต้าเจินศิษย์เต้าฉงหยางเป็นผู้นำ ภายในคืนเดียว แดนศักดิ์สิทธิ์เต๋ากลายเป็นนรกอสุรภูมิ ฝั่งเต้าเจินบาดเจ็บล้มตายฝ่ายเดียว หนีลงจากเขาไป ส่วนนักพรตเต้าหลิงสถาปนาตัวขึ้นเป็นเจ้าอารามเขาเมืองมรกตแทน และเริ่มกำจัดพวกที่คิดต่างออกจากเขาลอยฟ้า…
หลังจากผ่านศึกนี้ไป อำนาจอิทธิพลของเขาเมืองมรกตลดลงมาก น่ากลัวว่ายากจะเข้าสู่เก้าสำนักเทพได้อีก
ซ่งเหนือจึงตกอยู่ในสถานการณ์ลมฝนโหมกระหน่ำเช่นเดียวกับฉินตะวันตกด้วยสาเหตุนี้
จักรวรรดิพันปีที่ยิ่งใหญ่ทั้งสอง ดูเหมือนจะเละเทะและย่ำแย่ยิ่งกว่าใครๆ
เวลาผ่านไป
อีกหนึ่งเดือนผ่านพ้น
จากกลางวสันต์สู่ต้นคิมหันต์ ฤดูกาลทั้งสี่ยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนไป
ดินแดนใต้สุดที่บีบคั้นผู้คนค่อยๆ สงบลง มหาวารีและฟ้าครามไม่ได้ตั้งตารอ ร้องขอความเป็นธรรม หรือกู่ร้องนำทัพนักรบเผ่าผู้วิเศษกว่าพันหมื่นคนบุกดาหน้าไปยังพื้นที่ใจกลางเช่นเผ่าผู้วิเศษมากมายในแผ่นดินสุดแดนใต้ ตรงกันข้ามกลับนิ่งเงียบผิดปกติ ทำให้อิทธิพลของพันธมิตรชนเผ่าผู้วิเศษมีแนวโน้มเริ่มต้นดีแต่จบไม่สวย
ทว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนชนเผ่าที่แตกกระสานซ่านเซ็นเหล่านั้น
เพราะที่ชายแดนฉินตะวันตก กองพันโองการฟ้าสองแสนนายซึ่งเป็นกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของฉินตะวันตกพ่ายแพ้ เทพนักรบ ‘ทวนปราบอสูร’ หลี่หยวนป้าบาดเจ็บหนัก กองพันโองการฟ้าเหลือทหารไม่ถึงสองหมื่น ถูกบีบให้ถอนตัวออกจากพื้นที่ด่านชายแดน และคนที่โจมตีหลี่หยวนป้าจนพ่ายไม่ใช่คนจากซ่งเหนือ ไม่ใช่คนจากฉู่ใต้ ซ้ำยิ่งไม่ใช่เจิ้นซีอ๋องหรือจักรวรรดิทะเลทราย แต่เป็นเชื้อสายของราชวงศ์ต้าเยวี่ยที่ล่มสลายไปเมื่อหนึ่งพันปีกว่าก่อน
ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ชื่ออวี๋ฮว่าหลงสร้างวีรกรรมน่าตกตะลึง
เขา คือชนรุ่นหลังของจักรพรรดิราชวงศ์ต้าเยวี่ย
สิบเมืองเก้าพื้นที่ของด่านชายแดนฉินตะวันตก นอกจากด่านเมืองมังกรที่ยังปักหลักรักษาเสมือนหินโสโครกกลางสมุทร พื้นที่อื่นก็ตกอยู่ในมือของชายหนุ่มผู้นี้หมดแล้ว
วันหนึ่งยามถึงเซี่ยจื้อ[1]
อวี๋ฮว่าหลงอาศัยช่องว่างเล็กๆ ระหว่างฉินตะวันตกและซ่งเหนือสองจักรวรรดิใหญ่ ชักธงราชวงศ์ต้าเยวี่ยที่เคยโบกสะบัดบนผืนแผ่นดินนี้เมื่อหนึ่งพันปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง
ราชวงศ์ที่สาบสูญไปพันปีกำลังจะกลับมาแล้ว
……………………………………….
[1] เซี่ยจื้อ คือหนึ่งในยี่สิบสี่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของจีน เป็นช่วงเวลาที่บ่งบอกว่าเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว