จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 365 เสาหลักแกนกลาง
ถึงอย่างไรสิ่งที่หลี่มู่ฝึกฝนมาคือวิชาเทพเซียนอย่าง ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ต่อมาเป็นวิชาเต๋าของพระอาจารย์โพธิอย่าง ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ เทียบกับทักษะการต่อสู้บนโลกนี้แล้วไม่รู้ว่าสูงกว่ากี่เท่าตัว ไม่อาจใช้กำลังรบตามขั้นพลังยุทธ์ของโลกนี้มาพิจารณาได้ นี่ก็เป็นไพ่ลับที่หลี่มู่มีเช่นกัน
แต่ว่า การฝืนชะตาต่อกรเทวะก็มีข้อจำกัด
กำลังรบที่แท้จริงของหลี่มู่ตอนนี้เทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะระดับแรกเริ่ม
เมื่อพบกับ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงที่เป็นเทพสังหารขั้นเทวะ โดยพื้นฐานนึกออกเพียงแค่สองคำเท่านั้น…GG[1]
“เท่านี้ก่อนแล้วกัน ถอย”
หลี่มู่ขยับความคิด ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งถอยเพื่อเว้นระยะห่าง
“ฮึๆ” อิ้งซานเสวี่ยอิงแค่นหัวเราะเหยียดหยาม
ร่างของเขาหายไปจากหัวเรือของเรือวาฬทะยานฟ้าทันควัน ในเวลาเดียวกันก็ข้ามไปไกลถึงสามสิบจั้ง ราวกับเคลื่อนย้ายในพริบตา ไปปรากฏอยู่ด้านหลังลี่มู่อย่างไม่น่าเชื่อ ฝ่ามือดุจกรงเล็บคนตายตรงไปที่หัวไหล่ของหลี่มู่
ความเร็วเช่นนี้ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้
หลี่มู่เสียวสันหลังวาบ
พริบตานี้ เขารู้สึกเหมือนมีเทือกเขายาวไร้ที่สิ้นสุดกดทับลงมา ทำให้ปราณแท้จักรพรรดิเพลิงแดนใต้ในร่างเริ่มหยุดนิ่ง ไม่สามารถหมุนโคจรได้อย่างราบรื่น เวลาเดียวกันร่างกายก็คล้ายตกลงไปอยู่ในบึง ความเร็วถูกลดลงอย่างฉับพลัน ชั่วขณะนั้นหัวไหล่ของเขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกยามที่นิ้วทั้งห้าของอิ้งซานเสวี่ยอิงกดลงมา
“เหอะๆ สิ่งที่เรียกกันว่าพรสวรรค์…”
ดวงตาขาวซีดของอิ้งซานเสวี่ยอิงสงบนิ่ง ฝ่ามือออกแรง หมายจะบดขยี้หลี่มู่ให้เป็นผุยผง
ทว่าในชั่วเวลานั้นเอง ขณะที่หลี่มู่เหมือนจะทนรับพลังที่กดลงมาไม่ไหว ไหล่เขาก็ลดต่ำลงเล็กน้อย ทำท่าทางลักษณะเดียวกับการตีลังกาที่ประหลาดยิ่งออกมา
อิ้งซานเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพร่าเลือน ฝ่ามือฟาดเงาเสมือนจริงจนแหลกละเอียด ส่วนหลี่มู่ตัวจริงกลับหายไปอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
อิ้งซานเสวี่ยอิงตกตะลึง
เขาไม่ทันรู้สึกตัวเลย
กรงเล็บนี้ เขามั่นใจว่าคว้าอยู่แน่นอน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับหนีไปได้อย่างน่าประหลาดเช่นนี้?
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง หลี่มู่ก็กลับเข้าไปอยู่ด้านใน ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นยกมือขึ้นกวัก แสงเทพห้าสีที่กระจายเต็มฟ้าประหนึ่งกระสวยลำแสง ดาบบินยี่สิบสี่เล่มพุ่งด้วยความเร็วเหนือเสียงกลับไปอยู่ในมือของเขา และรวมร่างกลับเป็นดาบวัฏจักรอีกครั้ง
“น้องสาม ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เจ้าหนุ่มหลี่…”
“ท่านอ๋อง”
คนกลุ่มหนึ่งล้อมวงเข้ามา รู้สึกกังวลแทนหลี่มู่กันทั้งสิ้น
ในพริบตาเมื่อครู่นี้ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงใช้การสะกดพลังฟ้าดินแล้ว เกือบจะจัดการหลี่มู่ลงได้ เห็นพวกชิวอิ่นและสวี่เซิ่งตระหนกตกใจกันจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่าถึงตอนสุดท้าย หลี่มู่จะออกท่าตีลังกาเหมือนวานรที่แปลกประหลาดจนเกิดผลลัพธ์น่าอัศจรรย์ ออกจากการสะกดพลังฟ้าดินกลับมาด้านในค่ายกลได้ทันที
ขั้นตอนทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วยิ่ง แทบจะไม่มีใครรู้สึกตัวเลย
หลี่มู่ถอนหายใจยาว เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นอะไร”
มีเพียงเขาที่รู้ เมื่อครู่อันตรายเพียงไหน
ชั่วเวลาสุดท้าย พลังสังหารของ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงแทรกเข้ามาในร่างเขาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะใช้วิชา ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ หนีออกมาได้ และช้าไปอีกเพียงศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่งวินาทีละก็ ตอนนี้ตนคงกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว…เทพสังหารของจักรวรรดิฉินตะวันตกคนนี้ พลังน่ากลัวถึงขีดสุดจริงๆ ห่างชั้นกับคู่ต่อสู้ทุกคนที่เขาเคยพบมา
หลงระเริงไปแล้ว
หลี่มู่ย้อนทบทวนตัวเอง
ตอนนี้เอง ภายในร่างของหลี่มู่ พลังจักรพรรดิเพลิงแดนใต้สับสนวุ่นวาย พลังสังหารนองเลือดที่พิสดารในเส้นลมปราณกำลังทำลายเส้นลมปราณของเขาอย่างกำเริบเสิบสาน หากไม่ใช่เพราะกายเนื้อแข็งแกร่ง ฝืนต้านเอาไว้ เกรงว่าคงเจ็บหนักจนสลบไปแล้ว
“หึๆ หนีไวเสียจริง”
อิ้งซานเสวี่ยอิงพบเจอผู้คนมามากมาย แม้จะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้วุ่นวายใจกับการหนีไปของหลี่มู่
เขามองลงมายังสำนักขุนคีรี ในดวงตาขาวซีดที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดมีความบ้าคลั่งค่อยๆ หมุนวนออกมา
พลังฟ้าดินที่น่าสะพรึงกลัวราวกับคลื่นซัดสาด พุ่งเข้ามารวมบนร่างเขา
สองมือเขารองไว้ที่หน้าอก ลวดลายค่ายกลดาราสีเลือดมีสัญลักษณ์แน่นขนัดเป็นชั้นๆ ขยับวูบวาบ ขยายและส่องประกายเป็นคลื่นระหว่างมือทั้งสอง พลานุภาพกดดันของกระบวนท่าชั้นสูงปกคลุมรัศมีหลายลี้ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าเขารวบรวมพลังฟ้าดินไว้มากเท่าไร จิตเทวะปั่นป่วน เสมือนอ่างเก็บน้ำกำลังสะสมน้ำหลากท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนอง เหมือนวันสุดท้ายก่อนเกิดการปะทุของไฟใต้พิภพที่เดือดพล่านรุนแรง…
“แย่ล่ะ เขาจะใช้พลังทำลายค่ายกลตรงๆ แล้ว”
สวีเซิ่งตั้งสติกลับมา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป
‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ของสำนักขุนคีรีลี้ลับมหัศจรรย์มาก มีชื่อเสียงในแผ่นดินใหญ่เสินโจว ต่อให้เทียบกับค่ายกลปกป้องดินแดนของจักรวรรดิใหญ่อื่นๆ ก็ไม่ด้อยกว่า ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นเพียงค่ายกลของสำนัก ไม่ใช่ค่ายกลของจักรวรรดิ แรกสุดคือการสั่งสมพลังงานสู้ไม่ได้ ถัดมาคือค่ายกลนี้ปรัชญาเมธีเมื่อครั้งนั้นเป็นผู้วางไว้ นับแต่นั้นก็ผ่านมาถึงพันปีแล้ว ในหมู่ชนรุ่นหลังสำนักขุนคีรี คนที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกลค่อยๆ ลดหาย ส่งผลให้ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ขาดการปรับปรุงซ่อมแซมที่จำเป็น ภายใต้การกัดกร่อนของกาลเวลา เกิดความเสียหายรอยปริแตกมากมาย ไหนจะผ่านการโจมตีลดพลังอย่างต่อเนื่องจากหวงเซิ่งอี้ก่อนหน้านี้อีก กล่าวได้ว่าพลังค่ายกลมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว
‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ในสภาพเช่นนี้ จะสามารถต้านทานการโจมตีของ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงได้หรือไม่?
ใครก็รับประกันไม่ได้
และถ้าค่ายกลถูกทำลายลง คนของสำนักขุนคีรีทั้งหมดคงจะถูกสังหารเรียบในพริบตา
“ทานไม่ไหว” หลี่มู่เชี่ยวชาญด้านค่ายกล และไปทดสอบกำลังของอิ้งซานเสวี่ยอิงด้วยตนเองมาแล้ว แวบแรกก็วิเคราะห์ออกมาได้ กล่าวว่า “ค่ายกลนี้ต้านทานการโจมตีเดียวของ ‘ดาบจักรพรรดิ’ ไม่ได้ เจ้าสำนักสวี ยังไม่เปิดใช้งานค่ายกลเต็มกำลังหรือ?” เขามองออกว่าใน ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ยังมีหลักการลึกล้ำอีกมากมายที่ยังไม่เปิดเผย เข้าใจว่าสำนักขุนคีรีจงใจเก็บงำพลังที่แท้จริงเอาไว้
เจ้าสำนักขุนคีรีสวีเยวี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ไม่ใช่ว่ายังไม่เปิด แต่ไม่มีหนทางที่จะเปิดต่างหาก ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ นี้ถูกสร้างโดยบรรพชนผู้ก่อตั้งของสำนักข้า คนรุ่นหลังไม่มีใครสืบทอดวิชาค่ายกลจากบรรพบุรุษได้เลย ค่ายกลนี้…พันปีที่ผ่านมา พวกเราเข้าใจเพียงระดับนี้เท่านั้น”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” สีหน้าของชิวอิ่นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ในใจของทุกคนมีความรู้สึกไร้ซึ่งกำลังผุดขึ้นมา
กำลังคนบางครั้งก็มีขีดจำกัด
สวีเซิ่งถอนใจยาว เอ่ยว่า “เตรียมตัวหนีเถิด หนีได้เท่าไรก็เท่านั้น ขอเพียงรอดออกไปได้สักคน สำนักขุนคีรีของข้าต้องมีวันที่ผงาดขึ้นมาได้อีกครั้งแน่…”
สีหน้าของทุกคนโศกเศร้าอาดูร
ตอนนี้เอง หลี่มู่กล่าวขึ้น “อย่าเพิ่งมองในแง่ร้ายเช่นนี้…ข้าจะลองดูหน่อย”
ร่างเขาลอยขึ้นกลางอากาศ มาอยู่เหนือตำหนักเจ้าสำนักราวสามสิบจั้ง ก่อนจะใช้งานเนตรสวรรค์ แสงเทพเส้นหนึ่งจากกลางหน้าผากพุ่งออกมากวาดรอบค่ายกล มองเห็นภาพมากมายที่คนอื่นมองไม่เห็น ทะลวงผ่านความว่างเปล่า มองทะลุลงไปในพื้นดิน และสำรวจดูส่วนที่ปริแตกเสียหายในค่ายกล จากนั้นมือทั้งคู่ตั้งปางมือยกขึ้นติดต่อกัน ส่งรัศมีสีมรกตหลายสายแทรกเข้าไปจากทิศต่างๆ ของสำนักขุนคีรี
แสงสีมรกตทุกสายพุ่งเข้าไปภายใน ทำให้แสงของเกราะคุ้มกัน ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ สว่างมากขึ้นส่วนหนึ่ง
รอจนหลี่มู่ส่งแสงมรกตออกมายี่สิบเอ็ดสายอย่างต่อเนื่องดุจสายฟ้าแล้ว เกราะคุ้มกันของ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ เปล่งประกายแวววาว เทียบกับก่อนหน้าแล้วแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าหลายสิบเท่า แสงลวดลายเต๋าที่เคยหมองหม่นลงกลับมาไหลวนบนชั้นแสงคุ้มกัน ค่ายกลซึ่งเดิมทีแข็งทื่อเฉื่อยชาเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้งทันใด เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ
ครืน!
เวลาเดียวกัน กระบวนท่าไม้ตายของ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงสั่งสมจนสมบูรณ์ เห็นเพียงเขาประสานมือตรงหน้าอก แสงเทพสีแดงโปร่งใสไหลวน พลังฟ้าดินที่น่ากลัวในมือทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นดาบเทพสีเลือดขนาดยักษ์ราวสองลี้เล่มหนึ่ง ลวดลายดาราเปล่งประกาย เส้นแสงหมุนวน มาพร้อมพลังที่ทำลายล้างทุกสิ่ง ผ่าแยกแผ่นฟ้าลงมาตามสองมือของเขา ฟันโจมตีลงไปบน ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ อย่างหนักหน่วง
พื้นที่รอบยอดเขาหลักขุนคีรีในรัศมีหลายร้อยลี้สั่นสะเทือนรุนแรง
ยอดเขาสูงชันอันตรายบางส่วนยิ่งไม่สามารถต้านทานคลื่นสั่นสะเทือนนี้ได้ พังทลายลงมาทันที
พลังเป็นชั้นๆ กระแทกชั้นเมฆแตกกระจายออกไปทุกทิศทางโดยมีจุดปะทะเป็นศูนย์กลาง พื้นที่รอบๆ ยอดเขาหลักในระยะสามสิบจั้งพลันถูกกดทับจนราบเรียบ หินยักษ์กับยอดเขาน้อยใหญ่ถูกบดขยี้จนราบ ทิวเขากลายเป็นพื้นเรียบ บรรดาผู้แข็งแกร่งจากสำนักต่างๆ ที่มาช่วยโจมตีไม่ทันได้หนี ถูกคลื่นที่ซัดออกมากวาดผ่าน กลายเป็นฝุ่นปลิดปลิวราวกับต้นหญ้าโดนแผดเผา…
จนกระทั่งฝุ่นควันเริ่มจางไป ในระยะสามสิบจั้งรอบยอดเขาหลักสำนักขุนคีรีก็กลายเป็นพื้นราบที่ปกคลุมด้วยกรวดทราย
ทว่า ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ยังคงอยู่ ถึงแม้ความแวววาวจะลดลงจากก่อนหน้าไปมาก แต่ก็ยังมั่นคงเช่นเดิม ปกป้องศูนย์กลางของทั้งสำนักขุนคีรีไว้ด้านในอย่างแน่นหนา
หลี่มู่ลอยลงมาที่ด้านหน้าตำหนักใหญ่ บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อไหลซึมเป็นชั้นๆ ถอนหายใจโล่งอกได้เช่นกัน
ต้านไว้ได้แล้ว
ไม่นึกว่าจะต้านไว้ได้แล้ว
“อย่างนี้ก็ได้หรือ?”
ศิษย์มากมายของสำนักขุนคีรีแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
สวีเซิ่งอ้าปากค้างอยู่นาน ถึงได้เอ่ยขึ้น “เจ้าหนุ่ม เจ้าเชี่ยวชาญค่ายกลด้วยหรือ…ยังมีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้บ้าง?”
ชิวอิ่นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรเหมือนกัน “น้องสาม เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ใช่ไหม?”
เขายืนยันอีกครั้ง บนตัวของหลี่มู่มีวงแหวนแสงน่าอัศจรรย์อยู่จริงๆ ไม่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายกี่ครั้ง เขาก็เหมือนจะพลิกสถานการณ์ได้ตลอด
เสียงโห่ร้องยินดีเป็นระลอกส่งมาจากทั่วทุกมุมของสำนักขุนคีรี
มีเพียงคนที่เคยผ่านความสิ้นหวังมาเท่านั้น ถึงจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่รอดพ้นจากวิกฤตยามได้เห็น ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ กลับมาเปล่งแสงได้อีกครั้ง ทุกคนในสำนักขุนคีรีมีจิตใจมุ่งมั่นจะสู้สละชีพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
หลี่มู่เอ่ย “ค่ายกลนี้ข้าเหมือนจะเคยเห็นจากที่ไหน เมื่อครู่จึงรีบร้อนลงมือ สร้างตราหยกลวดลายเต๋าขึ้นมาอุดส่วนที่ไม่สมบูรณ์ของมัน ทำให้มีพลานุภาพมากขึ้น ถึงต้านทานการโจมตีของอิ้งซานเสวี่ยอิงได้ แต่พวกท่านอย่าเพิ่งมองในแง่ดีเกินไป นี่แค่ทำขึ้นเร่งด่วนเท่านั้น ไม่อาจคงอยู่ได้นาน หากคิดจะทำให้ค่ายกลปลดปล่อยพลานุภาพที่ควรมีออกมาอย่างแท้จริง จำเป็นต้องบูรณะและจัดวางเสียใหม่”
บนท้องฟ้า
หลังจาก ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงออกหนึ่งกระบวนท่าก็ไม่ได้ลงมือต่อ
ดวงตาเหมือนปลาตายของเขาจ้องเขม็งไปที่หลี่มู่ คลับคล้ายทำความเข้าใจหนุ่มน้อยคนนี้ใหม่
“เหอะๆ” ในที่สุดเขาหัวเราะเยาะหยัน “ข้าจำเจ้าไว้แล้ว”
พูดจบ ร่างของอิ้งซานเสวี่ยอิงไหววูบ กลับมาบนเรือวาฬทะยานฟ้า
“อิ้งซานกงกง…” รัชทายาทเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคารพและหวาดเกรง
ก่อนหน้านี้ เขารู้เพียงว่าขันทีใหญ่คนนี้เป็นคนสนิทของบิดา พลังแข็งแกร่งมาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะแกร่งถึงระดับนี้ เหมือนกับเทพมารอย่างไรอย่างนั้น การโจมตีเมื่อครู่ระเบิดพลังระดับทลายฟ้าถล่มดินออกมา
ยอดฝีมือคนอื่นๆ บนเรือวาฬทะยานฟ้าล้วนมีสีหน้าเคารพยำเกรง
“โจมตีต่อไป ลดพลังของค่ายกลลง ถึงแม้จะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจากหลี่มู่ แต่ก็เป็นแค่วิชาเต๋าเล็กน้อยเท่านั้น พลังฟ้าดินของแผ่นดินผืนนี้ถูกข้าตัดขาดออกไปแล้ว ค่ายกลนี้ทนได้ไม่นานนักหรอก” อิ้งซานเสวี่ยอิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ขันทีน้อยสองคนนำเข้ามาให้
สีหน้าของเขาซีดขาวกว่าเดิม โบกไม้โบกมือ ท่าทางมีใจแต่ไม่มีเรี่ยวแรง
“อย่างมากสุดสามวัน เมื่อค่ายกลพังลงจงบุกโจมตีสำนัก สังหารให้สิ้นซาก นกสุนัขก็ไม่เว้น ส่วนหลี่มู่คนนั้นเหลือไว้ให้ข้า ข้าจะดื่มเลือดของมัน” เขาพะวงอยู่กับหลี่มู่
“เข้าใจแล้ว ข้าจะสั่งการให้โจมตีทันที ไม่มีหยุดพัก” องค์รัชทายาทรีบถ่ายทอดคำสั่งออกไป
……………………………………….
[1] GG หรือ Good Game เป็นประโยคที่ใช้ในเกมออนไลน์ มักใช้ตอนจบเกมเพื่อแสดงมารยาทและน้ำใจ ส่วนมากผู้แพ้จะเป็นฝ่ายเริ่มพิมพ์ก่อน สื่อว่าเล่นได้ดี เป็นเกมที่สนุกมาก หรือแพ้แต่ก็สนุก