จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 386 เขาเป็นใคร
ถ้าหากหลี่มู่อยู่ด้วยละก็ ต้องใช้เวลาสักสามถึงห้าวินาทีถึงจะมองออกว่าเด็กสาวคนนี้คือหวางซืออวี่เพื่อนร่วมโต๊ะดาวโรงเรียนของตนในวันวาน
เมื่อเทียบกับเด็กสาวที่ดึงดูดสายตาชายทั้งโรงเรียนรวมถึงครูผู้ชายบนดาวโลกคนนั้นแล้ว ภายใต้การบำรุงของพลังวิญญาณบนดาวดวงนี้ หวางซืออวี่ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงจนแทบจะถอดร่างเปลี่ยนกระดูก ผิวพรรณดีขึ้น จิตใจมีชีวิตชีวามากขึ้น ผมยาวขึ้น และยังแต่งกายตามแบบโบราณอีก…
อย่างไรก็ตาม หวางซืออวี่ตอนนี้เปล่งประกายเสน่ห์ที่ทำให้คนตกตะลึง
สภาพแวดล้อมเช่นไรก็มักจะเพาะบ่มคนเช่นนั้นออกมา
หนำซ้ำยังเป็นดวงดาวที่มีสภาพแวดล้อมเปี่ยมพลังวิญญาณเช่นนี้อีก
“เด็กคนนี้ เจ้าจะร้องห่มร้องไห้ทำไมกัน ข้าไปออกเรือนนะ ไม่ใช่ไปตาย” หวางซืออวี่หัวเราะคิกคักยืนขึ้น หมุนตัวรอบหนึ่งหน้ากระจก ราวกับพึงพอใจทรวดทรงของตนเองมาก ส่วนที่ต้องปกปิดก็ปกปิดเรียบร้อย นางถอนใจโล่งอก เอ่ยขึ้นว่า “เรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆ มาเถอะ เสี่ยวชุ่ยเอ๋อร์ ยิ้มให้ท่านหญิงเจ้าหน่อยซิ”
สาวใช้เฝ่ยชุ่ยหยุดร้องไห้แล้วยิ้ม แต่เพียงครู่ก็กลับไประทมทุกข์อีก “ท่านหญิง นี่มันเวลาอะไรแล้ว ท่านยังยิ้มออกอยู่ได้”
หวางซืออวี่ขยับร่างกายพลางจัดเสื้อผ้าให้เหมาะสม ยิ้มเริงร่าตอบกลับว่า “ทำไมจะยิ้มออกไม่ได้ล่ะ ข้าไปเป็นหวางเฟยเลยนะ ไม่ได้ออกเรือนกับขอทานเสียหน่อย”
ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจอย่างที่คิด หวางซืออวี่เวลานี้เปล่งปลั่งกระปรี้กระเปร่า เชื่อมั่นในตนเองมาก
เดิมทีนางก็เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองเป็นพิเศษอยู่แล้ว
“แต่ว่าเรื่องที่ท่านจะออกเรือน แจ้งกับท่านอ๋องเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้เฝ่ยชุ่ยกล่าวด้วย
หวางซืออวี่โบกมือ เอ่ยขึ้นอย่างจนใจ “อย่าเชียว ห้ามเด็ดขาด ถ้าพ่อบุญธรรมรู้เข้าละก็ต้องเอาความตายมาบีบข้า ให้ข้าอดทนแน่ เขายอมสละพวกท่านอาอู๋ท่านอาจูได้ แต่จะไม่ยอมให้ข้าไปออกเรือนกับจิ้นอ๋อง เช่นนั้นแผนการของข้าก็จะพังไม่มีชิ้นดี”
สาวใช้เฝ่ยชุ่ยเอ่ย “ท่านหญิงมีฐานะสูงส่ง มีเกียรติสูงศักดิ์นัก พวกองครักษ์อู๋องครักษ์จูล้วนยอมตายแทนท่านได้ ขอแค่ประวิงเวลาไว้อีกสักหน่อย ยอดจอมยุทธ์ที่ท่านพูดถึงคนนั้นก็จะมาถึงแล้ว แค่…”
หวางซืออวี่หัวเราะ ส่ายหน้าตอบกลับ “ฐานะสูงศักดิ์อะไรกัน ยินยอมอะไรกัน เฝ่ยชุ่ย เจ้าจงจำไว้ ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน กำเนิดมาไม่ได้แบ่งระดับอะไรทั้งสิ้น แต่ก่อนข้าก็เป็นแค่เด็กแก่นแก้ว โชคดีที่ท่านพ่อบุญธรรมเก็บข้ามา ถึงได้เปลี่ยนจากนกกระจอกเป็นพญาหงส์ ท่านอาอู๋กับท่านอาจูปกติดีต่อข้ามาก ข้าไม่อาจทนมองดูพวกเขาตายได้”
หนึ่งปีกว่าที่มายังโลกใบนี้ แนวคิดของหวางซืออวี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
แนวคิดมากมายที่นางยึดมั่นยังคงเป็นทฤษฎีจากดาวโลก ต่อให้มีฐานะเป็นท่านหญิงที่สูงส่ง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น บริวารมากมายก็เหมือนเพื่อนหรือญาติในสายตานาง
“แต่ว่า…แต่ว่า…” สาวใช้เฝ่ยชุ่ยทัดทาน “ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าจอมยุทธ์คนนั้นมาแล้วจะช่วยท่านออกจากทะเลแห่งความทุกข์นี้ได้แน่ ทำไมจึงไม่รออีกเสียหน่อยเล่า?”
หวางซืออวี่หัวเราะ ตอบกลับ “ถ้ายังรออีกจะมีคนบริสุทธิ์อีกมากต้องตายเพราะข้า ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะดูถูกตนเอง ตอนที่เขามาถึง เขาก็จะดูแคลนข้าเช่นกัน เขาเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งดาบฟันพันหมื่นศัตรูถอย ข้าจะให้เขามาดูถูกข้าไม่ได้” พูดถึงตอนท้าย ใบหน้างามของนางปรากฏสีหน้าซับซ้อน ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจ
“แต่ว่า…แต่ว่า…” สาวใช้เฝ่ยชุ่ยยังคงไม่เข้าใจ เอ่ยต่อว่า “จิ้นอ๋องนั่นไม่ใช่คนดีอะไร เขาก็ไม่ได้รักท่านจริง แค่ต้องการใช้ตำแหน่งและฐานะของท่านเท่านั้น ท่านออกเรือนกับเขาจะมีความสุขหรือ?”
“เจ้านี่นะ ฟังนิทานความรักมามากเกินไปแล้ว ถึงพูดคำว่าความสุขเช่นนี้?” หวางซืออวี่กล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “รักๆ ใคร่ๆ อะไรกัน นี่เป็นแค่แผนชั่วคราวของข้าเท่านั้น แต่งงานไปก็ยังหย่ากันได้นี่ ไม่เห็นจะมีอะไร”
นางเป็นคนดาวโลก ความคิดเปิดกว้างมาก
สาวใช้เฝ่ยชุ่ยยังรู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย ร้องไห้กระซิก รู้สึกว่าท่านหญิงของตนดีแสนดี งดงามราวเซียน จิตใจดีงาม ทำไมจึงต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้ด้วย
“เอาละ ของที่ข้าให้เจ้าไปเตรียมล่ะ” หวางซืออวี่สวมชุดแต่งงานสีแดง ทั้งตัวตอนนี้ราวกับภูตแห่งเปลวเพลิง
เฝ่ยชุ่ยหยิบกระบี่อ่อนสีเขียวที่ละเอียดประณีตเล่มหนึ่งส่งให้กับหวางซืออวี่ กล่าวว่า “ท่านหญิง ‘งูเขียว’ เล่มนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ท่านอ๋องรักที่สุด ว่ากันว่าถึงแม้จะไม่มีคลื่นพลังวิญญาณใดๆ แต่สามารถทำร้ายได้กระทั่งขั้นเหนือมนุษย์…ท่านต้องระมัดระวังให้มาก อย่าได้ทำเรื่องเขลา”
หวางซืออวี่รับกระบี่อ่อนมาคาดไว้ที่เอว เสียงแกร๊กดังขึ้น ปากงูเขียวบนด้ามกระบี่เปิดออก กลืนปลายกระบี่เข้าไป นางหัวเราะเอ่ย “เจ้าว่าข้าเหมือนคนที่จะทำเรื่องโง่หรือ?” นางไม่มีทางทำเรื่องอย่างฆ่าตัวตายในคืนแรกของการแต่งงานอยู่แล้ว โลกใบนี้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ นางจะมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นให้มาก อีกอย่างชั่วชีวิตที่เหลือนางยังอยากกลับไปบ้านเกิดของตนเองด้วย
“ข้าให้เจ้าไปวางยาในชาของพ่อบุญธรรม เจ้าทำแล้วใช่ไหม?” หวางซืออวี่ถามขึ้นอีก
เฝ่ยชุ่ยตอบกลับด้วยใบหน้าขมขื่น “วางแล้วเจ้าค่ะ…ท่านหญิง หากท่านอ๋องตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าข้าเป็นคนวางยา เช่นนั้น…”
“ไม่เป็นไร พ่อบุญธรรมข้ามีจิตใจเมตตาขนาดนั้น ทั้งฉลาดและมีคุณธรรม ไม่น่าจะเอาชีวิตเจ้าหรอก อย่างมากก็อาจโบยแส้สักร้อยที” หวางซืออวี่ติดเครื่องประดับบางส่วนบนตัว ในนั้นมีปิ่นปักผมสีทองสว่างสองสามอัน ปกติแล้วนางไม่เคยใช้มันเลย เวลานี้กลับเสียบบนมวยผมอย่างระมัดระวัง
“หา?” หน้าเล็กๆ ของเฝ่ยชุ่ยแทบจะยับยู่เข้าหากัน
หวางซืออวี่หัวเราะ เอ่ยว่า “ดูเจ้าตกใจเข้า ล้อเล่นน่า…กะดูแล้วยาน่าจะออกฤทธิ์เรียบร้อย ท่านพ่อบุญธรรมคงหลับไปแล้ว เร็วๆ ไปกันได้…GO GO GO!”
เฝ่ยชุ่ยหันซ้ายหันขวากวาดตามองอย่างไม่เข้าใจ “สุนัข[1]? มีสุนัขที่ไหนกันเจ้าคะ?”
……
หลังเดินทางผ่านเมืองหลินอันมาได้ครึ่งวัน
“ด้านหน้าคือเขาหัวโคแล้ว” จ้าวจี้ชี้ไปใต้ชั้นเมฆอย่างตื่นเต้น
หลี่มู่มองลงไป
ด้านล่างเป็นเทือกเขาทอดยาวอย่างที่คิดไว้ ไม่ถือว่าเป็นเขาที่สูงชันอันตรายเท่าใดนัก แต่มีพืชคลุมดินปกคลุมอย่างดี โดยเฉพาะภูเขาหนึ่งในนั้น รูปร่างราวกับโคหนุ่มตัวหนึ่งนอนฟุบอยู่บนแผ่นดิน และตำแหน่งของยอดหลักเขาก็คือหัวโค มีหินนูนออกมาสองแง่งเป็นเขาโค โคเชิดหน้ามองฟ้าคล้ายกำลังส่งเสียงร้อง มองจากด้านบนลงไปเหมือนโคที่มีชีวิตจริงยิ่งนัก
เขาหัวโคก็สมกับชื่อจริงๆ
“ลงไป” หลี่มู่เอ่ยสั่ง
กระเรียนขาวร้องเสียงยาว ปีกทั้งสองตัดชั้นเมฆ บินดิ่งลงไปด้านล่าง
ไม่นานก็อยู่ห่างจากพื้นดินไม่ถึงสามสิบจั้ง
“นั่นคือวัดซ่อนมรรคา”
จ้าวจี้ชี้ไปทางทิวเขาหัวโค
ตรงตำแหน่งหัวโคมีต้นไม้เขียวครึ้มล้อมรอบ ได้ยินเสียงของน้ำตก ในสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ อิฐแดงกระเบื้องเขียวขับเน้นกันและกัน ดั่งวังเซียนกลางเขาลึกก็ไม่ปาน รั้วชายคาแกะสลัก เสาและศาลาตกแต่งงดงาม เรือนแต่ละหลังสร้างอย่างประณีตยิ่ง ประดับตกแต่งอยู่ระหว่างต้นไม้เขียว ยามอยู่บนหน้าผาหากไม่สังเกตให้ดีจะไม่พบสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เลย
“ไม่ปกติ” หลี่มู่ใช้พลังจิตวิญญาณกวาดดู “รอบๆ วัดซ่อนมรรคานี้ไม่มีทหารล้อมเอาไว้เลย”
จ้าวจี้หน้าเปลี่ยนสีทันที “หรือว่า…”
“ลงไปดูก่อนค่อยว่ากัน” หลี่มู่ม้วนพลังจิตวิญญาณ พันล้อมคนบนหลังกระเรียนขาวไว้ ก่อนกระโดดลงมาหน้าประตูใหญ่วัดซ่อนมรรคา
กระเรียนขาวขนาดตัวใหญ่เกินไป กลัวจะสร้างความตระหนกให้ผู้คนสัญจร จึงร่อนลงมารอคำสั่งบนยอดเขาหินที่ห่างออกไป
วัดซ่อนมรรคาสร้างมากว่าหนึ่งพันปี เคยเป็นอารามหลวงในเขตซ่งเหนือ จักรพรรดิซ่งเหนือเป็นเชื้อสายตระกูลจ้าว ใช้ที่นี่เป็นสถานที่บรรพชน จักรพรรดิหลายคนที่เลือกออกบวชอย่างสันโดษในบั้นปลายชีวิตล้วนมาฝึกบำเพ็ญยังวัดซ่อนมรรคา ต่อมาก็กลายเป็นเซียนโบยบินสู่สวรรค์ที่วัดแห่งนี้ วัดซ่อนมรรคาเคยมีช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดช่วงหนึ่ง แต่ต่อมาพบเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กอปรกับการโยกย้ายเมืองหลวงของซ่งเหนือ หลินอันเมืองหลวงใหม่อยู่ห่างจากเขาหัวโคมากเกินไป ดังนั้นวัดจึงค่อยๆ เสื่อมถอยลง
ตราบจนปัจจุบัน วัดซ่อนมรรคายังคงเป็นอารามเต๋าของบรรพชนราชวงศ์ซ่งเหนือในนาม แต่ไม่ได้มีอำนาจอิทธิพลมากแล้ว
เข้ามาทางประตูใหญ่ ก็ยังไม่พบกับนักพรตเต๋าแม้แต่คนเดียว
เดินเข้ามาด้านในอีกระยะหนึ่งจึงค่อยได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น
คนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามา คนที่นำหน้าอยู่ในชุดอ๋องมังกรทองสีเหลืองอร่าม อายุราวห้าหกสิบปี ใบหน้าเคร่งขรึมดูร้อนรน กระทั่งรองเท้ายังหลุดหายไปแล้ว ด้านหลังเป็นองครักษ์กับนักพรตเต๋าอีกกลุ่มหนึ่ง และยังมีสาวใช้ที่น้ำตานองหน้าอีกคน….
“ท่านอ๋อง” จ้าวจี้เห็นแล้วรีบเข้าไปรับหน้า พร้อมคารวะ “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้น? หรือว่า…ท่านหญิง…”
“จ้าวจี้? เจ้ากลับมาแล้วหรือ กองหนุนที่อวี่เอ๋อร์ให้เจ้าไปหาล่ะ?” เมื่อเห็นจ้าวจี้ ชายชราที่รองเท้าหายไปแล้วคนนั้นดวงตาเป็นประกาย แต่สีหน้าก็หม่นลงแทบจะทันที เอ่ยต่อว่า “สายไปแล้ว สายไปแล้ว อวี่เอ๋อร์ถูกคนของจิ้นอ๋องพาตัวไปแล้ว…”
ชายชราคนนี้คือปาเสียนอ๋องผู้ลืมนามแห่งซ่งเหนือนี่เอง
แต่ว่าเขากลับไม่รู้ว่ากองหนุนที่จ้าวจี้ออกไปหาเป็นใคร ตอนนั้นจ้าวจี้ตีฝ่าวงล้อม ฉุกละหุกยิ่งนัก มีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้พูดชัดเจน และหวางซืออวี่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับพ่อบุญธรรมของนางมากนัก
“อะไรนะ? เช่นนั้นก็แย่แล้ว” จ้าวจี้ได้ยินก็ร้อนใจเช่นกัน
รีบร้อนแทบตาย เดินทางอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาช้าเกินไป
“ใจเย็นก่อน” หลี่มู่ก้าวขึ้นมา ถามเสียงต่ำว่า “ซืออวี่ถูกพาตัวออกไปเมื่อไหร่? ไปทางด้านไหน?”
ปาเสียนอ๋องตอบกลับตามสัญชาตญาณ “สองชั่วยามก่อนหน้า ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ค่ายทหารของจิ้นอ๋องอยู่ห่างออกไปหมื่นลี้…”
เขายังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ เบื้องหน้าก็พร่ามัว หลี่มู่หายไปแล้ว
จ้าวจี้ถาม “ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ? ว่ากันตามหลักการแล้ว เรายังสามารถยื้อเอาไว้จนถึงตอนที่ข้าพากองหนุนมานี่ ทำไมท่านหญิงถูกจิ้นอ๋องพาตัวไปอย่างง่ายดายเช่นนี้?”
ปาเสียนอ๋องตอบกลับ “เฮ้อ เจ้าเด็กโง่คนนี้ เพื่อไม่ให้คนของจิ้นอ๋องสังหารผู้บริสุทธิ์ ตัวเองจึงใส่ชุดแต่งงาน วางยาในน้ำชาของข้าจนข้าสลบไป ปิดบังทุกคนแล้วแอบหนีออกจากวัดซ่อนมรรคา จากนั้นนั่งเกี้ยวบุปผาด้านนอกไปแล้ว นี่มันป้อนเนื้อเข้าปากเสือชัดๆ…”
จ้าวจี้ฟังแล้วอึ้งในใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ท่านหญิงนี่ก็ช่างก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ
ทว่าเขาก็ตระหนักได้ทันที นี่ไม่ใช่นิสัยและพฤติกรรมของท่านหญิงหรือไรกัน?
แต่ไหนแต่ไรมา เด็กสาวที่ทั้งจิตใจดีและกล้าหาญคนนี้ใช้คุณลักษณะที่หาได้ยากของนางโน้มน้าวใจคนรอบกายหลายต่อหลายครั้ง ทำให้คนทุกคนเลื่อมใสศรัทธาในตัวนางอย่างห้ามไม่ได้และคอยปกป้องนาง ในเมืองหลวงหลินอัน แม้จะมีพวกคุณชายทายาทตระกูลสูงศักดิ์มากมายดูถูกหัวเราะเยาะ ก็ยังมีประชาชน ลูกน้อง และสาวใช้มากมายชื่นชมนาง
ในแวดวงตระกูลสูงศักดิ์แห่งเมืองหลวงที่เริ่มเน่าเฟะเสื่อมโทรมแล้ว เด็กสาวที่งดงามบริสุทธิ์และยืนหยัดกล้าหาญเช่นนี้ก็เหมือนดอกบัวขาวโผล่ออกมาจากดินเลนโดยไม่แปดเปื้อนสิ่งใด ทำให้จิตใจของผู้ที่สนใจถูกสั่นคลอน
ในหมู่ประชาชนเมืองหลินอัน ท่านหญิงหวนจูที่มีเมตตาและอาจหาญคนนี้มีชื่อเสียงดีงามเกือบจะเทียบเท่ากับปาเสียนอ๋องทีเดียว
และตัวเขานั้นก็ไม่ใช่ว่าเริ่มหลงใหลนาง ถอนตัวไม่ขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งยินยอมพร้อมใจสละชีวิตให้ เพราะคุณลักษณะที่ทรงคุณค่าเหล่านี้ของท่านหญิงหวนจูหรอกหรือ?
“น่าจะยังทันอยู่ ใต้เท้าหลี่จะต้องช่วยท่านหญิงกลับมาได้แน่นอน” จ้าวจี้ตั้งสติกลับมา รีบปลอบโยนปาเสียนอ๋องและปลอบโยนตัวเองด้วย
ปาเสียนอ๋องเอ่ย “หนุ่มคนเมื่อครู่น่ะหรือ? เขาคนเดียวจะช่วยอวี่เอ๋อร์จากกองม้ากองทหารนับหมื่นพันของจิ้นอ๋องได้หรือ? นี่มัน…” ปาเสียนอ๋องสงสัย อิทธิพลของจิ้นอ๋องยิ่งใหญ่มากคือเรื่องจริง กระทั่งสามารถพูดได้ว่าเป็นขั้วอำนาจที่น่ากลัวที่สุดของทั้งจักรวรรดิซ่งเหนือในตอนนี้
จ้าวจี้ตอบ “ท่านอ๋องวางใจได้ หากท่านรู้ชื่อของเขาก็จะไม่ถามเช่นนี้แล้ว”
ปาเสียนอ๋องอึ้งไป ถามขึ้นอย่างอยากรู้ “เขา…เป็นใครกัน?”
………………………………………….
[1] คำว่าสุนัขในภาษาจีนออกเสียงว่า โก่ว คล้ายคำว่า Go ในภาษาอังกฤษ