จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 387 ยอดวีรบุรุษ
“หลี่มู่แห่งฉินตะวันตก” จ้าวจี้ตอบ
ปาเสียนอ๋องอึ้งไป “หลี่มู่? ฉินตะวันตก…”
ชั่วขณะต่อมา เขาก็พลันตั้งสติขึ้นได้ เอ่ยว่า “ไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่แห่งฉินตะวันตก? หลี่มู่คนนั้นน่ะรึ?”
จ้าวจี้พยักหน้า
ปาเสียนอ๋องสูดหายใจ ถามอย่างยากจะเชื่ออยู่บ้าง “กองหนุนที่เจ้าไปขอก็คือเขา? แต่ว่า…เจ้าเชิญเขามาได้อย่างไร?”
ไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่แห่งฉินตะวันตก บุคคลที่ชื่อก้องไปทั่วปฐพี
ตอนแรก หวงเซิ่งอี้ถูกจับที่เมืองขาวพิสุทธิ์ ข่าวเล่าลือออกไป สะท้านสะเทือนแผ่นดิน ทั่วเขตคามต่างรู้กันว่าฉินตะวันตกมีปฐมเทวะอายุไม่ถึงสิบหกคนหนึ่ง จักรวรรดิต่างๆ ล้วนมีใจอยากชักชวนเด็กหนุ่มปานปีศาจคนนี้ไปเป็นพวกทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ซ่งเหนือจึงส่งทูตไปเช่นกัน ซึ่งก็คือจ้าวจี้นั่นเอง
หรือว่า…
ปาเสียนอ๋องมองไปยังจ้าวจี้
หรือตอนนั้นจ้าวจี้จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่ได้อย่างแน่นแฟ้นแล้ว?
จ้าวจี้คนนี้ช่างเป็นคนมีความสามารถจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีวิธีสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ได้ด้วย
ทำให้บุคคลยิ่งใหญ่ที่ชื่อเสียงสะท้านปฐพีอย่างหลี่มู่ลงมือช่วยเหลือด้วยตัวเองได้…ปาเสียนอ๋องพลันโล่งใจ เมื่อหนึ่งปีก่อนที่หลี่มู่จับ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ยังเป็นแค่ปฐมเทวะเท่านั้น แต่วันนี้แม้แต่บุคคลอย่าง ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงยังตายในเงื้อมมือหลี่มู่ ไม่ว่าจะอย่างไร หลี่มู่ก็นับว่าเป็นบุคคลที่สังหารเทวะได้แล้ว
บุคคลเช่นนี้ ในโลกจะมีสักกี่คนกันเชียว?
อย่างน้อยๆ ในเขตซ่งเหนือตอนนี้ก็ไม่มีใครเทียบเทียมได้ จะจัดการคนเห่อเหิมทะเยอทะยานอย่างจิ้นอ๋องก็เพียงพอแล้ว
ทว่า สิ่งที่ทำให้ปาเสียนอ๋องแปลกใจก็คือ จ้าวจี้กลับยิ้มขื่นตอบว่า “ไม่ใช่เพราะข้า หากแต่ท่านหญิงเป็นสหายเก่ากับใต้เท้าหลี่ เขามาเพื่อช่วยท่านหญิงขอรับ”
ปาเสียนอ๋องได้ยินก็อึ้งไปอีกครั้ง
เขาพลันนึกขึ้นได้ ตอนอยู่ที่เมืองหลินอันเคยมีคุณชายมียศถาบรรดาศักดิ์และชายหนุ่มความสามารถโดดเด่นมากมายมาสู่ขอที่จวนอ๋องผ่านเส้นสายความสัมพันธ์ต่างๆ หวังว่าจะได้แต่งงานกับบุตรสาวบุญธรรมคนนี้ของตน ในนั้นมีอัจฉริยะที่แท้จริงอยู่มาก ทว่าถูกนางปฏิเสธเสียสิ้น
‘ชายในดวงใจของข้าเป็นยอดวีรบุรุษ วันหนึ่งเขาจะสวมชุดเกราะทองอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เหยียบเมฆมงคลเจ็ดสีมาสู่ขอข้า ข้าทายในตอนแรกถูก และทายผลสุดท้ายถูกเช่นกัน…’
เขานึกถึงประโยคที่ธิดาบุญธรรมของตนเคยเอ่ยปฏิเสธผู้ที่มาสู่ขอทั้งหมด
ประโยคนี้เคยลือกันไปทั่วทั้งเมืองหลินอัน กลายเป็นเรื่องน่าขันอยู่ช่วงหนึ่ง
ยอดวีรบุรุษ?
คนในราชวงศ์ทั้งหลายต่างหัวเราะเยาะหวางซืออวี่ธิดาบุญธรรมของเขาว่าฝันกลางวัน บอกว่านางเป็นเด็กสาวบ้านนอกไร้การศึกษาที่คิดฝันเพ้อเจ้อ ปาเสียนอ๋องก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าความคิดของธิดาบุญธรรมคนนี้ค่อนข้างเปิดกว้าง บางทีอาจจะเป็นจินตนาการเพ้อพกบางอย่างกระมัง ถึงอย่างไรเด็กสาวทุกคนก็มีความปรารถนาเช่นนี้ ใครบ้างจะไม่อยากให้บุุรุษข้างกายเป็นวีรบุรุษบ้างเล่า
แต่ตอนนี้ดูแล้ว…
‘หรือยอดวีรบุรุษคนนั้นที่อวี่เอ๋อร์พูดถึงมาโดยตลอดจะเป็นหลี่มู่?’
ปาเสียนอ๋องคาดเดาอย่างตื่นตะลึง
หากเป็นหลี่มู่จริงๆ ละก็ เช่นนั้นก็คู่ควรกับคำว่า ‘ยอดวีรบุรุษ’ คำนี้อย่างแน่นอน
แต่ตามที่ปาเสียนอ๋องรู้มา หลี่มู่นั้นมีนางในดวงใจอยู่แล้ว ‘กลอนสาวงาม’ และ ‘กลอนชมฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำลำพังใต้แสงจันทร์ · จันทร์เจ้าเมื่อไหร่เล่าเจ้าจะเต็มดวง’ ในตอนนั้น กล่าวได้ว่าเลื่องลือไปทั่วหล้า และเรื่องที่หลี่มู่ชมชอบฮวาเสี่ยงหรงก็กลายเป็นเรื่องน่าสรรเสริญ เล่าลือไปพร้อมกับกลอนสองบทนั้น นี่อวี่เอ๋อร์เข้าไปแทรกกลางความรักของหลี่มู่กับฮวาเสี่ยงหรงหรือ?
ปาเสียนอ๋องค่อนข้างกังวลขึ้นมาอีกทันที
ช่างน่าสงสารพ่อแม่ในโลกนี้นัก
……
“ชายในดวงใจของเจ้าเป็นยอดวีรบุรุษ วันหนึ่งเขาจะสวมชุดเกราะทองอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เหยียบเมฆมงคลเจ็ดสีมาสู่ขอเจ้า? ฮ่าๆๆ หวางซืออวี่ ตอนนี้เจ้าหลงยังคิดอย่างนั้นอยู่จริงๆ หรือ? ชายในดวงใจของเจ้า ยอดวีรบุรุษคนนั้นอยู่ที่ใดล่ะ? ทำไมจึงไม่มาช่วยเจ้า”
ในค่ายทหาร ‘กองกำลังสำแดงเดช’ กองกำลังที่ขึ้นตรงต่อจิ้นอ๋อง กลางกระโจมหลังใหญ่ สตรีวัยกำดัดหน้าตางดงามทว่าท่าทางใจร้ายใจดำยืนหัวเราะเย้ยหยันตรงหน้าหวางซืออวี่ที่ถูกมัดอยู่กับเสาไม้
ข้างกายนาง สตรีอายุน้อยสิบกว่าคนที่มีกลิ่นอายสูงส่งแผ่กำจายทั้งร่างหัวเราะครืนทันที
“คิกๆ องค์หญิงซินเยวี่ย เด็กบ้านนอกนี่พลิกสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ท่านจะทำร้ายจิตใจนางไปทำไมเล่า?”
“เฮ้อ นั่นน่ะสิ ทั้งๆ ที่ไม่ยินดีแต่กลับทำท่าทางเหมือนสละตนเพื่อคนอื่น คิดว่าตัวเองเป็นอะไร? ผู้กอบกู้รึ? คิกๆ ชวนให้คนขยะแขยงเสียจริง”
“ได้ยินว่าองครักษ์ของจิ้นอ๋องค้นกระบี่อ่อน ‘งูเขียว’ ในตัวนางได้ ว่ากันว่าเด็กน้อยถือไว้ในมือยังสามารถทำร้ายปรมาจารย์ได้ เด็กบ้านนอกนี่คิดอะไรอยู่ก็เห็นกันชัดเจนแล้ว”
“ก็คิดว่าตัวเองฉลาด เปลี่ยนปิ่นปักผมเป็นอาวุธคม แต่นั่นจะไปมีประโยชน์อะไร? จิ้นอ๋องแค่มองก็รู้ทันความคิดของเจ้าแล้ว เด็กบ้านนอกก็เป็นแค่เด็กบ้านนอก ยังคิดจะลอบสังหารจิ้นอ๋องอีกรึ?”
สตรีสิบกว่าคนนี้ต่างเยาะเย้ยถากถางหวางซืออวี่ที่ถูกมัดไว้กับเสา
พวกนางสวมชุดกระโปรงหรูหรา แต่งหน้าประณีตงดงาม แต่ละคนยิ้มไม่เห็นฟัน ต่างได้รับการอบรมมารยาทของชนชั้นสูงมา แต่ว่าคำพูดที่เอ่ยออกมากลับร้ายกาจนัก
พวกนางล้วนเป็นสตรีชนชั้นสูง มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนาง นับว่าเป็นสตรีที่งามพร้อมในแวดวงชนชั้นสูงของซ่งเหนือ และเป็นพวกเดียวกับองค์หญิงซินเยวี่ยองค์หญิงสามสิบแปดของจักรพรรดิซ่งองค์ปัจจุบัน
ในเมืองหลินอันเมื่อก่อนนี้ องค์หญิงซินเยวี่ยเคยกระทบกระทั่งกับท่านหญิงหวางซือวี่หลายครั้ง แต่พ่ายแพ้ยับเยิน วันนี้เกิดศึกชิงอำนาจแปดอ๋อง จิ้นอ๋องก่อกบฏ สามีขององค์หญิงซินเยวี่ยเป็นแม่ทัพคนสนิทใต้บัญชาการของจิ้นอ๋อง สตรีคนอื่นๆ ในวงนี้โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นคนในตระกูลชนชั้นสูงของฝั่งตระกูลจิ้นอ๋องเช่นกัน
องค์หญิงซินเยวี่ยแย้มยิ้ม ความใจดำฉาบเต็มใบหน้า เอ่ยเย้ยหยันพร้อมหัวเราะคิกคักว่า “ตอนนั้นที่เมืองหลันอัน ไม่รู้ว่าใครมั่นใจเสียเต็มประดา แม้แต่เสด็จพ่อยังต้องมองเจ้าใหม่ ตำหนิพวกเราพี่น้องว่าเป็นสตรีน่าสงสารที่ขี้อิจฉา จอมปลอมไร้วิญญาณ หึๆ แต่วันนี้เล่า? เจ้าถูกมัดไว้กับเสาเหมือนหญิงรับใช้ชั้นต่ำ รอถูกส่งไปขึ้นเตียงของเสด็จพี่จิ้นอ๋อง เป็นแค่เครื่องมือหาผลประโยชน์ก็เท่านั้น ยิ่งไม่ต้องคิดเลยนะว่าเสด็จพี่จิ้นอ๋องจะรักเจ้าจริง…ใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอนทั้งสิ้น ตอนนี้เสด็จพ่อปกป้องเจ้าไม่ได้แล้ว บิดาบุญธรรมปาเสียนอ๋องตายยากของเจ้ารักษาตัวเองก็ยังจะไม่รอด…หวางซืออวี่ เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าจะมีจุดจบอย่างวันนี้สินะ”
วันนี้จิ้นอ๋องจัดงานมงคลสมรส แต่งท่านหญิงหวนจู ประกาศให้ไพร่ฟ้ารับรู้ องค์หญิงซินเยวี่ยนำพี่น้องในอดีตมายังในค่ายก็เพื่อเยาะเย้ยศัตรูคู่แค้น เสพสมความรู้สึกสะใจ
หวางซืออวี่ถูกมัดกับเสาไม้กลางกระโจมใหญ่ ขยับเขยื้อนไม่ได้
สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่นางคิดเอาไว้
เพราะเมื่อมาถึงค่ายของกองกำลังสำแดงเดช นางไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าของจิ้นอ๋องก็ถูกทหารหญิงของกองกำลังค้นตัว กระบี่อ่อน ‘งูเขียว’ และปิ่นต่างๆ ถูกค้นเอาไปหมด เสื้อผ้าบางส่วนถูกผลัดเปลี่ยน บังคับให้ใส่ชุดแต่งงานแทน ทั้งยังถูกจำกัดอิสระมัดไว้กับเสาไม้…
‘คิดง่ายเกินไปจริงๆ ด้วย’
หวางซืออวี่ถอนหายใจ
นางมองพวกองค์หญิงซินเยวี่ยที่อยู่เบื้องหน้า ขี้เกียจจะไปสนใจ
พวกที่ดีแต่เปลือกไร้สมอง มีแต่ความงามไม่มีวิญญาณ มีชีวิตอยู่ไปก็รังแต่จะเปลืองอากาศเท่านั้น
เถียงกับผู้หญิงที่น่าเศร้าพวกนี้เสียเวลาแท้ๆ
จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนโลก หลี่มู่เคยเตือนในโรงเรียนว่าอย่าไปถกเถียงกับคนไร้เหตุผลกัดไม่ปล่อยพวกนั้น พูดว่าอย่างไรนะ? อ้อ ใช่แล้ว อย่าไปเถียงกับพวกปัญญาอ่อนด้อยเด็ดขาด เพราะจะทำให้สติปัญญาเราต่ำลงไปเท่ากับพวกนั้น
คำนี้พูดได้ดีนัก นึกแล้วเห็นภาพ
ในสายตาของหวางซืออวี่ พวกองค์หญิงซินเยวี่ยก็เป็นคนด้อยปัญญาที่คิดว่าตัวเองดีเลิศ
ตอนนี้นางไม่รู้สึกสิ้นหวังแม้แต่น้อย
ไม่สิ้นหวังจริงๆ
นางยังมีกลอุบายบางอย่างที่ยังไม่ได้ใช้
และนี่ก็ยังไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย
อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดๆๆๆ ก็คือ นางรู้ว่าคนคนนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว
ถึงแม้จนถึงตอนนี้จะผ่านมาแล้วสิบกว่าวัน ข่าวเกี่ยวกับคนคนนั้นไม่มีเลยแม้แต่น้อย แต่ในใจของนางกลับมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเขา…จะต้องมาแน่นอน
นี่เป็นความเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง
ไม่มีเหตุผล แต่ก็ยืนหยัดมั่นใจ
เมื่อเห็นหวางซืออวี่ไม่มีทีท่าเสียใจ หวาดกลัว หรือตื่นตระหนกอย่างที่ควร พวกองค์หญิงซินเยวี่ยก็รู้สึกหมดสนุกอย่างห้ามไม่ได้
พวกนางตั้งใจใช้ข้ออ้างมาอวยพรวันแต่งงานมาเยาะเย้ย อยากจะเห็นใบหน้างามล้ำที่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมของท่านหญิงหวนจูหวางซืออวี่ฉายแววเสียใจและร้องขอ นี่ต่างหากถึงจะสนุก
องค์หญิงซินเยวี่ยชักกริชคมจากข้างเอวมา ลากไปตามใบหน้าของหวางซืออวี่ ก่อนจะเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด “หากไม่ใช่ว่าอีกครู่หนึ่งเจ้าจะต้องร่วมพิธีแต่งงานกับเสด็จพี่จิ้นอ๋อง ข้าละอยากจะกรีดใบหน้าต้นตอภัยพิบัติของเจ้าเสียจริง”
หวางซืออวี่มองนางแล้วแค่นเสียงเย็น “เรื่องที่ไม่กล้าทำก็อย่าได้พูดออกมาให้ตัวเองลำบากใจเลย มิเช่นนั้นรังแต่จะทำให้เจ้าดูโง่เสียเปล่าๆ”
“เจ้า…” องค์หญิงซินเยวี่ยจนคำพูด จากนั้นนางขบคิดบางอย่าง หัวเราะหยันก่อนกล่าว “ปากกล้านัก คิกๆ แต่ข้ายังมีวิธีจัดการเจ้าอยู่…ฮิๆ เจ้าว่าเจ้าใส่เสื้อผ้ามากขนาดนี้ อีกประเดี๋ยวปีนขึ้นเตียงเสด็จพี่จิ้นอ๋องของข้าแล้วจะทำให้เขาสำราญใจได้อย่างไร? มิสู้ข้าช่วยเจ้าเปลี่ยนจะดีกว่า…พี่น้องทั้งหลาย ถอดเสื้อนางแพศยานี่ออกให้หมด…”
ภายใต้ความโกรธและแรงกระตุ้นถึงขีดสุด สตรีชนชั้นสูงที่คิดว่าตัวเองดีเด่นพวกนี้พุ่งไปฉีกทึ้งเสื้อของหวางซืออวี่ราวคนบ้าทันที
หวางซืออวี่เบ้ปาก
โง่เง่า
นี่ก็ถือว่าเป็นวิธีด้วยเหรอ
ตอนมัธยมต้นอยู่ในหอพักโรงเรียน ข้ายังลงมือเปลือยกายเองที่ห้องอาบน้ำรวมอาทิตย์ละสองครั้งด้วยซ้ำ พวกเจ้าต่อให้โหดเหี้ยมอย่างไรก็เป็นแค่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง คิดว่าจะทำให้กลัวได้รึไง?
……
“ใต้เท้าจิ้นอ๋อง เวลามงคลใกล้มาถึงแล้ว ฮ่าๆ พิธีสมรสใกล้จะเริ่มแล้ว”
“ยินดีด้วยท่านอ๋อง ยินดีด้วย”
“ได้ยินว่าท่านหญิงหวนจูเป็นเหมือนม้าพยศ และยิ่งเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งหลินอัน ฮ่าๆ ท่านอ๋อง โชคดีไม่เบาเลย สวรรค์เข้าข้างท่านอ๋องแท้ๆ”
ในกระโจมแม่ทัพ แม่ทัพของกองกำลังสำแดงเดชแสดงความยินดีกับจิ้นอ๋อง
จิ้นอ๋องดูจากภายนอกแล้วท่าทางอายุแค่สามสิบกว่าเท่านั้น รูปร่างท้วมและไม่สูง โครงร่างใหญ่ แต่ดวงตาทั้งโตและมีชีวิตชีวา ประดุจเหยี่ยวประหนึ่งพยัคฆ์ ดูกระปรี้กระเปร่า สะท้อนความฉลาดเฉลียว ผิวขาวละเอียด หนวดเคราดกดำ มีกลิ่นอายสูงส่งสามส่วนกลิ่นอายสังหารเจ็ดส่วน ท่าทางไม่ธรรมดา การขับเน้นของชุดเกราะยิ่งทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน มีบุคลิกลักษณะของผู้ปกครอง
“หึๆ ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ข้าชมชอบนั่นเป็นวาสนาของนาง อีกอย่างข้าก็แค่เห็นความสำคัญของฐานะนางเท่านั้น แม่ทัพทั้งหลายอย่าลืมแผนของเรา อย่าได้ประมาท เมื่อเราก้าวสู่เมืองหลินอัน ถึงตอนนั้นพวกท่านล้วนแต่จะเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบทั้งสิ้น เมื่อนั้นอยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”
จิ้นอ๋องเอ่ยเรียบๆ
ในใจเขาไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษกับหวางซืออวี่จริง
ผู้หญิงต่อให้สวยอย่างไรก็เป็นแค่ผู้หญิงเท่านั้น
ในสายตาของเขา ผู้หญิงคือเครื่องมือ มีไว้ให้กำเนิดบุตร เลี้ยงดูลูก ไม่ก็เอาไว้จัดการอำนาจ ใช้ดึงคนมาเป็นพวก หรือเอาไว้ใช้ระบายความปรารถนา…บนโลกใบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอาศัยบุรุษในการพิชิต ขอแค่ได้ท่านหญิงหวนจูมาไว้ในกำมือ ไม่ใช่จะได้แค่ชื่อ แต่ยังสามารถบีบปาเสียนอ๋องให้ลงมือเพื่อเขา รอจนถึงวันที่ชิงแผ่นดินนี้มาได้ ผู้หญิงคนนี้จะเที่ยวตบรางวัลให้แม่ทัพคนไหนเขาก็ไม่สนใจ
ไม่นานก็ถึงฤกษ์มงคล
พิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของจิ้นอ๋องเริ่มขึ้นแล้ว
ถึงแม้งานจะค่อนข้างเร่ง แต่พิธีการทั้งหมดก็ยังละเอียดมาก เพราะเมื่อทหารเข้าล้อมเขาหัวโค จิ้นอ๋องก็เริ่มเตรียมพิธีแต่งงานครั้งนี้แล้ว กล่าวตามเนื้อแท้ นี่เป็นเหมือนการโอ้อวดทางการเมืองเสียมากกว่า เป็นการสำแดงพลังอำนาจ ความหมายด้านการปกครองอยู่เหนือความหมายที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงสามารถเชิญแขกคนสำคัญบางคนมาถึงพิธีแล้ว รวมไปถึงทูต ขุนนาง ชนชั้นสูง และผู้แข็งแกร่งจากสำนักตระกูลกับพรรคใหญ่ต่างๆ…ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์หลายคนและครึ่งขั้นเทวะสองคนจากสำนักเทพเขาเมืองมรกตแห่งซ่งเหนือด้วย
พูดได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการ
……………………………………………………