จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 390 รำคาญเขาจริง
หลี่มู่!
ขั้นเทวะ!
สองคำนี้อยู่ระดับเดียวกัน
หากพูดถึงว่าตอนที่รองเจ้าสำนัก ‘เทพมารเพลิง’ แห่งทุ่งปิดภูผาถูกจับกุมครั้งแรก คนบางส่วนยังมีความเห็นต่างกับการที่หลี่มู่เข้าสู่ขั้นเทวะ เช่นนั้นตอนที่ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงถูกสังหารที่เขาขุนคีรี ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่คงไม่มีใครเห็นต่างกับเรื่องนี้แล้ว
ถึงอย่างไรอิ้งซานเสวี่ยอิงก็เคยสังหารเทวะเหมือนกัน แต่กลับถูกหลี่มู่จัดการไปเสียได้
‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงคือผู้แข็งแกร่งห้าอันดับต้นของซ่งเหนือ อยู่ขั้นครึ่งเทวะมาหลายปี หลายปีมานี้ถือว่าก้าวหน้าอยู่ แต่ให้สังหารเทวะหรือ? เขาเหมือนจะยังทำไม่ได้
หวงโหย่วหลงรู้สึกเพียงว่าใบหน้าของตนร้อนผะผ่าว
เพราะชื่อนี้ทำให้เขาตกใจจริงๆ
คิดๆ ถึงคำพูดของตนเองเมื่อครู่ ก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างจัง
หวงโหย่วหลงมองจิ้นอ๋องที่อยู่ข้างกายตามจิตใต้สำนึก
ทว่า สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงก็คือสีหน้าของจิ้นอ๋องยังคงปกติ ราวกับไม่มีอาการตกใจใดๆ กระทั่งสีหน้าหวาดกลัวสักนิดก็ไม่มี
หวงโหย่วหลงอึ้งในใจ
หรือว่าจิ้นอ๋องจะมีกลยุทธ์ไพ่ตายอะไรที่แข็งแกร่งจนสามารถต่อกรมหาเทวะได้?
เป็นไปไม่ได้น่า
ต่อให้เป็นสำนักเขาเมืองมรกตในยามนี้ ก็ยังไม่มีไพ่ตายเช่นนี้เลยกระมัง?
แต่ไม่นานนัก หวงโหย่วหลงเห็นแววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของหลี่มู่ ก็เข้าใจกระจ่างทันที ที่แท้ประโยคเมื่อครู่ หลี่มู่พูดกับตนเองเพียงคนเดียว ภายใต้การเสริมของวิชาลับ คำสนทนาจึงถูกปิดกั้น คนอื่นล้วนไม่ได้ยิน…วิธีการเช่นนี้ ครึ่งขั้นเทวะอย่างเขาก็ยังจับไม่ได้เลยหรือ?
หลี่มู่ต้องเป็นขั้นเทวะแล้วแน่นอน
คิดถึงจุดนี้ ในใจหวงโหย่วหลงเหมือนถูกคลื่นยักษ์อันน่าหวาดกลัวถาโถม
เขาแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของหลี่มู่แน่
โดยเฉพาะเมื่อมองสีหน้าประหลาดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวอีกครั้ง ใจของครึ่งเทวะหวงโหย่วหลงก็ยากจะรักษาความสงบเอาไว้ได้ ความเย็นเยือกขุมหนึ่งปะทุออกมาจากกระดูกสันหลัง ลามขึ้นไปตรงกระหม่อม ประหนึ่งจะเปิดหน้าผากพุ่งออกไป ไม่อาจสกัดกั้นคลื่นแห่งความหวาดกลัวได้
“ขออภัย รบกวนท่านแล้ว” หวงโหย่วหลงประสานมือ
จากนั้น เขาหันไปบอกหัวหน้าค่ายวารีเชื่อมฟ้าทั้งสามสิบห้าคน “พวกเรากลับ”
จะกลับไปเลยจริงๆ
จิ้นอ๋องในตอนนี้สีหน้าเปลี่ยน เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “หัวหน้าค่ายหวง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
คนอื่นๆ ก็ล้วนใช้สายตาตกตะลึงมองเจ้าแห่งทางน้ำอันดับหนึ่งของซ่งเหนือคนนี้ ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเพียงแค่เด็กหนุ่มชุดขาวยิ้ม มหาโจรคนนี้กลับจะรีบร้อนจากไป ท่าทีเคารพยำเกรงเป็นที่สุด…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“พี่ใหญ่ ท่าน…” หัวหน้าค่ายสาขาคนหนึ่งถามอย่างไม่เข้าใจ “พวกเราจะไปเช่นนี้เลยหรือ?”
“ถ้าไม่อยากตายก็ออกไปกับข้า” หวงโหย่วหลงสีหน้าดุดัน
เขาถอนหายใจออกมา ประสานมือต่อจิ้นอ๋องและเอ่ยว่า “บุญคุณยิ่งใหญ่ของฝ่าบาทยากที่จะตอบแทนได้หมด แต่เรื่องในวันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ ‘ค่ายวารีเชื่อมฟ้า’ ของข้าจะผสมโรงได้ ฝ่าบาทโปรดรักษาตัวด้วย อย่ากระทำการด้วยอารมณ์” นี่ถือเป็นคำเตือนสุดท้ายที่เขามีให้กับจิ้นอ๋องกระมัง
พูดจบ ‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงไม่เหลือความลังเลใดๆ อีก พาหัวหน้าค่ายวารีเชื่อมฟ้าทั้งสามสิบห้าและยอดฝีมือจากค่ายอื่นๆ ออกไปทันที ราวกับว่าถ้าออกไปช้าอีกเพียงนิดจะเกิดมหันตภัยฟ้าถล่มขึ้น เพียงพริบตาก็หายไปตรงขอบฟ้าไกล
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นแปลกพิลึกทันใด
จิ้นอ๋องไม่ใช่คนโง่
เขาฟังความหมายในคำพูดของหวงโหย่วหลงออกแน่นอน
เด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวคนนี้ มีที่มาน่ากลัวมากเลยหรือ?
แต่ว่า งานสมรสใหญ่ในวันนี้จัดขึ้นต่อหน้าขั้วอำนาจกว่าครึ่งของซ่งเหนือ มีความสำคัญที่ขาดไปไม่ได้ในแผนการของเขา หากยกเลิกไปด้วยเหตุนี้ เรื่องที่ตนเองกลายเป็นตัวตลกเขายังพอทนได้ ทว่ากลับจะพังแผนการทั้งหมดของเขาลง ทำให้วันที่เขาขึ้นเป็นมหาอำนาจของซ่งเหนือถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด นี่เป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้
เมื่อครู่หวงโหย่วหลงให้เด็กหนุ่มคนนี้บอกชื่อสำนักอาจารย์มา หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มนี่พูดอะไร หวงโหย่วหลงถึงได้ตื่นตระหนกจนหนีกลับ คิดดูแล้ว สำนักอาจารย์ของเด็กหนุ่มคนนี้จะต้องมีภูมิหลังน่ากลัวมากเป็นแน่ น่าจะเป็นหนึ่งในสำนักเทพของเก้ายอดคนใต้หล้า
แต่เช่นนั้นแล้วจะทำไม เขาก็มีสำนักเขาเมืองมรกตหนึ่งในเก้าสำนักเทพสนับสนุนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นหนุ่มน้อยคนนี้ก็ไม่อาจเป็นตัวแทนของสำนักเทพที่ตนอยู่ได้ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้รับท่านหญิงหวนจูมาไว้ในมือก่อน วันหลังรอให้สำนักเทพนี้ยกทัพมาประณามจริงๆ ค่อยแอบประนีประนอมชดเชยไป ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ใต้ฟ้านี้ ยังมีเรื่องใดที่ใช้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แก้ไขไม่ได้บ้าง?
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ที่นี่เวลานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยอมก้มหัวให้ไม่ได้
แทบจะในพริบตาเดียวกัน จิ้นอ๋องตัดสินใจเช่นนี้ออกมา
เขาลอบส่งสัญญาณมืออีกครั้ง
ทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกองกำลังสำแดงเดชจัดขบวนพลหมื่นนายอยู่ไกลๆ รวมพลังหมื่นคนไว้ด้วยกัน ล้อมป้องกันรอบแท่นพิธีหลัก กลิ่นอายเด็ดเดี่ยวเหี้ยมหาญตลบอบอวล ผู้แข็งแกร่งกับเจ้าสำนักใหญ่ต่างๆ ก็ล้อมแท่นพิธีหลักเอาไว้ทั้งหมด เวลาเดียวกัน ภายใต้การบอกใบ้ของจิ้นอ๋อง พวกของ ‘หอกเหล็กทวนแม่น้ำ’ ตู้ลวี่จี่หรือเจ้าสำนักหอกเหล็กก็เข้าประชิดตัวหวางซืออวี่อย่างช้าๆ คิดจะจับตัวนางเป็นตัวประกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวมีพลังเทียมฟ้า จะขว้างหนูก็ยังกลัวของแตก[1]
ตู้ลวี่จี่กัดฟัน ยื่นมือไปคว้าข้อมือหวางซืออวี่
แน่นอนว่าเขามองออก หวงโหย่วหลงถูกเด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวทำให้หวาดกลัวจนจากไป คนที่ค่ายวารีเชื่อมฟ้าไม่กล้าหาเรื่อง สำนักหอกเหล็กเขาย่อมหาเรื่องด้วยไม่ได้เช่นกัน แต่ปัญหาคือจิ้นอ๋องไม่อาจทำอะไรกับค่ายวารีเชื่อมฟ้าได้ แต่ถ้าสำนักหอกเหล็กเดินจากไปเหมือนหวงโหย่วหลงบ้างละก็ วันต่อมากองทัพของจิ้นอ๋องได้มาถล่มสำนักหอกเหล็กของเขาจนราบแน่
วรยุทธ์ของตู้ลวี่จี่ยอดเยี่ยมสองสาย
สายที่หนึ่งคือวิชาหอกเหล็ก
สายที่สองคือกรงเล็บเหล็กข้อมือเหล็กกล้า
ความเชี่ยวชาญทั้งสองสายเป็นสิ่งที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้ชื่อเสียงของเขา
‘กรงเล็บเหล็ก’ ของเขาเคยบิดอาวุธวิญญาณจนหักสะบั้นด้วยมือเปล่า พลังไร้เทียมทาน แต่ว่าขณะที่ห้านิ้วจับถึงข้อมือหวางซืออวี่ สิ่งที่สัมผัสกลับไม่ใช่ความเกลี้ยงเกลาของข้อมือขาวหญิงงามตามที่จินตนาการไว้ ทว่า…เป็นพลังที่ยากจะพรรณนาได้ขุมหนึ่งทะลักเข้ามา ทำให้นิ้วทั้งห้าของเขาออกอาการชา
ขณะตื่นตระหนก เขาตั้งจิตมองไป และอดตะลึงค้างอยู่ที่เดิมไม่ได้
สิ่งที่ตนเองคว้าเอาไว้ใช่ข้อมือของท่านหญิงหวนจูหวางซืออวี่เสียที่ไหน เป็นข้อมือของเด็กหนุ่มชุดขาวชัดๆ
ไม่รู้ว่าเมื่อไร เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ห่างออกไปกว่าสองลี้กลับมาปรากฏตัวบนแท่นพิธีหลักเหมือนภูตผี ยืนอยู่ข้างกายหวางซืออวี่แล้ว
นี่…
เขาทำได้อย่างไรกัน?
ตู้ลวี่จี่ราวกับเห็นผีตอนกลางวัน
“สนุกไหม?” เด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวมองเขา หัวเราะพลางสะบัดข้อมือ
กร๊อบ!
ข้อมือเหล็กกล้ากับกรงเล็บเหล็กของตู้ลวี่จี่โดนแสงไฟกลุ่มหนึ่งวาดผ่าน เพียงพริบตาก็แตกละเอียดเป็นเสี่ยงราวรูปปั้นดิน
เขายังรู้สึกอีกว่าพลังร้อนแผดเผาขุมหนึ่งที่ไม่อาจควบคุมได้แผ่จากฝ่ามือ ข้อมือ ลุกลามมายังท่อนแขนและร่างกายของเขา ทุกจุดที่แล่นผ่าน กระดูกจะแตกละเอียดดังกรอบแกรบ ไม่ว่าเขาจะกระตุ้นปราณแท้ขั้นเหนือมนุษย์ใดๆ ก็ถูกต่อต้าน ทำอะไรไม่ได้เลย
“อ๊าก…” ตู้ลวี่จี่ร้องลั่น ถอยหลังหนีเหมือนบ้าคลั่งไปแล้ว เวลาเดียวกันก็ตะโกนอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ “ท่านจอมยุทธ์ไว้ชีวิตด้วย ข้า…ข้าไม่กล้าแล้ว” เขารู้สึกได้ว่าเงาของความตายปกคลุมมาที่ตนเอง ความน่าสะพรึงกลัวกำลังจะมาเยือน
“กลับไปปิดเขาสักร้อยปี เจ้ายินยอมหรือไม่?” หลี่มู่เอ่ยขึ้น
ตู้ลวี่จี่พยักหน้าประหนึ่งทุบกระเทียม “ยอม ยอม ข้ายอม…”
พริบตาต่อมา เปลวไฟสีแดงงดงามที่แผ่ลามไปถึงไหล่ขวาของเขาหายไปทันที
แขนขวาทั้งท่อนของตู้ลวี่จี่ถูกทำลาย แต่ยังดีที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้
เขาหอบหายใจเฮือกใหญ่ เหงื่อเย็นหยดปานเม็ดฝน ทั้งหน้าและหลังเปียกชุ่ม สีหน้าประหวั่นพรั่นพรึงหลังจากรอดชีวิตมาได้ “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ที่ไว้ชีวิต…คนสำนักหอกเหล็ก ไปกับข้า”
สำนักหอกเหล็กก็จากไปด้วยเช่นกัน
พวกของจิ้นอ๋องลนลานถอยหนี เว้นระยะห่าง มองไปที่หลี่มู่ด้วยสีหน้าหวาดผวา
ผู้แข็งแกร่งจากสำนักใหญ่อย่าง ‘พรรคภูผาแม่น้ำ’ และ ‘หอชั้นหนึ่ง’ รวมทั้งองครักษ์ข้างกายล้วนล้อมป้องกันอยู่รอบตัวจิ้นอ๋อง แต่สูญเสียความกล้าที่จะสู้ต่อไปแล้ว
ทหารหลายหมื่น ยอดฝีมือสำนักใหญ่หลายร้อย ล้วนไม่สามารถขวางเด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้ได้
มีคนที่มองแล้วเข้าใจ แท้จริงแล้วในพริบตาเมื่อครู่ เด็กหนุ่มคนนี้กดหัวไหล่ลง ก่อนโน้มไปข้างหน้าด้วยท่าทางคล้ายตีลังกา พริบตาต่อมาเขาก็พุ่งข้ามค่ายกลและสิ่งกีดขวางทั้งหมดจนมาถึงแท่นพิธีหลัก
นี่มันพลังฝึกอะไรกัน?
ต้านไว้ไม่อยู่โดยสิ้นเชิง
แล้วจะสู้ได้อย่างไร?
และในพริบตาที่ตู้ลวี่จี่เก็บชีวิตตนเองหนีเอาชีวิตรอดไปนั้น ทุกคนรวมถึงตัวจิ้นอ๋องก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง…ก่อนหน้านี้ที่ ‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงจากไป เกรงว่าไม่ใช่เพราะตกใจกลัวชื่อสำนักอาจารย์ของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ตกใจกลัวเขาจนต้องหนีไปต่างหาก
นี่เป็นแนวคิดสองแนวเลยทีเดียว
“เจ้า…ท่านคือใครกัน เหตุใดมาขัดขวางต่อต้านข้า?” เสียงของจิ้นอ๋องสั่นเล็กน้อย
เขาตระหนักได้ว่าการวิเคราะห์และทางเลือกของตนเองก่อนหน้านี้อาจผิดอย่างมหันต์
หลี่มู่ยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับว่า “ขอจงมีแต่ความสุขความเจริญ ข้าจางซานเฟิงแห่งเขาบู๊ตึ๊ง”
จิ้นอ๋องนิ่งอึ้งไป
บรรดาเจ้าสำนัก ‘หอชั้นหนึ่ง’ ‘พรรคภูผาแม่น้ำ’ ‘หอวายุอัสนี’ ‘เรือนจิตสวรรค์’ รวมถึงแขก คนตระกูลสูงศักดิ์ และทูตของฝ่ายกบฏก็ล้วนอึ้งไปเช่นกัน
เขาบู๊ตึ๊ง?
จางซานเฟิง?
นั่นมันสถานที่ไหนกัน? เป็นใครกัน?
ทำไมจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?
ชื่อนี้หรือที่ทำเอา ‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงตกใจกลัวจนหนีไป?
หรือว่าหวงโหย่วหลงจะรู้จักสถานที่นี้?
คำถามมากมายผุดขึ้นในความคิดคนเหล่านี้อย่างบ้าคลั่ง ทว่าไม่มีคำตอบ
“พรืด…” หวางซืออวี่อีกด้านหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “นายเป็นจางซานเฟิง ฉันก็เป็นหวางฉงหยาง[2]แล้วล่ะ” เธอย่อมเข้าใจอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
หลี่มู่กลอกตาอย่างจนปัญญา เอ่ยว่า “จริงจังหน่อย นี่ฉันโม้อยู่”
หวางซืออวี่พูดไม่ออก
ในใจของเธอตอนนี้รู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด ยินดีเป็นล้นพ้น
เพราะเธอรู้ว่านับตั้งแต่ตอนนี้ไป ในที่สุดเธอก็จะไม่โดดเดี่ยวบนดาวดวงนี้อีกแล้ว
และเธอยังรู้อีกว่า หลี่มู่ตรงหน้านี้จงใจทำท่าทีหยอกล้อใส่เพราะกำลังช่วยผ่อนคลายอารมณ์ เย้าแหย่ให้เธอสบายใจ
ความรู้สึกนี้ช่างดีจริงๆ
เธอยื่นมือจับฝ่ามือของหลี่มู่เอาไว้เบาๆ กลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน ที่แค่ลืมตาแล้วทุกอย่างก็หายวับไป เมื่อมีเพียงไออุ่นจากฝ่ามือของหลี่มู่ส่งเข้ามา ถึงทำให้เธอแน่ใจว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง
จิ้นอ๋องสูดลมหายใจลึก
คนเห่อเหิมผู้นี้ฝืนข่มความตกใจกลัวในใจให้มั่นคง ก่อนลองเปิดปากเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าท่านหญิงหวนจูเป็นคนรู้จักกันกับท่านนักพรตจาง ดังนั้นจึงต้อนรับขับสู้ได้ไม่ดี เพียงแต่ท่านนักพรตเป็นผู้ที่ออกบวช ไยจึงข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ข้า…”
“รำคาญเขาจัง” หวางซืออวี่บอก
หลี่มู่พูด “รำคาญ? ง่ายๆ ก็ทำให้เขาหายไปซะสิ”
เสียงยังไม่ทันจบ
ก็เห็นเงาร่างสีขาวของเขาไหววูบ
เลือนรางวูบหนึ่ง ผลุบโผล่อีกครั้งหนึ่ง
จากนั้นหลี่มู่กลับมายืนข้างกายหวางซืออวี่อีกครา
ทุกคนรู้สึกเพียงตาลาย ไม่รู้สึกตัวเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“อึกๆ…”
จิ้นอ๋องเผยสีหน้าหวาดกลัว สายตาค้างแข็ง จู่ๆ ก็ยกมือกุมที่คอ
ต่อมา จิตดาบจางๆ กลุ่มหนึ่งตลบไปทั่ว
ศีรษะของเขาขาดกระเด็นออกจากคอ รอยตัดเป็นระเบียบ ราบเรียบราวกระจก ไม่มีคราบเลือดแม้แต่น้อย ศีรษะร่วงหล่นลงพื้นดิน
และยังไม่ทันที่ศีรษะจะตกถึงพื้น เสียงตูมดังขึ้นเบาๆ พลังประหลาดปั่นป่วนขึ้นมา เปลวไฟสีแดงสดกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากปากและจมูกบนศีรษะของจิ้นอ๋อง ซ้ำยังทะลักออกมาจากส่วนคอที่ขาดบนร่างเขาด้วย ในพริบตาเดียว ร่างและศีรษะชายผู้ทะเยอทะยานแห่งยุคของซ่งเหนือก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทั้งแปลกและสวยงาม มลายหายไปในอากาศ
จิ้นอ๋อง ตายแล้ว!
ที่แห่งนั้นเงียบสงัดเกินบรรยาย
เข็มตกก็ยังได้ยิน
เหล่ายอดฝีมือ เจ้าสำนัก และองครักษ์ที่เดิมทีคุ้มครองอยู่ข้างกายจิ้นอ๋องเบิกตามองเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น อยู่ในสภาพเฉื่อยชาไร้วิญญาณ ราวกับถูกฟ้าผ่าก็มิปาน
จิ้นอ๋องแม้จะมีผลงานการศึกที่รุ่งโรจน์น้อยมาก แต่ก็เป็นยอดฝีมือขั้นเหนือมนุษย์คนหนึ่ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มชุดขาวจางซานเฟิงคนนี้กลับไม่สามารถต้านทานได้เลย ถูกจัดการลงในพริบตาดุจแมลงตัวหนึ่ง
เด็ดศีรษะขั้นเหนือมนุษย์กลางหมู่มวลทหาร ง่ายดายปานล้วงกระเป๋าหยิบของ
จางซานเฟิงแห่งเขาบู๊ตึ๊งช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
………………………………………….
[1] ขว้างหนูกลัวของแตก หมายถึงอยากจะขว้างของใส่หนู แต่ก็กลัวโดนภาชนะที่อยู่ข้างๆ หนูแตก สื่อถึงว่าคิดจะทำเรื่องบางอย่าง แต่กลัวว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือคนที่ไม่อยากให้เดือดร้อนจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
[2] หวางฉงหยางหรือเฮ้งเตงเอี้ยง เป็นนักพรตในลัทธิเต๋า ออกบวชหลังได้พบจงหลี่ฉวนกับหลี่ว์ต้งปิน (สองในแปดโป๊ยเซียน) ต่อมาถวายตัวเป็นศิษย์ของหลี่ว์ต้งปิน เขาเป็นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งนิกายช้วนจินก่า ซึ่งให้นักบวชในนิกายกินเจ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ กิมย้งนำชื่อเขาและลูกศิษย์ไปใช้เป็นตัวละครในเรื่องมังกรหยกด้วยเช่นกัน