จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 415 รบจักรพรรดิฉินหมิง (1)
“หือ?”
นัยน์ตาของจักรพรรดิฉินหมิงฉายแววตกใจวาบผ่าน
“กระบี่มารสวรรค์”
ละอองหมอกสีดำเป็นชั้นๆ รอบกายเขาหมุนวนออกมา ประหนึ่งมารสวรรค์ร่ายระบำอย่างคลุ้มคลั่ง เสียงคำรามของมารสวรรค์ที่ทั้งทรงอำนาจและเย็นเยือกแปรเปลี่ยนเป็นมังกรยาวสีดำหลายตัว รวมเป็นภาพมายากระบี่โอรสสวรรค์สีดำทับซ้อนกันตรงหน้าเขา
ฉึก!
เงาแสงสีเขียวดุจกระบี่ร้อนแทงเข้าไปในหิมะ ภาพมายากระบี่โอรสสวรรค์ทับซ้อนกันซึ่งดูเหมือนไร้พ่ายนั้นถูกแทงทะลุทันที
“อะไรกัน?”
จักรพรรดิฉินหมิงตกตะลึง
คมกระบี่สีเขียวพร้อมจิตสังหารไร้เทียมทานแทงตรงมาที่คอหอยของเขา
เขาถอยหนีในช่วงเวลากระชั้นชิด
ทำได้แค่ถอยเท่านั้น
พลังของกระบี่นี้เกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้
แสงกระบี่สีเขียวขยายพื้นที่ราวน้ำตก โจมตีทำลายบนเรือวาฬทะยานฟ้า ขุนนางใหญ่ที่ติดตามมาต่างถอยหนีไปภายใต้การคุ้มครองจากองครักษ์ แต่ก็มีขุนนางผู้ภักดีและองครักษ์บางคนคำรามลั่น คิดจะถลันไปอารักขาความปลอดภัย แต่เมื่อแสงกระบี่สีเขียวพุ่งเข้ามาก็กลายเป็นเศษผงทันที!
ใครก็คิดไม่ถึงว่ารัชทายาทต้าเยวี่ยที่สู้ราวสัตว์จนตรอกจะปะทุพลังประหนึ่งทำลายล้างที่น่ากลัวเช่นนี้
แสงกระบี่กะพริบวาบ
คมกระบี่สีเขียวแทงเข้าไหล่ซ้ายของจักรพรรดิฉินหมิง
เลือดหยดหนึ่งไหลลงมา
จักรพรรดิฉินหมิงคว้าคมกระบี่เขียวเอาไว้ เพลิงโทสะพุ่งออกมาจากดวงตาที่เฉยชา “นับจากที่ข้าฝึกฝนวิชามารสวรรค์สำเร็จขั้นหนึ่งสมบูรณ์ เจ้าเป็นคนแรกที่ทำร้ายข้าได้…ข้าจะขังสามจิตเจ็ดวิญญาณของเจ้าไว้ในนรกมารสวรรค์ สังเวยเจ้าพันปี!”
……
จางซานและมู่ชิงต่างก็คิดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะต้านทานกองทัพใหญ่ที่ไล่ล่ามาได้จริงๆ
ไม่นานนักกองทัพที่หลงเหลือของต้าเยวี่ยก็ฝ่าออกไปจากทิวเขาได้ และรีบเร่งเดินทางไปตามเส้นทางหลบหนีที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ กองทัพแพ้พ่ายแต่ไม่แตกขบวน ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนที่จะฝ่าวงล้อมออกมา รัชทายาทได้เตรียมเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดไว้ให้แล้ว
จางซานประเดี๋ยวๆ ก็หันกลับไปมอง
มู่ชิงกลับไม่กล้าหันกลับไป
ร่างคนผู้นั้นยังไม่ไล่ตามมาเลย
ในตอนนี้เอง ข้างหน้าพลันมีพลังน่าสะพรึงกลัวปานคลื่นมหาสมุทรปั่นป่วนม้วนตลบมาในอากาศ พลังฟ้าดินพังทลายราวหิมะถล่ม พลังน่าหวาดกลัวจนทำให้ทุกคนในกองทัพที่หลงเหลือ แม้จะอยู่ห่างไปไกล ต่างก็เกิดความรู้สึกว่าตนเล็กจ้อยด้อยค่า เหมือนใบไม้ใบหนึ่งในมหาสมุทรที่เกิดพายุคลั่งปั่นป่วน!
มีผู้แข็งแกร่งที่น่าครั่นคร้ามมาอีกแล้ว
หรือจะเป็นทหารซุ่มโจมตีของฉินตะวันตก?
ใบหน้าของนักรบต้าเยวี่ยบางคนฉายแววสิ้นหวังเศร้าสร้อย จิตมุ่งมั่นจะสู้จนตัวตายลุกโชนอย่างบ้าคลั่งในดวงตาพวกเขา
“ข้างล่างคือกองทัพต้าเยวี่ยใช่หรือไม่? รัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยอยู่ไหน?”
เสียงหนึ่งลอยมา
เมื่อทุกคนตั้งสติกลับมาได้ ก็เห็นเด็กหนุ่มผมสั้นสง่างามในชุดขาวยืนอยู่กลางอากาศ ใบหน้าเหนื่อยล้า ท่าทางเหมือนเดินทางรอนแรมมาไกล กำลังก้มมองมายังกองทัพที่อยู่ข้างล่าง
จางซานและมู่ชิงแค่เคยได้ยินชื่อหลี่มู่ ไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน จึงไม่อาจจำได้ในทันที จางซานถามด้วยสีหน้าระแวดระวัง “ท่านเป็นใคร?”
เด็กหนุ่มชุดขาวตอบ “หลี่มู่แห่งขาวพิสุทธิ์ ขอพบรัชทายาทต้าเยวี่ย”
หลี่มู่?
นักรบและยอดฝีมือบางคนตั้งสติกลับมาได้ ใบหน้าฉายแววสิ้นหวังทันที
ใต้หล้านี้ มีใครบ้างไม่รู้ว่าเทวะหลี่มู่คือไท่ไป๋อ๋องแห่งฉินตะวันตก เป้าหมายที่เขามาปรากฏตัวที่นี่คืออะไร? คงไม่ใช่ว่ารับบัญชาจากจักรพรรดิฉินหมิงมาดักสังหารกองทัพที่เหลือของต้าเยวี่ยหรอกหรือ? ความหวังที่จะหนีรอดชีวิตสุดท้ายก็ไม่เหลือแล้วหรือ?
มีเพียงจางซานและมู่ชิงสองคนนี้ที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง จึงลิงโลดทันใด
ในที่สุดใต้เท้าหลี่มู่ก็มาแล้ว?
“องค์รัชทายาทต้านจักรพรรดิฉินหมิงไว้ที่เขาเมฆาเคลื่อน ห่างจากที่นี่ไปหนึ่งพันลี้…” จางซานรีบเล่าเรื่องที่ผ่านมาไปรอบหนึ่ง พลางมองหลี่มู่ด้วยสายตาซับซ้อน
“ข้าจะไปรับเขา” หลี่มู่ได้ยินก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว
ทว่ามู่ชิงพลันเอ่ยปากขึ้น “ใต้เท้า ท่านไปไม่ได้”
“ทำไม?” หลี่มู่เดิมขยับตัวแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็มองชายชราตาบอดแต่กำเนิดผู้นี้อย่างประหลาดใจ
“องค์รัชทายาทไม่อยากให้ท่านไป…เก็บร่างที่สมบูรณ์พร้อมเอาไว้ เพื่อรอวันกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง” มู่ชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยทว่าฮึกเหิม “เชื้อไฟแห่งราชวงศ์ต้าเยวี่ย มีเพียงท่านเท่านั้นถึงมีคุณสมบัติที่จะสืบทอดต่อไป หากท่านเองก็…”
“ฉินหมิงทำอะไรข้าไม่ได้”
พอหลี่มู่ได้ฟัง ก็เข้าใจโดยพลันว่าทำไมสถานการณ์ถึงได้เลวร้ายขนาดนี้ แต่ตนกลับไม่ได้รับการส่งข่าวจากป้ายหยกของอวี๋ฮว่าหลง…รัชทายาทต้าเยวี่ยผู้นี้ไม่เคยคิดจะให้เขามาช่วยเหลือ กลัวว่าเขาจะตกอยู่ในวังวนนี้เช่นกัน
“พวกท่านมุ่งหน้าไปสำนักขุนคีรีตามแผนเดิม ข้าจะไปรับรัชทายาทกลับมาเอง”
หลี่มู่แปลงเป็นสายรุ้งยาวสายหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังที่ไกลลิบ
จางซานและมู่ชิงคิดจะหักห้าม แต่ก็ไม่ทันแล้ว
“รัชทายาทไม่ได้ร้องขอ แต่เขาก็ยังมา”
“ใช่แล้ว หลี่มู่กับองค์รัชทายาทเป็นคนประเภทเดียวกัน ล้วนเป็นวีรบุรุษ”
“วีรบุรุษ? คำคำนี้ใช้กันเกลื่อนกลาด แต่คนที่คู่ควรกับคำนี้อย่างแท้จริงจะมีสักกี่คน”
“หรือพวกเขาไม่คู่ควร?”
“ไม่ พวกเขาคู่ควรอย่างแน่นอน หากพวกเขาไม่คู่ควร ก็ไม่มีใครคู่ควรอีกแล้ว”
……
หลี่มู่ทำกระทั่งทิ้งกระเรียนขาวไว้ ส่วนตัวเองกระตุ้นปราณแท้อย่างไม่เสียดาย ใช้วิชาดาบเหินหาวเดินทาง เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงเขาเมฆาเคลื่อนที่จางซานบอก เขาสัมผัสกลิ่นอายการต่อสู้ดุเดือดที่หลงเหลืออยู่ในอากาศได้ แสงกระบี่สีเขียวเป็นสายๆ หลงเหลืออยู่กลางฟ้า นั่นคือเคล็ดวิชาของอวี๋ฮว่าหลง
แต่ว่า การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว
กองกำลังฉินตะวันตกกำลังเก็บกวาดสนามรบ
อวี๋ฮว่าหลงกับจักรพรรดิฉินหมิงไม่อยู่แล้ว
หลี่มู่ร่อนลงไป คว้าขุนพลที่กำลังสั่งการทหารให้ทำความสะอาดสนามรบ “รัชทายาทต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงล่ะ?”
ขุนพลคนนี้เป็นขุนพลคนใหม่ของสำนักเหยี่ยวแห่งทัพฉินตะวันตก เมื่อถูกคนจับตัวก็ไม่สบอารมณ์มาก เอ่ยไปโดยสัญชาตญาณ “บังอาจ เจ้ากล้า…” แต่เขายังพูดไม่ทันจบประโยค เมื่อได้เห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าก็พลันเหงื่อท่วมตัว ตื่นตระหนกใจ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ทะ ทะ ทะ…ท่านอ๋อง รัชทายาทต้าเยวี่ยถูกฝ่าบาทสังหารไปแล้ว และแขวนศพไว้ที่ด่านเมืองมังกร ปรามไม่ให้มีผู้เหิมเกริม ตอนนี้ฝ่าบาทก็อยู่ที่ด่านเมืองมังกร…”
เขารู้จักหลี่มู่
ความยิ่งใหญ่ของชื่อเสียงหลี่มู่ในฉินตะวันตกตอนนี้กล่าวได้ว่าราวอาทิตย์กลางแจ้ง เป็นรองเพียงจักรพรรดิฉินหมิงเท่านั้น
สังหารองค์ชาย สังหารรัชทายาท สังหารดาบจักรพรรดิ…
นี่คือชื่อเสียงบารมีที่ได้มาจากการสังหารฆ่าฟัน ใครบ้างจะไม่กลัว?
จักรพรรดิฉินหมิงมีราชโองการ สั่งให้เขาศิโรราบรับผิด ผลสุดท้ายตัวแทนจักรพรรดิแม้แต่ประตูเมืองขาวพิสุทธิ์ก็ไม่ได้เข้าไป ทำได้แค่ถ่ายทอดราชโองการอยู่ที่ตีนเขา ทัพเมืองฉางอันล้อมเขาขาวพิสุทธิ์ไว้ตั้งหลายวัน แม้แต่จะผายลมยังไม่กล้า เมืองขาวพิสุทธิ์ตอนนี้กลายเป็นเหมือนอาณาจักรในอาณาจักรไปแล้ว
ทั้งหมดนี้อาศัยคำว่าหลี่มู่สองคำค้ำจุนเอาไว้
เทพสังหารเช่นนี้ไม่กลัวได้หรือ?
“อะไรนะ?” หลี่มู่ได้ยินแล้ว หูก็อื้อไปทันควัน
รีบเดินทางมาแต่ไกลโพ้น สุดท้ายก็ยังช้าไปก้าวหนึ่งหรือ?
หลี่มู่ปล่อยมือทหารคนนั้น พลันนึกเสียใจทีหลัง โกรธแค้นนัก ชายที่มุ่งมั่นจะรักษาจุดเชื่อมต่อเส้นทางเซียนไว้เพื่อโลก สุดท้ายก็ยังทานไม่ไหว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนำร่างของเขากลับไป จะปล่อยแขวนทิ้งไว้ในเมืองให้คนอื่นหยามหมิ่นไม่ได้
อย่างไรเสียก็เป็นคนจากดาวโลกเหมือนกัน
หลี่มู่แปลงเป็นลำแสง มุ่งหน้าไปยังด่านเมืองมังกร
ทหารคนนั้นตกใจจนโง่งมไปแล้ว ยืนอึ้งงัน ก่อนจะพลันตั้งตัวกลับมาได้ สั่งอย่างเดือดดาลว่า “เร็ว รีบรายงานไปในเมืองเร็วเข้า หลี่มู่กลับมาแล้ว…”
สัญญาณสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างเขาเมฆาเคลื่อน
เมื่อทหารรักษาการณ์ของด่านเมืองมังกรที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้เห็นภาพนี้ หน้าก็เปลี่ยนสีทันใด
“เกิดอะไรขึ้น? ทางที่เก็บกวาดสนามรบ...หรือกองทัพต้าเยวี่ยที่เหลือจะโจมตีกลับ?” หลี่หยวนป้าที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักใหญ่จวนเจ้าเมืองขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตอนนี้ หลี่มู่มาถึงข้างล่างด่านเมืองมังกรแล้ว
เขาเงยหน้ามอง
เหนือหอสังเกตการณ์หน้าประตูเมืองมีกางเขนโลหะแขวนอยู่ ตะขอเหล็กเทวะทำพิเศษสองอันห้อยลงมา แทงทะลุกระดูกไหล่ของอวี๋ฮว่าหลง แขวนเขาไว้กลางอากาศสูงหกจั้ง เลือดไหลลงมาตามตะขอ หยดลงสู่พื้นดิน ด้านล่างของกางเขนมีอ่างเหล็กใบหนึ่งซึ่งมีอักขระดาราลอยอยู่ รองรับเลือดที่หยดลงมาเอาไว้
หลี่มู่ยืนอยู่กลางอากาศหน้าประตูเมือง
ชายหนุ่มคนนั้นที่ทำหน้าเขินอายขลาดกลัวยามนั่งลงคุยด้วยตอนพบกันครั้งที่แล้ว ขณะนี้ถูกถอดเสื้อผ้าเนื้อตัวล่อนจ้อน แขวนไว้หน้าทัพทหารฉินตะวันตกหลายแสนคน เห็นได้ชัดยิ่งว่าจักรพรรดิฉินหมิงจงใจหยามหมิ่นอวี๋ฮว่าหลง ถึงได้เหี้ยมโหดเช่นนี้
อวี๋ฮว่าหลงเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะ ต่อให้ตายไป ร่างของเขาก็ยังส่องประกายจางๆ ราวเหล็กเทวะ
อีกทั้งกลิ่นดอกบัวเขียวจางๆ ยังกระจายอยู่รอบศพ ในอากาศอบอวลด้วยกลิ่นดอกบัวอ่อนจาง ปานมีดอกบัวไร้รูปร่างดอกหนึ่งบานอยู่กลางอากาศ
ความเศร้าเสียใจเอ่อล้นในใจของหลี่มู่
ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธคำเชิญให้ค้ำจุนราชวงศ์ต้าเยวี่ยของอวี๋ฮว่าหลง แต่ก็ได้ทิ้งคำสัญญาว่าหากอวี๋ฮว่าหลงมีเรื่องร้องขอเขาจะมาช่วยเหลือแน่นอน ไม่ได้ตระหนักเลยว่าแท้จริงแล้วตนเกิดความรู้สึกรางๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ต้าเยวี่ยแล้ว อย่างไรเสียก็เป็นจักรวรรดิที่ปรัชญาเมธีของโลกสร้างขึ้นมา และอวี๋ฮว่าหลงก็เป็นคนของโลกอย่างแท้จริง
จิตดาบไร้รูปร่างฟันออกไป
เคร้ง!
ตะขอเหล็กเทวะทำพิเศษขาดสะบั้น
หลี่มู่อุ้มร่างอวี๋ฮว่าหลงไว้ในอ้อมแขน
“สหาย ขอโทษที มาช้าไปแล้ว”
หลี่มู่เอ่ยโดยไร้เสียง
ตอนนี้เอง ในที่สุดทหารรักษาการณ์ก็สังเกตเห็นการมาเยือนของหลี่มู่
“ศัตรูบุก...เร็ว ส่งสัญญาณ”
ผู้แข็งแกร่งในทัพฉินตะวันตกนับไม่ถ้วนบินมาจากทั่วสารทิศ มากมายเต็มไปหมด ปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวมาก จากนั้นล้อมหลี่มู่ไว้กลางอากาศ ชักอาวุธออกจากฝักเตรียมพร้อม ประหนึ่งมีศัตรูที่แข็งแกร่งมาเยือน
หลี่มู่ไม่สนใจ
เขาสำแดงวิชาเต๋า สำรวจปรากฏการณ์ประหลาดบางอย่างในร่างของอวี๋ฮว่าหลง
ผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะถึงแม้ร่างกายจะไปถึงขั้นฟันแทงไม่เข้า แต่เมื่อตายแล้วก็เหมือนตะเกียงดับ ร่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความเสียหายเล็กน้อย สูญเสียพลังชีวิต ทว่าร่างของอวี๋ฮว่าหลงยามนี้กลับมีกลิ่นดอกบัวจางลอยอวล ในกายกระทั่งว่ามีเสียงกระบี่ที่ดังแผ่วเบายิ่ง เดี๋ยวเลือนรางเดี๋ยวชัดเจน ทำให้เลือดของเขาไม่แข็งตัว ร่างอยู่ในสภาวะประหลาดนัก และยังคงมีชีวิต
ยังไม่ตาย?
แต่หลี่มู่ดูออกว่า สามจิตเจ็ดวิญญาณของอวี๋ฮว่าหลงสลายไปแล้ว วิญญาณแตกดับ เหลือเพียงร่างกาย
นี่มันสภาวะอะไรกัน?
หลี่มู่ไม่ค่อยแน่ใจแล้ว
ตอนนี้เอง…
“ไป จับมันไว้”
ขุนพลรักษาประตูเมืองร้องสั่ง ยอดฝีมือในทัพฉินตะวันตกนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
จิตสังหารปะทุ ทำลายความเงียบงันทันที
“ไสหัวไป!”
หลี่มู่คำราม
เสียงของเขาดั่งอสุนีกัมปนาท ระลอกคลื่นแต่ละสายหอบม้วนมาโดยพลัน
ยอดฝีมือทัพฉินตะวันตกที่พุ่งมาสังหารรู้สึกแค่หูปวดอย่างรุนแรง เหมือนถูกค้อนเหล็กทุบ ปราณแท้ปั่นป่วนเสียการควบคุม ร่างกายชาและอ่อนแรง ไม่อาจบินต่อได้อีก แต่ละคนเลือดทะลักออกปากออกจมูก ร่วงลงมาจากกลางฟ้า
“อะไร?”
ทหารรักษาการณ์คนนั้นตกใจนัก
ก่อนนี้เขาจำหลี่มู่ไม่ได้ ยังคิดว่าเป็นพรรคพวกที่หลงเหลือของต้าเยวี่ยมาชิงศพไป คิดไม่ถึงว่าพลังจะน่ากลัวขนาดนี้ แค่เสียงคำรามก็สะเทือนจนผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานหลายร้อยคนในกองทัพสลบ…นี่มันคือพลังอะไรกัน?
ไม่ทันรอให้เขาตั้งสติกลับมา หลี่มู่ก็บีบคอของเขาไว้แล้ว “ชาวบ้านในเมืองอยู่ไหน?” เมื่อครู่พอกวาดพลังจิตวิญญาณดู ถึงได้พบว่าในด่านเมืองมังกรมีแต่กองทัพ ไม่มีประชาชน
“ถูก...ฝ่าบาท…บัญชาให้…สังหาร…สังหารสิ้นตรงเนินสิบลี้นอกเมืองแล้ว…” ขุนพลผู้นั้นตอบอย่างลำบาก
หลี่มู่ได้ยินดังนั้น ภาพเบื้องหน้าก็แทบมืดมิด
ฆ่าหมดแล้ว?
พูดเช่นนี้ ไช่ไช่สองย่าหลานและยังมีพวกอู๋เป่ยเฉิน อย่างนั้นก็…
จักรพรรดิฉินหมิง!!!
หลี่มู่แค่บิดข้อมือก็ได้ยินเสียงดังกร๊อบ หักคอของขุนพลคนนี้ทันที จากนั้นมองไปในด่านเมืองมังกร ก่อนจะคำรามลั่น “จักรพรรดิฉินหมิง หลี่มู่อยู่ที่นี่แล้ว ออกมารับความตายเสีย!”
เขาจะท้าสู้จักรพรรดิฉินหมิง
ในเวลานี้ ที่นี่
ไม่ต้องรอภายหลัง