จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 428 กำราบทำลายล้าง
หลี่มู่คิดไม่ถึงว่าเหนือมนุษย์ขั้นที่สามจะฝึกสำเร็จโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ นี่ก็คือการบรรลุที่ว่าอย่างนั้นหรือ?
ห้าธาตุรวมพลัง ม้ามเก็บความคิด ขีดจำกัดมนุษย์หลงมัวเมา ฟ้าประทานมั่นคง ว่างเปล่าเกิดความปรารถนา ความคิดถูกกำหนด
จิตมารที่หลี่มู่เผชิญหน้าหลายวันมานี้ พูดตรงๆ ก็คือความคิดว้าวุ่น ตกสู่ความสับสนที่คนนอกมองแล้วไม่สำคัญอะไร แต่หลังจากในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว สังหารโดยไม่หวั่นไหว ความคิดถูกกำหนด ความคิดปลอดโปร่ง พลังม้ามในอวัยวะทั้งห้าก็ฝึกสำเร็จในพริบตา
พลังความคิดก็คือพลังธาตุดินจักรพรรดิเหลืองแห่งศูนย์กลาง
หลี่มู่ก่อนหน้านี้อ่าน ‘บทจักรพรรดิเหลืองฝึกความคิด’ ใน ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ ได้ปรุโปร่งแล้ว เข้าใจแก่นแท้ที่อยู่ในนั้น แต่กลับตกอยู่ในข้อติดขัด ไม่อาจฝึกได้สำเร็จ เขาคิดว่าเป็นเพราะการฝึกฝนจักรพรรดิเพลิงและจักรพรรดิเขียวยังไม่เพียงพอ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะความคิดของเขายังไม่มั่นคง
ในโลกที่ในที่สุดหลี่มู่ก็ยอมรับ ยอมรับฐานะว่าตัวเองเป็นนายของโลกใบนี้ ดังนั้น ถึงได้การยอมรับจากแผ่นดินแห่งนี้ หากเขาใช้ฐานะของแขกผู้มาเยือนวัดตัวเองปฏิบัติกับโลกใบนี้ เกรงว่าพลังธาตุดินจักรพรรดิเหลืองแห่งศูนย์กลางคงจะฝึกไม่สำเร็จตลอดกาล
ในเสี้ยวขณะนี้หลี่มู่รู้สึกว่าทั่วร่างโล่งสบาย บาดแผลเก่าและความบอบช้ำภายในทั้งหมดหายไปสิ้น ถึงสภาวะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพริบตา พลังมหาศาลไม่สิ้นสุดส่งมาจากใต้พื้นดิน มีความรู้สึกเหมือนว่า ขอแค่ตัวเองเหยียบอยู่บนพื้นดิน ก็จะไร้เทียมทานตลอดกาล
แน่นอน นี่เป็นแค่ความรู้สึกหลังพลังฝึกตนและพลังปะทุขึ้นเท่านั้น
การยกระดับขอบเขตครั้งนี้ช่างพอเหมาะพอเจาะดีเสียจริง
“เจ้า…” เว่ยอู๋ปิ้งมองหลี่มู่อยากไม่อยากจะเชื่อ “นี่เป็นไปไม่ได้ เจ้าเพิ่งจะก้าวสู่เหนือมนุษย์ขั้นสามอย่างนั้นรึ เจ้า…”
สมองของเขาอื้ออึงไปหมดเหมือนถูกฟ้าผ่า
หลี่มู่ขอบเขตเหนือมนุษย์ขั้นสามซัดเขาที่เป็นไร้พ่ายใต้ขั้นทะลวงสวรรค์เละในหมัดเดียว?
นี่ยังมีเหตุผลอยู่อีกไหมเนี่ย?
ส่วนผู้แข็งแกร่งตระกูลซ่อนเร้นและสำนักโบราณทั้งหลายก็มองหลี่มู่ราวเห็นผี ในใจเย็นยะเยียบ เหมือนมีคนใช้น้ำเย็นๆ สาดมาอย่างไรอย่างนั้น
ทำไมหลี่มู่ถึงก้าวสู่เหนือมนุษย์ขั้นสามได้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องไปขบคิดแล้ว ปัญหาที่พวกเขาต้องคิดคือ เว่ยอู๋ปิ้งที่แข็งแกร่งขนาดนั้นยังถูกหลี่มู่อัดเละเป็นแตงโม ยังจะมีใครต่อกรกับเขาได้อีก?
คำตอบคือ ไม่มี
ส่วนในใจของพวกจางซาน มู่ชิง ต่างโห่ร้องยินดีอย่างบ้าคลั่ง กองกำลังต้าเยวี่ยที่กฎระเบียบกองทัพเข้มงวดตอนนี้กำลังประจันหน้ากับศัตรู ดังนั้นจึงไม่อาจส่งเสียงโห่ร้องได้ตามใจ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการแสดงสีหน้าสะใจออกมาบนใบหน้าของพวกเขา
ผลแพ้ชนะกำหนดแน่แล้ว
“ข้าแพ้แล้ว” เว่ยอู๋ปิ้งพลันถอนหายใจยาว
เขาปรับสีหน้าท่าทาง ประสานมือโค้งคำนับอยู่นาน ทำท่าเหมือนยอมรับว่าสู้ไม่ได้ ก่อนเอ่ยขึ้น “หลี่มู่ ข้าแพ้ให้กับเจ้า ก็ไม่มีอะไรจะพูด นับจากวันนี้ สำนักบัณฑิตถามเต๋าจะไม่แทรกแซงเรื่องของต้าเยวี่ย การตายของฉีหวายก็จะไม่เอาความอีกต่อไป แต่ว่า ตำราสวรรค์ถามเต๋าเป็นของวิเศษคุ้มกันสำนักของสำนักข้า โปรดคืนให้ข้าด้วยเถิด ข้ายอมรับว่า นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของโลก”
“เจ้าอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปเรื่องหนึ่ง” หลี่มู่มองเขาเหมืองมองคนโง่ “ใครให้เจ้ายอมรับว่าเป็นที่หนึ่งในใต้หล้ากัน? หืม?”
สีหน้าของเว่ยอู๋ปิ้งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ต้องมีใจกว้าง ปราณีได้ก็จงปราณี เทวะหลี่ไยต้องข่มขู่กันเช่นนี้ด้วย?”
หลี่มู่ตอบกลับ “ตอนนี้มาพูดกับข้าเรื่องนี้? เมื่อครู่เจ้ายังพูดว่าจะฆ่าข้าชิงสมบัติไม่ขาดปาก ให้ข้าสั่งเสียอะไรก่อนตายไม่ใช่รึ?”
เว่ยอู๋ปิ้งประสานมือ เอ่ยสีหน้าจริงจัง “นั่นก็เป็นแค่คำพูดอัดอั้นโกรธเคืองก็เท่านั้น เทวะหลี่ไม่จำเป็นต้องว้าวุ่นกับคำโมโหเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยว ครั้งนี้ที่ข้ามา ก็แค่เพื่อพิสูจน์สิ่งที่เล่าเรียนมากับเทวะหลี่ก็เท่านั้น”
คำพูดของเขาทำเอาคนรอบๆ โมโหจนขำ
“เทวะเผ่ามนุษย์ล้วนไร้ยางอายเช่นนี้หมดอย่างนันรึ?” ใบหน้าของหลงเอ๋อร์ฉายแววดูถูกเหยียดหยาม
“ท่านพ่อหลี่ไม่เป็นอย่างนั้นเสียหน่อย” จิ้งจอกน้อยต๋าจี่เถียง
ฉินเจิ้งเห็นภาพนี้ก็พลางขบคิดในใจ นึกถึงคำพูดบางอย่างที่ท่านอาจารย์ไป๋ม่อโฉวสั่งสอนตน
เว่ยอู๋ปิ้ง หนึ่งในเก้ายอดคนในใต้หล้าแห่งวิถียุทธ์ในโลกนี้ เทวะเผ่ามนุษย์แห่งฉู่ใต้ มีชาติกำเนิดจากสำนักบัณฑิต เป็นเจ้าสำนักของสำนักบัณฑิตอันดับหนึ่งในปฐพี ว่ากันว่าอ่านตำราปรัชญาเมธีมากมาย แต่ท่าทางที่แสดงออกมาในตอนนี้กลับน่าสมเพชถึงเพียงนี้?
ดังนั้น ควรจะดูคนอย่างไร? ควรจะตัดสินอย่างไร?
องค์ชายน้อยกำลังขบคิด รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งส่งผลกระทบกับเขาอย่างมหาศาล
ในขณะเดียวกัน เขาก็อิงไปยังหลงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ อย่างเงียบงัน ไม่รู้ทำไม เขามักรู้สึกว่า ในร่างกายของปีศาจน้อยที่มาที่ไปไม่ชัดเจนตนนี้ มีกลิ่นอายที่ดึงดูดเขาเป็นพิเศษ ทำให้เขาอดไม่ได้คิดอยากจะเข้าใกล้
หลงเอ๋อร์เมื่อรู้สึก ใบหน้างดงามเลิศล้ำนั่นก็เย็นยะเยียบทันที ร้องเสียงหึขึ้นมา องค์ชายน้อยก็ไม่กล้าขยับแล้ว
……
“ข้าคนนี้ชอบเรื่องว้าวุ่นนัก ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกว่า ราชาปีศาจหลี่ใจแคบคิดเล็กคิดน้อยไม่ใช่หรือ? เหอะๆ พูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย” หลี่มู่พูดขึ้น “อีกทั้ง ข้ายังมีข้อดีอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือพูดแล้วก็จะต้องลงมือทำ บอกว่าจะฆ่าเจ้าทั้งหมด ก็จะฆ่าเจ้าทั้งหมด ไม่มีทางผิดคำพูดแน่นอน”
พูดจบ พลังจิตวิญญาณของหลี่มู่ก็ราวกับคลื่นซัดออกไป
บนพื้นดินเกิดเส้นพลังเป็นชั้นๆ ขึ้นชั้นหนึ่ง พื้นดินที่แข็งพลันอ่อนนุ่มเหมือนทราย มือทรายแต่ละข้างๆ จับขาทั้งสองของยอดฝีมือของตระกูลและสำนักทั้งหลายเอาไว้ในชั่วพริบตา เส้นลายกะพริบแสง ผนึกพลังฝึกตนของพวกเขาเอาไว้
“อ๊าก...”
“ปล่อยข้านะ…”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ท่ามกลางเสียงร้องตื่นตระหนก ทุกคนต่างพบว่า มือหินทรายที่ยื่นออกมาจากพื้น เหมือนกับเบ้าหลอมเหล็กสวรรค์ แค่แตะมาที่ขาของตน พลังฝึกตนที่มีอยู่ทั้งหมดก็สลายหายเกลี้ยงไปในชั่วเสี้ยวพริบตา ใช้พลังไม่ได้แม้แต่น้อย เทียบกับคนธรรมดายังไม่ได้
ความกลัวเหมือนคลื่นท่วมพวกเขาจนมิด “ฆ่าพวกมันเสีย” หลี่มู่เอ่ยอย่างเย็นชา
พวกแม่ทัพต้าเยวี่ยอย่างจางซาน มู่ชิง เข้าใจในทันที ชักดาบ กระบี่เดินไปข้างหน้าทันใด หลายวันมานี้ พี่น้องต้าเยวี่ยตายในมือของยอดฝีมือไม่กลัวฟ้าไม่เกรงกฎหมายที่ว่าพวกนี้ไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ พวกเขาอดกลั้นความโมโห ถูกดูถูกหยามหมิ่นไม่รู้ต่อเท่าไหร่ ในใจของทุกคนต่างเก็บกองไฟเอาไว้
ตอนนี้ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว
แสงดาบส่องกะพริบ
มีเจ้าตระกูล ผู้คุมกฎของตระกูลหลายคนถูกฟันกลิ้งไปกับพื้น เลือดไหลนองเจิ่ง เพราะถูกพันธนาการพลังฝึกตนเอาไว้ จึงไม่อาจตอบโต้ได้เลย
กลิ่นคาวเลือดลอยตลบ กระตุ้นความคิดจิตใจของทุกคน
“ไม่ๆๆๆ มีอะไรพูดกันดีๆ …”
“ข้าไม่ได้ฆ่าคนของพวกเจ้า ข้าขอเปิดโปง เป็นเขา เจ้าสำนักสำนักสมุทรเหมันต์ เขาฆ่าทหารของต้าเยวี่ยไปสองคน…”
ผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์บางคนกลัวจนโง่งมไปแล้ว
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีจุดจบเช่นนี้ นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว ถูกคนที่ปกติไม่เคยอยู่ในสายตาฆ่าทิ้งเอาทั้งเป็นๆ
เหนือมนุษย์บริบูรณ์และครึ่งเทวะหลายคนที่เดินสายฝึกกายน่าอนาถเป็นที่สุด ดาบเดียวฟันไม่ตาย ทหารต้าเยวี่ยที่โกรธแค้นทั้งหลายฟันเหมือนกับฟันต้นไม้ไปไม่รู้ต่อกี่ดาบ ทั่วร่างเลือดเนื้อแหลกเละ ร้องอย่างน่าสังเวช สุดท้ายถูกดาบ กระบี่ ฟันแยกร่าง
เสียงร้องอ้อนวอน น่าสังเวช ก่นด่าดังต่อเนื่องไม่หยุด
แต่ไม่มีใครใจอ่อน
นี่คือกลุ่มคนที่สมควรจะสับเป็นหมื่นๆ ครั้ง แต่ละคนเป็นเดนมนุษย์ชั่วช้าจอมปลอม ความผิดบาปของพวกเขาไม่ใช่แค่การวางแผนและการเข่นฆ่าในด่านเมืองมังกรสองสามวันมานี้ แต่ยิ่งเป็นในชีวิตของพวกเขา ทำเรื่องชั่วช้าแบบเดียวกันเช่นนี้ไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่
สุดท้าย ผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือจากสำนักโบราณฝั่งต่างๆ และตระกูลซ่อนเร้นที่มาถึงด่านเมืองมังกร แต่ละคนล้วนถูกฟันตายคาที่เหมือนกับฟันต้นไม้อย่างไรอย่างนั้น
เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำไหลเป็นสาย
เลือดเทวะตกสู่โลกมนุษย์ เลือดมหาศาลไหลซึมไปใต้ดิน
พวกเหนือมนุษย์ และเทวะที่อยู่สูงส่งที่ว่า หน้าตาท่าทางของแต่ละคนหลังจากตายไปแล้วแยกเขี้ยวยิงฟัน เหมือนลิงถูกฆ่าอย่างไรอย่างนั้น
เว่ยอู๋ปิ้งตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “เทวะหลี่จะต้องฆ่าให้ตายจนสิ้นเลยหรือไร? เหลือทางรอดให้ได้หรือไม่?”
หลี่มู่ไม่พูดอะไร แต่สีหน้าท่าทางให้คำตอบกับเขาแล้ว
“อย่าบีบบังคับข้า” เว่ยอู๋ปิ้งถอยหลังไปช้าๆ แล้วพลันชี้ไปทางพวกไป๋ม่อโฉว เอ่ยหัวเราะเสียงเย็น “หากข้าเดาไม่ผิด นี่ก็คือฮวาเสี่ยงหรง ‘ฉางอันมีสาวงาม’ กระมัง? นางอันเป็นที่รักในใจของเทวะหลี่ หากไม่อยากให้นางตายก็ปล่อยข้า ข้าแก้กู่ พิษในร่างของนางได้ มิเช่นนั้น…”
ตอนที่เขาเจอพวกฮวาเสี่ยงหรงที่นอกเมือง ก็เดาฐานะของสตรีทั้งหลายออก จึงทิ้งทางรอดก้าวนี้เอาไว้ ใช้ชีวิตของสตรีพวกนี้มาข่มขู่หลี่มู่
หลี่มู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาเห็นพวกฮวาเสี่ยงหรงตั้งนานแล้ว แต่ว่าเวลาไม่เหมาะ ไม่ได้พูดด้วยก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่า เว่ยอู๋ปิ้งจะเล่นไม้นี้ ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายเสียจริง
ตอนนี้ไป๋ม่อโฉวแค่นเสียงเย็นขึ้น มือเพียงยก นิ้วทั้งห้าขาวเนียนราวต้นหอมปอกใหม่ ขยับ ละอองหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งก็ไหลวนรอบนิ้ว ประหนึ่งนักมายากลเล่นกล
เว่ยอู๋ปิ้งพอได้เห็นก็หน้าซีดเป็นไก่ต้มทันที
นั่นคือ ‘กู่พิษกัดกร่อนจิต’ ที่ก่อนหน้านี้เขาลงไว้ในร่างของผู้หญิงพวกนี้ มันเป็นกู่ประหลาดที่เขาทุ่มเทกายใจเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เขาเอามันมาจากเผ่าผู้วิเศษแห่งแผ่นดินสุดแดนใต้ เพื่อให้ได้กู่พิษชนิดนี้มา เขาเคยแปลงกายสังหารเผ่าผู้วิเศษไปหลายสิบเผ่าจนสิ้น ถึงจะได้หมอกกู่สีเทากลุ่มนี้มา มันสามารถลอบวางแผนเทวะได้ เป็นสิ่งที่เขาเตรียมเอาไว้ใช้ลงมือกับเก้ายอดคนอื่น ครั้งนี้เอามาใช้กับสตรีพวกนี้ แต่เดิมคิดว่าใช้ของไม่คุ้มค่า แต่คิดไม่ถึงว่า…
“เจ้าทำได้อย่างไร?” เว่ยอู๋ปิ้งมองไป๋ม่อโฉว จากที่เขารู้ ชื่อของผู้หญิงคนนี้คือฮวาเสี่ยงหรง เป็นนางคณิกาของหน่วยเลี้ยงรับรอง เป็นสตรีอ่อนแอ
“ขยะแบบนี้อยู่ในยุคของข้าเป็นแค่ของเด็กเล่นเท่านั้น” ไป๋ม่อโฉวเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าเจ้าลงมือได้ไร้ร่องรอยนักรึไง?”
เว่ยอู๋ปิ้งร้องลั่น หมุนตัวหนี
เพียงเสี้ยวพริบตาเขาก็หนีไปหลายร้อยลี้
หลี่มู่ส่ายหน้า
ดาบบินอัคคีจักรพรรดิหนึ่งร้อยแปดเล่ม พุ่งออกมาจากมิติดาบ ประหนึ่งลำแสง มาถึงอย่างรวดเร็ว สังหารแยกร่างเว่ยอู๋ปิ้งที่เสียจิตต่อสู้และความกล้าหาญไปโดยสิ้นเชิงแล้ว อีกทั้งพลังยังลดฮวบลงกลางอากาศ
จิตและวิญญาณก็ถูกจิตดาบอัคคีจักรพรรดิทำลาย
ส่วนร่างของเว่ยอู๋ปิ้ง เมื่อร่วงลงถึงพื้นก็เปลี่ยนเป็นใหญ่มหึมา สูญเสียพลังไป เนื้อหนังก็กลายเป็นทิวเขา เลือดไหลซึมสู่ปฐพี หล่อเลี้ยงผืนดิน เลือดเทวะตกสู่พื้นโลก ไหลวนเปี่ยมไปด้วยพลัง จินตนาการได้ว่า หลายร้อยปีข้างหน้า ดินแดนผืนนี้จะอุดมสมบูรณ์เพียงใด
ในขณะเดียวกัน นอกด่านเมืองมังกร ร่างเงาสองร่างมองอยู่ไกลๆ กลัวจนตัวสั่นระริก สีหน้าขาวซีด
“เจ้าหลี่มู่นี่ทำไมถึงไม่ตายเสียที?”