จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 429 ฉายาเทพดาบ
สองคนนี้ก็คือบุตรเทวะเสียไห่กับจอมมารจันทราโลหิตนั่นเอง
พวกเขาอยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ ปิดบังกลิ่นอายพลัง จ้องมองฉากที่เกิดขึ้นในเมืองจากไกลๆ จอมมารจันทราโลหิตตกใจจนหน้าซีดขาว มุมปากสั่นกระตุกไปหมด เขารู้สึกว่าหลี่มู่เป็นดาวพิฆาตในชีวิตเขาโดยแท้! ขนาดนี้ยังไม่ยอมตายอีก
“มารดามันเถอะ หลี่มู่คนนี้ปลิ้นปล้อนเสียจริง จงใจแสร้งบาดเจ็บ หลอกให้คนมากมายเพียงนี้มาติดกับ ถูกสังหารกันหมดแล้ว” จอมมารจันทราโลหิตด่าทออย่างทนไม่ไหว “เจ้านี่มันมารร้ายจริงๆ”
บุตรเทวะเสียไห่ลมหายใจค่อยๆ สงบลง เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
จอมมารจันทราโลหิตเอ่ยอีก “ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านบุตรเทวะ คำนวณพลิกแพลงได้ยอดเยี่ยม เดาออกแต่แรกว่าหลี่มู่อาจเสแสร้ง จึงออกจากด่านเมืองมังกรมาเสียก่อน มิเช่นนั้นฝ่าบาทเอาตัวรอดได้แน่นอน แต่ข้าน้อยมีหวังตายอยู่ที่นั่น…ขอบคุณฝ่าบาทที่ช่วยชีวิตสุนัขอย่างข้าน้อยออกมา”
บุตรเทวะเสียไห่ยิ้มๆ กล่าวว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”
ใบหน้าจอมมารจันทราโลหิตจงรักภักดี เอ่ยอย่างเทิดทูนบูชา “หลี่มู่ถึงแม้จะตึงมืออยู่บ้าง แต่ทุกอย่างอยู่ในการคาดการณ์ของฝ่าบาทหมดแล้ว ครั้งนี้ พวกเราได้รู้ไพ่ตายของหลี่มู่ ตอนชิงสมบัติสุสานเทพจะได้โอกาสดีกว่า ฝ่าบาทฉลาดล้ำจริงๆ”
บุตรเทวะเสียไห่รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
แต่เขามองท่าทางจงรักภักดีเลื่อมใสบูชาของจอมมารจันทราโลหิตแล้ว ไม่ใช่การพูดประชดกลับ จึงพยักหน้าเอ่ย “อืม เจ้าเข้าใจเจตนาของข้าก็ดี พวกเราออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ การฟื้นฟูพลังเป็นเรื่องเร่งด่วน”
…..
“ท่านหญิง ถึงแล้วเจ้าค่ะ ในที่สุดเราก็มาถึงเสียที”
จ้าวจี้นั่งอยู่บนหลังสัตว์บินได้ เอ่ยขึ้นอย่างยินดี
ด้านหน้าคือด่านเมืองมังกร รีบเดินทางมาอย่างไม่รู้คืนรู้วัน ในที่สุดก็ตามมาถึง
ทั้งหมดคงยังทันกาลอยู่กระมัง
ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ก็จะต้องช่วยชีวิตหลี่มู่ ต่อให้ต้อง…ตาย ก็จะตายอยู่ข้างกายเขา ในโลกประหลาดใบนี้ เธอจะไม่ให้เขาโดดเดี่ยวเด็ดขาด
หวางซืออวี่คลุมชุดกันลมสีแดงชาด นั่งอยู่บนหลังมังกรดินหกปีก
ลมแรงพัดผมยาวของเธอ ในดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความกังวล กำลังมองเหม่อไปด้านหน้า จนกระทั่งเริ่มมองเห็นเค้าของด่านเมืองมังกร ดวงตาถึงเปล่งประกายทันที
“ต้องไม่เป็นอะไร เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”
สาวน้อยพูดกับตัวเอง
จ้าวจี้ที่มองอยู่อีกด้านปวดใจเล็กน้อย
ตั้งแต่ได้ยินข่าวว่าหลี่มู่เข้าต่อสู้กับจักรพรรดิฉินหมิง และอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านหญิงก็ตรงมายังด่านเมืองมังกรโดยไม่สนอะไรแทบจะทันที
ตลอดการเดินทาง หวางซืออวี่ใจร้อนดั่งไฟ ข้าวปลาไม่กิน ไม่มีความอยากอาหาร ดวงตามองไปข้างหน้าตลอด ริมฝีปากที่เคยงดงามเกิดแผลพุพอง…สาวงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดิซ่งเหนือคนนี้ราวดอกไม้ที่ถูกพัดไปมากลางลมฝน ประหนึ่งจะเหี่ยวเฉาร่วงหล่นลงได้ทุกเมื่อ
แต่ก่อนจ้าวจี้ไม่เคยเห็นท่านหญิงที่ปราดเปรื่องน่ารักสดใสกระวนกระวายเช่นนี้เลย
บุกฝ่าลมฝนติดต่อกันทั้งกลางวันกลางคืน อีกทั้งนางเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่อาจฝึกได้พลังยุทธ์มา จินตนาการออกเลยว่าร่างกายอันบอบบางนี้แบกความเหนื่อยล้าเช่นไรไว้
คนที่นั่งอยู่บนหลังมังกรดินหกปีกด้วยกันยังมีชิงเฟิงและหมิงเยวี่ย
ชิงเฟิงนิสัยสุขุม สีหน้านิ่งสงบ ส่วนหมิงเยวี่ยเอะอะตลอดทาง ใครกล้ามองคุณชายละก็ นางจะบดกระดูกมันให้เป็นผงเสีย…
“พี่สาววางใจเถอะ คุณชายจะไม่เป็นไรแน่นอน” หมิงเยวี่ยเดิมทีไม่รู้สึกอะไรกับหวางซืออวี่นัก ทว่าตลอดทางเห็นว่านางกังวลเรื่องคุณชายของตนเพียงใด จึงเริ่มที่จะยอมรับในตัวท่านหญิงซ่งเหนือคนนี้บ้างแล้ว
ในที่สุด มังกรดินหกปีกบินเข้ามาด้านในด่านเมืองมังกร และร่อนลงบนพื้นดิน
ตอนนี้ เรื่องทั้งหมดจบสิ้นลงแล้ว
“เจ้ามาแล้วเหรอ” หลี่มู่ยิ้มพลางทักทายหวางซืออวี่
หวางซืออวี่เห็นว่าหลี่มู่ปลอดภัยสบายดี ความสุขในใจก็มากล้นจนสุดจะบรรยาย เปล่งประกายทันใด ทว่าตอนเธอเห็นซ่างกวนอวี่ถิงที่กำลังยืนคล้องแขนหลี่มู่อยู่ข้างๆ ประกายในดวงตาหม่นลงอย่างรวดเร็ว
หวางซืออวี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มาแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดี ข้าจะได้วางใจ”
“คุณชาย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม…” หมิงเยวี่ยก็ตรงดิ่งเข้าไปราวพายุหมุน
หยวนโห่วในร่างคนใช้ชุดเขียวเข็นรถเข็นพาชิงเฟิงออกมา
….
ผลลัพธ์ของสงครามด่านเมืองมังกรแพร่กระจายออกไปทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจวปานพายุคลั่ง
ถึงแม้ขั้วอำนาจหลายฝ่ายทั้งคนทั้งม้าที่มาด่านเมืองมังกรจะพ่ายแพ้ไปทั้งหมดแล้ว แต่ก็ทำให้ข่าวแพร่กระจายช้าไปเพียงวันสองวันเท่านั้น
เมื่อกำลังคนของสำนักโบราณและตระกูลปลีกวิเวกเหล่านี้พบว่าชีวิตและวิญญาณของเจ้าสำนักผู้นำตระกูลของตนถูกทำลายจนสิ้น ความตกตะลึงและความหวาดกลัวขนานใหญ่ทำให้พวกเขาสูญเสียสติไป ตกอยู่ในความวุ่นวายและหวาดผวา
ส่วนทหารต้าเยวี่ยก็ไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด กระทั่งยังช่วยกระพือข่าวบางส่วนไปสู่โลกภายนอกอีกด้วย
“ผู้ใช้คลื่นวารีกับมารศักดิ์สิทธิ์กระบี่ภูตตายแล้ว ตายไปนานแล้วที่วิหารเทพหมาป่า”
“คนคลั่งหนังสือเว่ยอู๋ปิ้งก็ถูกหลี่มู่สังหาร”
“เก้ายอดคนใต้หล้าใกล้จะตายหมดแล้ว”
“น่ากลัวจริง”
“ผู้แข็งแกร่งอันดับสองของฉู่ใต้ฉีหวายก็ตายแล้วเช่นกัน”
“หลี่มู่ใช้กลอุบาย สังหารผู้แข็งแกร่งจากสำนักโบราณกับตระกูลเร้นกายถึงสามร้อยหกสิบเจ็ดชีวิตที่ด่านเมืองมังกร ในนั้นมีมหาเทวะสี่คน เทวะยี่สิบหกคน ครึ่งเทวะสามสิบเอ็ดคน…” คนที่นับสถิตินี้ตกใจจนเกือบบ้าไปเสียเอง พูดต่อไปไม่ออก
ข่าวสารแต่ละเรื่องราวกับระเบิดปรมาณูแต่ละลูกระเบิดบนแผ่นดินใหญ่เสินโจว กึกก้องทั่วฟ้าดิน ทำเอาคนมากมายมึนงงกันหมด ตกใจจนโง่งมและนิ่งอึ้งไปแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับหลี่มู่คนเดียวจัดการสังหารผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์ในแผ่นดินทั้งหมด กำจัดทิ้งราบคาบ
หากบอกว่าหลังจากหลี่มู่สังหารจักรพรรดิฉินหมิง ขึ้นนั่งแท่นผู้แข็งแกร่งอันดับของแผ่นดิน ยังไม่ทันจะนั่งอย่างมั่นคงก็มีคนสงสัยในคุณสมบัติแล้วละก็ ในตอนนี้เวลานี้ ต่อให้เป็นคนที่เกลียดชังหลี่มู่แค่ไหน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยแล้ว ทุกคนตัวสั่นงันงกกันหมด
อันดับหนึ่งใต้หล้า ไม่มีข้อโต้แย้งอื่น
มีคนบางส่วนที่ใจกล้าหน่อย ตรงเข้ามาสำรวจสิบเมืองเก้าพื้นที่ จึงเห็นเว่ยอู๋ปิ้งซึ่งกลายเป็นทิวเขาหลังจากตายไป หน้าผาสูงชันดุจผิวกระจกเรียบลื่น นั่นคือแขนขาที่ถูกดาบเทพตัดออก ทอดยาวไปกว่าร้อยลี้ ส่วนมากเป็นผาสูงชัน จุดยุทธศาสตร์บนยอดเขาสมบูรณ์แบบราวกับถูกดาบฟันขวานจามก็มิปาน
“เว่ยอู๋ปิ้งถูกดาบคลั่งแยกร่าง วิชาดาบเช่นนี้เป็นพรจากสวรรค์ชัดๆ มีเพียงเทพเจ้าถึงจะฟาดฟันได้ หลี่มู่เป็นเทพดาบจริงๆ”
ขั้นเทวะไร้สังกัดคนหนึ่งทอดถอนใจ
ด้วยเหตุนี้ ฉายาเทพดาบจึงลือลั่นไปทั่วแผ่นดิน
วิชาดาบไร้เทียมทาน
วิชาหมัดไร้เทียมทาน
พลังรบไร้เทียมทาน
สรุปแล้ว….ไร้เทียมทาน
พริบตานี้ คนมากมายอึ้งงัน
เหล่าตระกูลที่ปลีกวิเวกจากโลกและสำนักโบราณแต่ละแห่งแตกเป็นสองฝ่าย ส่วนหนึ่งเอะอะว่าจะแก้แค้น ทำตรงๆ ไม่ได้ก็แอบเอา จะแก้แค้นให้พวกผู้นำตระกูล ผู้นำเผ่า และเจ้าสำนัก ทว่าส่วนใหญ่หวาดกลัวตัวสั่น เริ่มปรึกษาหารือว่าจะชดใช้ความผิดและขอขมาต่อเทพดาบหลี่มู่อย่างไรดี
ขั้วอำนาจที่เคยเห็นหลี่มู่เป็นศัตรูมากมายก็ยังสั่นกลัว เริ่มคิดหาทางหนีกันแล้ว
…
เขาขาวพิสุทธิ์
หลังจากได้ยินข่าวคราว จ้าวอวี่ผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ยืนนิ่งอยู่บนผากระบี่ เหม่อลอยอยู่นานสองนาน
“ข้าสำเร็จวิชากระบี่ทางช้างเผือก เหยียบเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์แล้ว ไม่คิดเลย…” เขายิ้มขมขื่น มีหลี่มู่เป็นเป้าหมาย ทว่าตอนนี้หลี่มู่กลายเป็นเทพแห่งวิชาดาบ เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินไปเสียแล้ว ส่วนเขาเล่า?
ลมแผ่วพลิ้วผ่าน ใบไม้ร่วงปลิวว่อน
แนวเขาไร้ขอบเขต ฟ้าดินไร้ที่สิ้นสุด
“วิถียุทธ์ทอดยาว ไร้ขอบเขตสิ้นสุด ออกจากฟ้าผืนนี้ไป ยังมีฟ้านอกผืนฟ้าอีก บนโลกใบนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขาดผู้มีพรสวรรค์ มีเพียงปณิธานเข้มแข็งแน่วแน่ จึงจะเชื่อมต่อนิจนิรันดร์ อดีตและปัจจุบันได้ คนมากความสามารถประสบความสำเร็จช้า ถอยมาพินิจคู่แข่งก่อนค่อยเดินหน้าถือเป็นเรื่องปกติ”
เสียงของเจ้าสำนักจ้าวเสวี่ยดังขึ้น
จ้าวอวี่หันหน้าไป ใจสั่นกึก
ดวงตาของเขาค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา
ถูกต้องแล้ว พรสวรรค์ยิ่งใหญ่ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ข้าอาจจะไม่มี แต่ปณิธานแน่วแน่ไม่ย่อท้อ ข้ามีมันได้
……
จักรวรรดิซ่งเหนือ วังจักรพรรดิ
“ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ก็ต้องดึงหลี่มู่มาอยู่ฝั่งเราให้ได้” ดวงตาของจักรพรรดิหนุ่มแห่งซ่งเหนือเปล่งประกายร้อนแรง
อันดับหนึ่งในแผ่นดินเชียว นี่หมายถึงว่ายุคสมัยของเก้ายอดคนใต้หล้าจบสิ้น ปัจจุบันเข้าสู่ยุคสมัยหนึ่งคนหนึ่งดาบเป็นหนึ่งทั่วหล้าของหลี่มู่แล้ว อำนาจราชวงศ์ซ่งเหนือสั่นคลอน หากคิดจะทำให้มั่นคง ยังไม่ใช่เรื่องของหลี่มู่อีกหรือ
ปาเสียนอ๋องตอบกลับ “กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถ”
เขาเองก็คึกนัก ทว่ายังมีความรู้สึกไม่รู้จะเริ่มตรงไหนอยู่บ้าง หลี่มู่มีความสัมพันธ์อันดีกับธิดาบุญธรรม แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นมอบกายถวายใจทั้งหมด คิดไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติ อันดับหนึ่งในแผ่นดินเลยทีเดียว จะเสียท่าเพราะเสน่ห์หญิงได้อย่างไร
จักรพรรดิซ่งเหนือเอ่ย “ไม่ได้แล้ว ข้าจะไปวิหารบรรพชน เข้าไปอธิษฐานต่อบรรพชนของราชวงศ์ให้พวกเขาอวยพร ชี้แนะแนวทางให้กับข้า”
ตอนนี้เขาจิตใจฮึกเหิมยิ่งนัก
……
นครหลวงฉินตะวันตก เมืองฉิน
“หมิงซานอ๋องเจ้าคนไม่ได้เรื่อง เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ เสียองครักษ์มารฟ้าไปถึงสิบคน” เสียงน่าเกรงขามดังลอดออกมาจากวังจักรพรรดิ “ข้าเลี้ยงเขามาเสียข้าวสุกจริงๆ กลยุทธ์มารฟ้าขั้นที่หนึ่งก็ถ่ายทอดให้เขาแล้ว แต่ยังจัดการเจ้าคนพื้นเมืองนั่นไม่ได้”
บุตรธิดาหลายคนของราชวงศ์ฉินตะวันตกและร่างอีกบางส่วนคุกเข่าอยู่บนพื้นเย็นเยียบของวังจักรพรรดิ ทุกคนตัวสั่นขวัญผวา
องครักษ์มารเกราะดำห้าสิบนายยืนอยู่ในเงามืด ไม่ขยับเขยื้อนดุจรูปสลัก มีเพียงดวงตาภายใต้หน้ากากที่มีแสงสีแดงเข้มอันน่ากลัวไหลเวียนอยู่ ถึงยืนยันได้ว่านี่คือสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่ตายไปแล้ว
“เก็บคมดาบลงเสีย ไม่ต้องไปแย่งชิงกับหลี่มู่อีก ขุมทรัพย์สุสานเทพอาจจะเปิดออกก่อนกำหนด” เสียงที่น่าเกรงขามนั้นดังขึ้นอีกครั้งในวังจักรพรรดิ “ข้าจะเปิดสระมารฟ้า พวกเจ้าจงลงไปหล่อหลอมร่างมารฟ้า เตรียมตัวลงไปพร้อมข้า”
……
จักรวรรดิฉู่ใต้
จวนชวีอ๋อง
“หลี่มู่ จะต้องเป็นคนจากดาวโลกแน่ เพียงแต่ดาวโลกที่พลังวิญญาณแห้งเหี่ยวเพาะบ่มผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร? หรือว่า ดาวโลกฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมาแล้ว มิเช่นนั้นเขาจะมีพลังที่น่ากลัวได้อย่างไร ท่านอาจารย์เมื่อครั้งนั้นก็ยังไม่ถึงขนาดนี้…พันปีต่อมา บนดาวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกันแน่?”
ร่างสูงโปร่งในชุดขาวยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เงยหน้ามองแสงจันทร์
“ท่านอ๋อง หัวหน้าคนชุดดำมาถึงแล้วขอรับ” องครักษ์นายหนึ่งเข้ามารายงานด้วยความนอบน้อม
ร่างชุดขาวพยักหน้าให้
……
แผ่นดินสุดแดนใต้
สองสำนักเทพมหาวารีและฟ้าครามตกอยู่ในความวุ่นวาย
เรื่องที่พวกเขากังวลที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว
ข่าวเรื่องผู้ใช้คลื่นวารีกับมารศักดิ์สิทธิ์กระบี่ภูตดับสูญแพร่งพรายออกไป
เมื่อไม่มีสองผู้แข็งแกร่งจากเก้ายอดคนคอยดูแล ไม่ว่าจะเป็นสำนักมหาวารีหรือฟ้าคราม พลังแท้จริงก็หายไปกว่าครึ่ง ส่วนเผ่าผู้วิเศษซึ่งไม่มีอำนาจควบคุมแผ่นดินสุดแดนใต้อีกแล้วกำลังเผชิญหน้ากับยุคสมัยแห่งความเสื่อมถอยในทุกๆ ด้าน
แผ่นดินสุดแดนใต้ตกอยู่ท่ามกลางการนองเลือด
ในตอนนี้ โลกภายนอกก็เข้าใจในทันที ตอนแรกหลังจาก ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยและเต้าฉงหยางตายไป เผ่าผู้วิเศษแห่งแผ่นดินสุดแดนใต้ก็จับมือเป็นพันธมิตร โห่ร้องจะโจมตีกลับแผ่นดินใหญ่ศูนย์กลาง ทว่าต่อมาลดธงศึกลงกะทันหัน ที่แท้เป็นเพราะผู้แข็งแกร่งเก้ายอดคนทั้งสองดับดิ้นไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้นนั่นเอง
วันนี้ที่แผ่นดินสุดแดนใต้ ในเผ่าผู้วิเศษศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นชนเผ่าใหญ่ที่สุดของกลุ่มพันธมิตรมีแสงศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากฟ้า ในรัศมีพันลี้ล้วนมองเห็นกันทั่ว
บุตรสาวสุดรักของหัวหน้าเผ่าผู้วิเศษศักดิ์สิทธิ์อายุสิบหกปี ยังไม่ได้ออกเรือน ยังเป็นหญิงบริสุทธิ์ หลังจากถูกแสงเทพนี้สาดส่อง จู่ๆ ก็ปวดท้องจนสลบไป จากนั้นตรงท้องน้อยขยายใหญ่ขึ้นปานถูกสูบลม ต่อมาราวหนึ่งชั่วยามก็คลอดบุตรออกมา
“ข้าคือเทพผู้วิเศษกลับมาเกิดใหม่”
ทารกที่เพิ่งเกิดนี้ปากคาบถาดหยกหนึ่งอัน ครั้นหยิบออกมาถือไว้ในมือก็พูดได้เดินได้ อีกทั้งยิ่งลึกลับมหัศจรรย์ ชำนาญอภินิหารเผ่าผู้วิเศษมากมาย