จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 431 ข้าเป็นคนพูดจาด้วยเหตุผล
หลายคนต่างคิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิฝูเฟิงฉินเป่าจิ้งจะกล้าตอบอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้
ก่อนหน้านี้ยามจักรพรรดิฉินหมิงรุ่งเรือง เมืองฝูเฟิงเกือบจะถูกทำลายสิ้น เจิ้นซีอ๋องฉินเป่าจิ้งหวาดกลัวจนอยู่ไม่สุข เมืองฝูเฟิงถูกโจมตีหลายครั้ง ตราบจนจักรพรรดิฉินหมิงสู้ศึกตาย เขาถึงได้ยกพลไปโจมตีที่อื่นๆ ขยายอาณาเขตอิทธิพล ทั้งยังแสดงตัวว่าเป็นสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตก ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิ และจะโจมตีเมืองหลวงฉิน
อย่างไรเสีย ฉินตะวันตกตอนนี้ก็กลายเป็นมังกรไร้หัวเพราะการตายของจักรพรรดิฉินหมิง
อ๋องกบฏคนหนึ่งที่กลัวจักรพรรดิฉินหมิงเกือบตายกลับกล้าท้าทายหลี่มู่?
หลายคนต่างรู้สึกคาดไม่ถึง
ขณะเดียวกัน แทบจะทั้งใต้ฟ้าต่างรอดูปฏิกิริยาของหลี่มู่
คำตอบถูกประกาศมาอย่างรวดเร็ว
แสงดาบทางหนึ่งข้ามระยะพันลี้มาจากเมืองขาวพิสุทธิ์ในชั่วพริบตา ฟาดฟันสิ่งกีดขวางเป็นชั้นๆ สังหารจักรพรรดิเมืองฝูเฟิงฉินเป่าจิ้งที่กำลังสังสรรค์กับขุนนางทั้งหลายในวังจอมปลอมของเมืองตายคาที่
ผู้ที่ถูกสังหารด้วยในเวลาเดียวกัน ยังมีผู้แข็งแกร่งนอกพิภพที่คุ้มกันจักรพรรดิฝูเฟิงอีกสองคน
ผู้แข็งแกร่งนอกพิภพสองคนนั้นมีพลังน่ากลัวอย่างยิ่งยวด กลิ่นอายปะทุมาก็บดบังฟ้าดิน แต่ยังไม่อาจสู้ดาบเดียวของเทพดาบได้
อยู่ห่างออกไปพันลี้ เด็ดศีรษะคนง่ายราวล้วงมือหยิบของในกระเป๋า
ดาบเดียวปลิดวิญญาณ
ขุนนางของจักรพรรดิจอมปลอมที่อยู่ในงานเลี้ยงกลัวจนฉี่ราด
เหตุที่เจิ้นซีอ๋องกล้าแข็งข้อเช่นนี้ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากขั้วอำนาจนอกพิภพ คิดว่าจะต่อกรกับหลี่มู่ได้ ทว่ากลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิงอย่างรวดเร็ว
รวมถึงขั้วอำนาจนอกพิภพที่ยุยงเขาก็ผิดหวังเช่นกัน
สำหรับคนมีใจมุ่งมั่นบางคนที่รู้เรื่องภายใน ขั้วอำนาจนอกพิภพนี่น่าจะเป็นสำนักใหญ่ในเขตดาราเทพวีรชน ส่งลูกศิษย์ลงมาสองคนในทีเดียว
ขั้วอำนาจนี้ไม่กล้าต่อกรกับสำนักมารฟ้าที่สนับสนุนจักรพรรดิฉินหมิง อย่างไรเสียสำนักมารฟ้าก็เป็นหัวหอกใหญ่ของเขตดาราเทพวีรชน ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับจักรพรรดิฉินหมิงซึ่งหน้า แต่กลับประมาทหลี่มู่ไป คิดว่าเขาเป็นแค่คนแข็งแกร่งไม่มีที่พึ่ง จึงต่อกรและท้าทายซึ่งหน้า คาดว่าอาศัยประโยชน์จากผู้อื่นเช่นกัน
ใครจะรู้ว่ากลับถูกหลี่มู่ใช้วิชาดาบเหินหาวไฟจักรพรรดิเด็ดศีรษะคนเหมือนตัดต้นกุยช่ายจากระยะหลายพันลี้
“หึๆ ไม่มีประสบการณ์สินะ มาต่อกรกับหลี่มู่…”
บางคนแอบหัวเราะเยาะ
ณ ขณะนี้ ขั้วอำนาจเจิ้นซีอ๋องล่มสลายแล้วโดยสมบูรณ์
นี่ก็คือคำตอบที่หลี่มู่มอบให้
เจิ้นซีอ๋องสิ้นชีพ อำนาจทางการเมืองของจักรพรรดิจอมปลอมพังทลาย
บุคคลอันดับสองของเมืองฝูเฟิงจนปัญญา ต้องเขียนจดหมายยอมแพ้ยื่นต่อเชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตก
ทั่วหล้าฮือฮา
คำตอบของหลี่มู่ทรงพลัง แข็งแกร่งและเปี่ยมอำนาจถึงเพียงนี้ และได้ผลเช่นนี้อีก นี่แตกต่างไปจากรูปแบบการกระทำของเขาก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
หลายคนรู้สึกว่าหลังจากขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดิน เด็กหนุ่มจากเมืองขาวพิสุทธิ์คนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย กลายเป็นแข็งแกร่งและเฉียบแหลมขึ้น
“หากมีใครยังไม่ยอมเชื่อฟังอีก ก็จะมีจุดจบเช่นนี้”
เสียงของหลี่มู่ดังก้องไปทั่วทั้งสองจักรวรรดิใหญ่
บนแผ่นดินฉินตะวันตก ขุนนางศักดินาจากเมืองต่างๆ ทั้งหลายที่ตั้งธงกบฏ ตอนนี้เสียใจภายหลังเป็นอย่างยิ่ง ทำได้แค่เอาอย่างเมืองฝูเฟิง ขอโทษและรับผิดกับเมืองหลวงฉินตะวันตก อ้อนวอนขอขมา ไม่กล้าเคลื่อนกำลังพลอาวุธใดๆ อีก
สำนักและตระกูลต่างๆ ในดินแดนต่างจำต้องอดกลั้นและสงบลง
สถานการณ์บีบบังคับนัก
ในเวลาเดียวกันนี้ อ๋องกบฏทั้งเจ็ดของซ่งเหนือรวมถึงอี้อ๋องที่อำนาจอิทธิพลแข็งแกร่งที่สุดก็ยุติการโจมตีทันที จากนั้นถอยกลับไปยังที่ของตน ทั้งยังมอบดินแดนอื่นๆ ที่ฮุบไปก่อนหน้านี้คืนให้หมด
ไม่มีใครมั่นใจว่าจะรับดาบนั้นของหลี่มู่ได้
โลกวิถียุทธ์แผ่นดินใหญ่เสินโจวตอนนี้ ไม่อาจคาดคะเนได้แล้วว่าพลังของหลี่มู่แข็งแกร่งถึงขนาดไหนกันแน่ บางคนเดาว่าเทพดาบหนุ่มคนนี้น่าจะมองทะลุความลับของขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว
ดาบชี้ไปใต้ฟ้า ใครเล่าจะสู้ได้?
ยุคสมัยของหลี่มู่มาถึงแล้วโดยสมบูรณ์
หนึ่งคนหนึ่งดาบ ก็ทำให้ทั้งแผ่นดินใหญ่สั่นสะท้าน
เวลาเคลื่อนผ่านไป
หลังจากหลี่มู่จัดเตรียมกิจธุระต่างๆ ในเมืองขาวพิสุทธิ์และสิบเมืองเก้าพื้นที่เรียบร้อย ก็เริ่มปิดด่านฝึกฝน
เขาก็เตรียมตัวไว้สำหรับขุมทรัพย์สุสานเทพที่กำลังจะเปิดขึ้นเช่นกัน
หลี่มู่มีลางสังหรณ์รางๆ ว่า โอกาสวาสนาที่ตัวเองจะทะลวงขั้นเหนือมนุษย์ก้าวสู่ขั้นเทวะอยู่ในการชิงขุมสมบัติสุสานเทพครั้งนี้ อีกทั้งเหล่าขั้วอำนาจนอกพิภพส่งลูกศิษย์มาโดยไม่สนใจว่าต้องเสียสิ่งใด เช่นนั้นก็ยืนยันได้แล้วว่าขุมทรัพย์สุสานเทพต้องน่าตกใจ เย้ายวนใจกว่าที่จินตนาการเอาไว้มากแน่นอน
สิ่งที่หลี่มู่ต้องทำในการปิดด่านคือทำให้พลังฝึกขั้นเหนือมนุษย์ก้าวที่สามของตัวเองเสถียร ก่อนผสมผสานพลังของจักรพรรดิเขียวแดนตะวันออก จักรพรรดิไฟแดนใต้ และจักรพรรดิเหลืองแดนกลางเข้าด้วยกัน
พลังสองอย่างแรกควบรวมจะปะทุไฟจักรพรรดิออกมา เช่นนั้นถ้าสามพลังผสานกันเล่า?
ในวันนั้น มือทรายที่ยื่นจากใต้ดินในด่านเมืองมังกรคว้าขาของพวกผู้แข็งแกร่งสำนักและตระกูลต่างๆ เอาไว้ ทำให้พวกเขาขยับไม่ได้ เป็นการใช้พลังของพลังธาตุดินจักรพรรดิเหลืองแดนกลาง
จอมยุทธ์ของโลกนี้ฝึกฝนห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง อันที่จริงคือฝึกฝนพลังหลักหนึ่งอย่าง ฝึกเสริมอีกสี่อย่าง และใช้วิชานึกนิมิตรหล่อหลอมปราณแท้ของตน น้อยคนนักจะเหมือนกับหลี่มู่ที่ฝึกห้าพลังในเวลาเดียวกัน นี่ขึ้นอยู่กับกำลังภายในกับวิชาที่ฝึกของจอมยุทธ์ และ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ของหลี่มู่เป็นวิชาประเภทฟ้าประทาน ช่วยเพิ่มโอกาสในการฝึกฝนห้าธาตุพร้อมกัน
เวลาผ่านไป
เพียงพริบตา หนึ่งเดือนก็ผ่านพ้น
แผ่นดินใหญ่เสินโจวสุขสงบและสันติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นับจากประกาศวิชาเต๋าทั้งสามของหลี่มู่ ในระยะเวลาอันสั้นก็ไม่มีใครกล้าท้าทายความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งผู้นี้อีก ทุกที่คลื่นลมสงบ
เพียงแต่ภายใต้ความเงียบสงบแบบนี้ จะมีการแอบเคลื่อนไหวมากน้อยเท่าใด ก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว
ในดินแดนสองจักรวรรดิทั้งซ่งเหนือและฉู่ใต้ มีสำนักใหญ่ไม่รู้เท่าไรถูกสังหารล้างสำนัก สลายกลายเป็นธุลีในชั่วข้ามคืน แต่กลับหาคนลงมือไม่เจอ สำนักใหญ่ต่างๆ พากันรู้สึกว่าตกอยู่ในอันตราย
ปลายฤดูใบไม้ร่วง ฟ้าโปร่งลมพัดแรง
หลังจากพูดคุยกับหลี่มู่ที่ออกมาจากการปิดด่านอยู่นาน สุดท้ายองค์หญิงใหญ่ฉินเจินก็ตัดสินใจ พาฉินเจิ้งที่ยังเยาว์วัยออกเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองหลวงฉิน
นางตัดสินใจว่าจะเอาทุกสิ่งที่เป็นของตระกูลฝั่งมารดาคืนมา ในขณะเดียวกันก็จะช่วยน้องชายอายุน้อยทวงของที่แต่เดิมควรเป็นของเขากลับคืน
ไป๋ม่อโฉวออกเดินทางไปด้วยในฐานะอาจารย์ขององค์ชายน้อย
ไม่รู้ว่านางเกลี้ยกล่อมซ่างกวนอวี่ถิงอย่างไร สุดท้ายหลังจากคุยกับหลี่มู่อย่าง ‘จริงจัง’ ครั้งหนึ่ง เมื่อหลี่มู่พบว่าพลังของตัวเองทำอะไรผีสาวหมื่นปีตนนี้ไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่ตกลงให้นางไปเมืองหลวงฉินอย่างไม่เต็มใจ
หลี่มู่เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อไป๋ม่อโฉวครั้งแล้วครั้งเล่า
ผีสาวตนนี้แข็งแกร่งมาก
แน่นอน ไป๋ม่อโฉวออกเดินทาง ย่อมพาปีศาจน้อยหลงเอ๋อร์ที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนตนนั้นไปด้วย
นอกจากนั้น ผู้ที่ออกเดินทางไปด้วยยังมีจอมยุทธ์ดาบชิวอิ่น
เขาก็ฝึกฝนสำเร็จเช่นกัน ทำความเข้าใจโอกาสที่ได้มาจากในฟ้านิจนิรันดร์แล้ว พลังจึงเพิ่มขึ้นมหาศาล มีความมั่นใจเป็นอย่างมากที่จะคุ้มกันฉินเจินสองพี่น้องไปยังเมืองฉิน จากนั้นเขาจะมุ่งหน้าไปทุ่งปิดภูผา
ชิวอิ่นก็มีของของตัวเองที่ต้องทวงคืนมาเช่นกัน
ตัวอยู่ในยุทธจักร นอกจากมีอะไรที่ควบคุมไม่ได้แล้ว ก็มักจะมีของบางสิ่งที่ตัวเองต้องไปเอากลับคืนมา ไม่ว่าเร็วหรือช้า ไม่ว่าถูกหรือผิด ตัวเองเอากลับมาไม่ได้ ก็ต้องให้คนที่ยังมีชีวิตไปทวงคืน
หลังจากส่งพวกฉินเจินแล้ว หลี่มู่ก็พาชิงเฟิง หมิงเยวี่ย และจิ้งจอกน้อยต๋าจี่ออกเดินทางไปซ่งเหนือ
วันที่สุสานเทพจะเปิดออกใกล้เข้ามาแล้ว
ห้าวันหลังจากนั้น หลี่มู่ก็มาถึงเมืองหลินอันเมืองหลวงของซ่งเหนือ
ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ร่วงกราวอยู่ทุกที่
ซ่งเหนืออากาศหนึ่งปีสี่ฤดูแบ่งแยกชัดเจนยิ่ง ใบไม้สีเหลืองแต่งแต้มเมืองหลินจนงดงามเป็นพิเศษ
เทียบกับบรรยากาศกดดันพายุโหมกระหน่ำก่อนหน้านี้ เมืองหลินอันในตอนนี้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ ขบวนสินค้ามากมาย กลับสู่สภาพเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
ในสามจักรวรรดิใจกลางแผ่นดินใหญ่ ตั้งแต่อดีตมาธุรกิจการค้าขายของซ่งเหนือก้าวไกล เจริญรุ่งเรืองที่สุด เป็นจักรวรรดิที่ขึ้นอยู่กับการค้าขาย เมื่อหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากมีกบฏแปดอ๋องการค้าจึงซบเซา แต่จากคำประกาศิตวิชาเต๋าของเทพดาบหลี่มู่ ความวุ่นวายสงบลงแล้วโดยสิ้นเชิง ภายใต้กลไกจากผลกำไร พ่อค้าและคาราวานสินค้าที่มาจากแต่ละที่ในแผ่นดินใหญ่ต่างปรากฏตัว ทำให้เมืองหลินอันกลับสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างในวันวาน
พวกหลี่มู่พักที่จวนปาเสียนอ๋อง
ปาเสียนอ๋องต้อนรับอย่างกระตือรือร้น ระหว่างงานเลี้ยงต้อนรับ ก็เอ่ยถึงเรื่องที่หวังให้หลี่มู่อาศัยอยู่ที่เมืองหลินอัน แต่ถูกหลี่มู่ปฏิเสธไปอย่างอ้อมค้อม
หลังจากนั้นหนึ่งวัน จักรพรรดิซ่งเหนือขอพบหลี่มู่ ทว่าถูกปฏิเสธเช่นกัน
หลี่มู่ตอนนี้ควบคุมชะตาของทั่วหล้า ใช้วรยุทธ์หยุดคมอาวุธ ต่อให้เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ก็ไม่อาจมีอำนาจน่าเกรงขามแม้แต่น้อย หากเทียบกับเก้ายอดคนในใต้หล้าก่อนหน้านี้ ตำแหน่งของหลี่มู่สูงส่งกว่าไม่รู้กี่เท่า
ความผิดหวังของจักรพรรดิซ่งเหนือ แค่คิดดูก็พอจะรู้ได้
วันที่สาม ในเมืองหลวงหลินอันของซ่งเหนือเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้ประชาชนล้มตายหลายพันคน แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากพวกขุนนางเท่าใดนัก
“สุสานเทพเปิดแล้ว”
หลี่มู่กลับมีลางสังหรณ์ที่ต่างออกไปเล็กน้อย
เพราะเขาสัมผัสได้ชัดเจนแล้วว่า มีพลังฟ้าดินมหาศาลทะลักออกมาจากใต้ผืนดินอย่างผิดปกติยิ่ง เหมือนเล็ดลอดออกมาจากสักจุด และเพราะการปะทุของพลังฟ้าดินชนิดนี้ ถึงทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น
พอถึงช่วงบ่ายของวันนั้น ก็เกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงยิ่งขึ้นอีกครั้ง
หลี่มู่ยืนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือเมืองหลินอัน หลังจากใช้เนตรสวรรค์มองลงมา ก็เสนอให้ปาเสียนอ๋องเคลื่อนย้ายประชาชนและทหารออกไปโดยเร็วที่สุด ความถี่และความรุนแรงของแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าคงสะเทือนไปทั้งเมืองหลินอัน
ภายใต้ความตกใจ ปาเสียนอ๋องเข้าวังขอพบจักรพรรดิทันที
ทว่า ข่าวที่นำกลับมาไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไร
จักรพรรดิหนุ่มของซ่งเหนือไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของหลี่มู่ เนื่องจากเมืองหลินอันเป็นถึงผืนแผ่นดินเดิมของซ่งเหนือ เป็นดินแดนแห่งความรุ่งเรือง นี่เป็นเรื่องใหญ่ไม่ว่าสำหรับจักรพรรดิคนใดก็ตาม…
หลี่มู่คิดๆ แล้วจึงกล่าวกับปาเสียนอ๋อง “ฝ่าบาทคิดเช่นนี้ ข้าเข้าใจได้”
ปาเสียนอ๋องโล่งอก
เขานำคำตอบนี้กลับมาก็กลัวว่าหลี่มู่ได้ยินแล้วจะโมโหเดือดดาล คิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของหลี่มู่จะสงบเช่นนี้
ได้ยินหลี่มู่พูดต่อว่า “ถึงอย่างไร ข้าก็เป็นคนพูดจาด้วยเหตุผล”
ปาเสียนอ๋องพยักหน้าเอ่ย “ใช่แล้ว เทวะหลี่ใจกว้างความคิดลึกซึ้ง ข้าขอขอบคุณแทนฝ่าบาท…”
ทว่าหลี่มู่ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย พูดเองเออเองต่อ “ในฐานะคนที่พูดจาด้วยเหตุผล ข้าตัดสินใจเรียบเรียงคำพูดของข้าเสียใหม่ เอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ก่อนรุ่งสาง ข้าอยากได้ยินจักรพรรดิมีราชโองการสั่งให้ย้ายคนออกไปทั้งหมด มิฉะนั้น ข้าจะลงมือล้างบางราชวงศ์ซ่งเหนือไม่ให้เหลือด้วยตัวเอง”
“นี่…” ปาเสียนอ๋องปากอ้าตาค้างไปทันที
นี่นับเป็นเหตุผลอะไรกันนี่
เขาไม่นึกเลยว่าหลี่มู่ที่ปกติสบายๆ ไม่มีมาดอะไรแม้แต่น้อย จู่ๆ จะกลายเป็นคนละคน เปลี่ยนมาแข็งแกร่งทรงอำนาจทั้งยังไม่มีเหตุผล
แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าเมินเฉยต่อคำพูดของหลี่มู่
หลี่มู่เป็นใคร?
หากตัดฐานะผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในแผ่นดินในวันนี้ทิ้งไป เขาก็ยังเป็นผู้ปลิดชีพสมาชิกราชวงศ์ เป็นผู้ส่งวิญญาณที่มีชื่อเสียง เพราะทั้งราชวงศ์ฉินตะวันตก ระดับบนถึงองค์จักรพรรดิ ระดับกลางมีรัชทายาท ระดับล่างรวมองค์ชายและอ๋องต่างๆ พวกนั้นถูกหลี่มู่ฆ่าทิ้งเกือบหมดแล้ว
ถ้าเขาบอกว่าจะลบราชวงศ์ซ่งเหนือทิ้ง เช่นนั้นก็จะลบทิ้งจริงๆ มีความสามารถนั้นอย่างแน่นอน
เชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตกจบสิ้นไปแล้ว ราชวงศ์ซ่งเหนือไม่อยากจะเดินซ้ำรอย
ปาเสียนอ๋องไม่กล้าพูดอะไร รีบเข้าวังครั้งที่สองเพื่อเข้าพบองค์จักรพรรดิ