จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 434 ประตูสวรรค์ทักษิณ
ตลอดทางที่เดินมา พวกของหลี่มู่ไม่พบใครเลย
ความใหญ่โตของสุสานเทพแห่งนี้ไม่สามารถจินตนาการได้ ราวกับเป็นโลกใบเล็กอีกใบก็มิปาน
“ในสุสานเทพ มีโอกาสพรหมลิขิตอะไรอยู่กันแน่?” หลี่มู่อดถามขึ้นไม่ได้ เขาหาคำตอบด้านนี้จากความทรงจำของเทพมารเพลิงนิลไม่ได้เลย รู้เพียงว่าที่นี่มีสิ่งที่กระทั่งสำนักนอกพิภพยังต้องน้ำลายสอ
กัวอวี่ชิงตอบ “ว่ากันว่า ที่นี่มีเทพเจ้าหลับใหลอยู่หลายร้อย ของสืบทอด อาวุธ และวิชาต่างๆ ของพวกเขาซ่อนอยู่ในวังสุสานใต้ดินแห่งนี้ เคยมีคนรอดชีวิตออกมาจากสุสานเทพ ต่อมาขึ้นปกครองดาราผืนหนึ่งกว่าพันปี และกลายเป็นจ้าวแห่งเขตดาราไป…”
หลี่มู่ฟังแล้วตกตะลึง “อะไรนะ? เดี๋ยวก่อน?” เขาจ้องมองพี่ชายร่วมสาบานด้วยสีหน้ามึนงง เอ่ยขึ้นว่า “ที่ที่เทพเจ้าหลับใหลอยู่หลายร้อย? ไม่ใช่แค่องค์เดียวหรือ”
“ไม่ใช่” กัวอวี่ชิงกล่าวตอบ “ตำราต้องห้ามส่วนหนึ่งของวิหารเทพหมาป่าเคยพูดถึงเนื้อหาบางส่วน ว่ากันว่าขุนพลเทพของราชวงศ์เทพโบราณสู้รบและตายลงที่นี่ ไม่ใช่หลุมฝังศพของเทพเจ้าองค์หนึ่งแต่อย่างใด”
หลี่มู่เพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ ที่มาของสุสานเทพอาจจะบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าที่ตนเองประเมินไว้ก่อนหน้า
เมื่อมาถึงใต้กำแพงเมือง ประตูเมืองสูงตระหง่านราวภูเขา ยักษ์สามารถเดินผ่านไปได้
สายตาของหลี่มู่จับจ้องตัวอักษรใหญ่สามตัวที่แขวนอยู่ด้านบนประตูเมือง ละสายตาไม่ได้อยู่นาน
ตัวอักษรนั้นคือ…
ประตูสวรรค์ทักษิณ
นี่ทำเอาหลี่มู่ตกตะลึงอย่างมาก
เพราะอักษรสามตัวนี้ สำหรับคนจีนทุกคนแล้วจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ในตำนานไซอิ๋ว ประตูสวรรค์ทักษิณเป็นประตูของวังสวรรค์ และในตำนานอื่นๆ ของลัทธิเต๋า ประตูสวรรค์ทักษิณก็เป็นทางเข้าจากแดนมนุษย์สู่แดนเซียน บนดาวโลก ทั้งหมดนี้มีฐานะที่พิเศษในใจของชาวจีน
ประตูเมืองทางเข้าสุสานเทพนี้ก็ชื่อประตูสวรรค์ทักษิณ?
เรื่องบังเอิญ?
หรือว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกัน?
หลี่มู่สังเกตอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรประหลาด
เพียงแต่อักษรสามตัวนี้ ลายมือมีชีวิตชีวา แข็งแกร่งทรงพลัง แกะสลักอยู่บนด้านบนประตู ตัวอักษรเป็นร่องลึกลงไป พอมองนานเข้า หลี่มู่รู้สึกว่ามีความรู้สึกรุนแรงดุดันถาโถมเข้ามาหา ราวกับขวานดาบฟาดลงมา กายเนื้อแทบจะปริแตก ต้องรีบเก็บสายตากลับทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” กัวอวี่ชิงมองหลี่มู่
หลี่มีส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
ทั้งสองคนเดินเข้าประตูสวรรค์ทักษิณ เข้าสู่ด้านในเมือง
ด้านในเป็นซากปรักหักพัง หออาคารที่พังทลายลงมา ถนนหนทางที่เสียหาย เทวรูปที่ล้มพัง และยังมีแม่น้ำแห้งขอด ต้นไม้ซึ่งกลายเป็นหิน ความรู้สึกวังเวงจากการถูกกลืนด้วยคลื่นกาลเวลาถาโถมเข้ามา
พวกหลี่มู่ทั้งสองคน เพียงไม่นานก็พบกับสิ่งใหม่
หอหลังหนึ่งพังทลายลงกว่าครึ่ง ดาบยาวหนึ่งเล่ม หอกใหญ่อีกหนึ่งเล่ม ยังคงสภาพสมบูรณ์ไว้ ไม่มีร่องรอยสนิมสักนิด ส่องแสงสว่างวูบวาบ คมมีดเย็นเยียบ แบบในการสร้างเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีการสลักอักษร ไม่รู้ที่มา ทว่าจากพลังวิญญาณที่แฝงไว้ด้านใน ชัดเจนว่าทั้งหมดเป็นสุดยอดของอาวุธเต๋า
หลี่มู่หยิบดาบยาวมา ด้ามดาบมีแพรสีแดงที่สะดุดตา ผ่านไปกว่าพันปีกลับไม่ผุพัง บนคมดาบมีสีแดงเข้มเป็นจุดๆ ราวกับถูกเลือดย้อม เมื่อส่งปราณแท้เข้าไปเล็กน้อย ค่ายกลตราประทับเต๋าด้านในตัวดาบถูกกระตุ้นทันใด เงาดาบยาวเกินกว่าสามจั้งปรากฏออกมา ประดุจอาวุธเทพก็มิปาน
“ดาบดี” หลี่มู่เอ่ยปากชม
คุณภาพของดาบนี้อยู่เหนือกว่าดาบวัฏจักรและมิติเก็บดาบเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสิ่งที่ไร้เจ้าของ
นี่มันง่ายเกินไปแล้วกระมัง พอเข้ามาก็ได้รับสมบัติเช่นนี้เลยหรือ?
ในมือกัวอวี่ชิงกำหอกยาวไว้ ยาวราวเจ็ดฉื่อได้ ความหนาขนาดไข่ห่าน ลวดลายก้นหอย มีพู่แดง คล้ายกับอุปกรณ์ในการเล่นงิ้วบนดาวโลก ทว่าเขาลองสะบัดด้วยมือเบาๆ ลายอาคมในตัวหอกถูกกระตุ้น มังกรยักษ์ตัวหนึ่งคำรามออกมาจากหอก พลานุภาพน่ากลัว สามารถโจมตีขั้นเทวะได้
และนี่เขาเพียงแค่สะบัดมันส่งๆ เท่านั้น
ทั้งสองคนสบตากัน บนใบหน้ามีแววยินดีปรากฏขึ้น
นี่เป็นสมบัติของแท้แน่นอนเลยเชียว
หากอยู่ที่โลกภายนอกก็สามารถทำให้เก้ายอดคนจ้องตาเป็นมัน เป็นได้ถึงระดับสมบัติสำนักเทพเลยทีเดียว ทว่าอยู่ที่นี่กลับเป็นเหมือนขยะข้างทาง แค่เข้ามาในซากหอที่พังถล่มก็หาเจอแล้ว
หาต่อไป
ทั้งสองคนเริ่มค้นหาบริเวณรอบๆ ซากปรักหักพังผืนนี้
ไม่นานนักก็ได้รับกับสิ่งใหม่มา
หลี่มู่พบโล่สีดำอันหนึ่ง เกราะโซ่เหล็กครึ่งท่อนบนชิ้นหนึ่ง และยังมีเกราะหน้าอกที่สมบูรณ์ดีอีกชิ้นหนึ่ง ส่วนกัวอวี่ชิงก็พบหมวกเหล็กใบหนึ่ง รองเท้าสงครามคู่หนึ่ง และเกราะไหล่อีกคู่ ล้วนเป็นระดับสุดยอดแห่งอุปกรณ์เต๋าทั้งสิ้น
นี่เป็นสมบัติที่นำมาช่วยเพิ่มพลังในศึกครั้งนั้นได้เลย
ทั้งสองกวาดทั้งหมดมาเป็นของตัวเองอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนที่แต่เดิมทรงพลังสั่นสะเทือนฟ้าดิน การแต่งตัวในตอนนี้ดูแล้วคล้ายกับ….ทหารหนีสงครามอย่างไรอย่างนั้น
“พวกเราทั้งสองทำเช่นนี้ ดูไม่ค่อยจะมีอนาคตเท่าไรนะ” กัวอวี่ชิงพูดว่าตนเอง
หลี่มู่หัวเราะฮี่ๆ มุมปากเหยียดออกจนถึงใบหูแล้ว พยักหน้าเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว รู้สึกเหมือนกระต่ายพุ่งเข้าไปในไร่หัวไชเท้าเลย มีแต่สมบัติเต็มไปหมด แต่ข้ารู้สึกว่าสิ่งของเหล่านี้ล้วนถูกคนมองว่าเป็นขยะ แล้วก็ทิ้งเอาไว้เฉยๆ”
กัวอวี่ชิงที่ทิ้งมาดของจ้าววิหารเทพหมาป่าไปนานแล้วพูดว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น พวกเราเหมือนกับพวกเก็บขยะ…”
หลี่มู่กล่าว “ขยะเช่นนี้ ต่อให้มีอีกเป็นพันข้าก็เก็บหมด”
กัวอวี่ชิงพยักหน้า “พูดอีกก็ถูกอีก”
“วะฮ่ะๆๆๆๆๆ…”
ทั้งสองคนหัวเราะร่าอย่างคนไม่มีอนาคตอีกครั้ง
ถ้าหากคนภายนอกมองมา ก็ยากที่จะเชื่อได้ว่าจ้าววิหารเทพหมาป่ากับผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งหนึ่งในปัจจุบันอย่างหลี่มู่จะมาหัวเราะอย่างมีลับลมคมในเช่นนี้
“เจ้าพวกโง่เง่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง
พูดอะไรก็ได้อย่างนั้น
หลี่มู่กับกัวอวี่ชิงหันหน้ากลับไปมอง
และได้พบกับใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยห้าคน กำลังบีบเข้ามาจากสี่ทิศ
ห้าคนนี้ล้วนสวมชุดจอมยุทธ์สีดำสนิท วัสดุของผ้าพิเศษเฉพาะ ด้านบนเหมือนมีลายเส้นเต๋าสีทองไหลเวียนเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน ราวกับมีมังกรทองซ่อนอยู่ในนั้น เห็นชัดว่าเป็นชุดคลุมที่พบเห็นได้ยาก นี่ไม่ใช่จอมยุทธ์บนแผ่นดินใหญ่เสินโจวแน่นอน แต่เป็นผู้ฝึกตนที่มาจากสำนักนอกพิภพ
“ไม่คิดว่าจะมีหนูสองตัวโผล่เข้ามาด้วย” ชายในชุดจอมยุทธ์สีดำคนหนึ่งยิ้มเย็น สายตากวาดมองหลี่มู่และกัวอวี่ชิง สีหน้าไม่เป็นมิตร ท่าทีราวกับล่าสัตว์เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่
สี่คนที่เหลือล้อมเข้ามาจากทิศที่ต่างกัน
“ถอดสมบัติหมวกเกราะต่างๆ บนตัวของพวกเจ้าออกมาให้หมด ทิ้งมันมานี่” ชายชุดดำร่างอ้วนเตี้ยอีกคนหนึ่งตะคอกอย่างไม่เกรงใจ
“พวกเจ้าจะทำอะไร?” หลี่มู่แอบส่งสายตาให้กัวอวี่ชิงอย่างแนบเนียน จากนั้นทำท่าทางลนลานทำอะไรไม่ถูก
ชายชุดดำจมูกเหยี่ยวอีกคนหัวเราะเย็นชา เอ่ยว่า “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่โจรอย่างพวกเจ้าจะเข้ามา ทิ้งของที่หาเจอเอาไว้ แล้วฆ่าตัวตายเสีย”
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?” หลี่มู่ถามอีกอย่าง ‘ลนลาน’
ชายชุดดำร่างผอมสูงที่เป็นหัวหน้ายิ้มเย็นชากล่าวว่า “พวกข้าเป็นถึงเทพบนสวรรค์ เป็นเจ้าผู้ปกครอง…พูดไปแมลงต่ำต้อยจากโลกเบื้องล่างอย่างพวกเจ้าสองคนก็ไม่เข้าใจ ไม่อยากตายอย่างทรมานก็จัดการตนเองเสียเถอะ”
“มีสิทธิ์อะไรกัน สมบัติในนี้ คนที่มีวาสนาก็ได้ไปก่อนสิ ใครๆ ก็มาเอาไปได้” หลี่มู่ใช้คำพูดตามสูตรเดิม “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องทำการด้วยอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้? ทำไมไม่ว่ากันด้วยเหตุผล?”
“มีวาสนาก็ได้ไป? ฮ่าๆ” ชายชุดดำร่างอ้วนเตี้ยหัวเราะร่า จากนั้นเดินอาดเป็นวานรเข้ามา “ไร้สาระ ผู้แข็งแกร่งสิถึงจะได้ไป พวกข้าคือเทพเจ้า เทพทำไมจะต้องว่าเรื่องเหตุผลกับมดปลวกเช่นพวกเจ้า?”
หนึ่งหมัดซัดออกมา
พลังของชายวานรอ้วนเตี้ยน่ากลัวไร้ใดเทียม วิชาหมัดสูงส่ง หนึ่งหมัดซัดเอาอากาศเบื้องหน้าในระยะหลายจั้งยุบลงไปจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า
นี่คือพลังที่ต้องเป็นผู้ฝึกตนของสำนักนอกพิภพถึงจะมีได้
“เฮ้อ ทำไมต้องทำเช่นนี้…” หลี่มู่ซัดหนึ่งหมัดออกไปปะทะ เอ่ยว่า “ทุกคนมาว่ากันด้วยเหตุผลดีกว่าไหม?”
ชายชุดดำสี่คนที่เหลือ เมื่อเห็นฉากนี้ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม กายาทองกำเนิดฟ้าของศิษย์น้องหนิงอยู่ในระดับสามสมบูรณ์แล้ว ในบรรดาศิษย์ด้วยกันจัดอยู่ในห้าอันดับแรก เจ้าคนพื้นเมืองต่ำต้อยผู้นี้กล้ามาปะทะหมัดกับศิษย์น้องหนิงหรือ?
ตูม!
คลื่นพลังสั่นสะเทือน
แสงเลือดปลิวว่อน กระดูกขาวราวฟอง
เป็นภาพที่คาดการณ์ไว้
ทว่า สีหน้าของชายชุดดำทั้งสี่เปลี่ยนไปราวเห็นผีในพริบตา รอยยิ้มบนใบหน้าค้างแข็ง เพราะฝ่ายที่ถูกหมัดชกจนระเบิดไม่ใช่คนพื้นเมืองในสายตาพวกเขา แต่เป็นศิษย์น้องหนิงที่มีกายาทองกำเนิดฟ้าระดับสามสมบูรณ์ต่างหาก
“ศิษย์น้องหนิง…มารดามัน เจ้าเด็กคนนี้มันร้ายกาจ ช่วยกันบุกเลย” ชายชุดดำจมูกเหยี่ยวโกรธจนหน้าแดง ตบลงตรงเอว แสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งฟาดฟันไปทางหลี่มู่
ชายชุดดำสามคนที่เหลือก็ต่างหยิบอาวุธของตัวเองออกมา มองหลี่มู่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง ก่อนจะตรงเข้าโจมตีสังหารเขา
กัวอวี่ชิงส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด
ตึงๆๆๆ!
เสียงหนักๆ ดึงขึ้นสี่ครั้ง
หลี่มู่ซัดไปคนละหมัด จนชายชุดดำทั้งสี่คนล้มคะมำลงไปคลุกฝุ่นกับพื้น ไม่ได้ใช้วิชากระบวนท่าอะไรทั้งสิ้น ใช้แรงหลุนๆ ซัดลงไปเท่านั้น
เหมือนกับบิดาตีลูกชาย
ชายชุดดำสี่คนมึนงงกันหมด
เกิดอะไรขึ้น?
ก็แค่คนพื้นเมืองเท่านั้น ทำไม…จึงร้ายกาจขนาดนี้?
ความเป็นต่อของพวกเขาถูกทำลายป่นปี้ในพริบตา
หลี่มู่ก็ไม่พูดอะไร หลังจากซัดจนล้มคะมำก็เข้าไปรัวค้อนชุดหนึ่ง หมัดและฝ่ามือราวพายุฝนกระหน่ำ โจมตีผู้ฝึกวิชานอกพิภพสี่คนที่ยังไม่ทันจะตั้งสติจนหน้าปูดเป็นหัวหมู จมูกช้ำหน้าบวม ปากเบี้ยวตาเอียง…
“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน หยุดมือ…” จมูกเหยี่ยวคนนั้นมึนงงสุดขีดแล้ว
ข้าคือใคร?
ข้าอยู่ที่ไหน?
แล้วทำไมถึงมาโจมตีข้ากัน?
“บอกให้ว่ากันด้วยเหตุผล พวกเจ้าก็ไม่ฟัง แล้วยังจะมาอวดดีใส่ข้าอีก” หลี่มู่รัวหมัด ซัดผู้ฝึกตนชุดดำทั้งสี่คนจนรวบรวมปราณแท้ทั่วร่างไม่ได้ เพิ่งจะตะกายขึ้นมาก็ถูกอีกหมัดชกจนล้ม พอลุกขึ้นก็โดนหมัดจนล้มลงไปอีก
ผู้ฝึกตนนอกพิภพที่สูงส่งทั้งสี่เคยเห็นวิธีการต่อสู้เช่นนี้เสียที่ไหน?
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งแม้แต่น้อย แต่เป็นการทะเลาะกันข้างถนนเสียมากกว่า จนท้ายสุด ผู้ฝึกตนทั้งสี่หน้าปูดบวมจนเหมือนหัวหมู ปราณแท้ทั่วร่างถูกซัดจนกระจัดกระจาย กระดูกทั่วร่างไม่รู้หักไปกี่ท่อน จะลุกก็ลุกไม่ไหวแล้ว
“พอแล้ว หยุดตีได้แล้ว” ชายจมูกเหยี่ยวเปล่งเสียงแหลม
“หยุด หยุดมือ…ไม่เอาแล้ว” ชายผอมสูงใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ยกมือขึ้นขณะพังพาบกับพื้น
ใจของพวกเขาพังทลายไปแล้ว คนพื้นเมืองผู้นี้เลวจริงๆ เอาแต่ชกที่หน้า ชกจนกระทั่งบุพการีก็ไม่รู้จักพวกเขาแล้ว เป็นผู้ฝึกตนแห่งทางช้างเผือกมา ตอนไหนกันที่ถูกคนซัดเสียน่วมเช่นนี้
“พวกเรามาว่าด้วยเหตุผลกันดีกว่า มาว่าด้วยเหตุผลกัน” ชายจมูกเหยี่ยวน้ำตาน้ำมูกไหลออกมาหมด ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะร้องไห้ แต่เพราะถูกซัดจนร่างกายทนไม่ไหวและแสดงปฏิกิริยาออกมาตามธรรมชาติ
“พูดเรื่องเหตุผลอะไร?” หลี่มู่พูดขึ้นอย่างเหยียดๆ “ใครอยากจะพูดเรื่องเหตุผลกับพวกเจ้ากัน?”
ชายชุดดำทั้งสี่เอ่ยไม่ออก
เจ้าเป็นคนบอกว่าจะคุยด้วยเหตุผลนี่นา
หลี่มู่เอ่ย “ข้าเล่นงานพวกเจ้าได้ หมัดของข้าใหญ่กว่าของพวกเจ้า แข็งกว่าของพวกเจ้า แล้วยังจะให้พูดเรื่องเหตุผลอะไรกับพวกเจ้าอีก? ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย”