จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 451 ไม่กลัวตายก็ตามมา
“ข้างหลังคือบ้านเกิดของข้า พวกเราไม่มีทางให้ถอยแล้ว สู้ รบ หลั่งเลือดเพื่อสวรรค์จนหยดสุดท้าย”
เสียงนี้ดังก้องอยู่บนถนนข้างหน้า
ทะเลทรายเวิ้งว้าง เม็ดทรายปลิวคว้าง บนเนินทรายสูง เทพร่างกายใหญ่โตสูงสามจั้งผู้หนึ่งถือธงศึกขาดวิ่นไม่ล้ม ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเนินทรายและขวางทางเอาไว้
แต่แท้จริง เทพองค์นี้ตายไปแล้ว
ตรงคิ้วของเขามีตะปูสีเงินดอกหนึ่งปักทะลุไปข้างหลัง สะเทือนจนวิญญาณต้นของเทพผู้นี้สลาย เพียงแต่พลังฝึกของเขาล้ำลึกมาก จิตมุ่งต่อสู้และความยึดมั่นในใจหลอมรวมไม่เลือนหาย ต่อให้ผ่านไปเป็นพันปีแล้วก็ยังลอยล่องอยู่รอบๆ เนินทราย
พวกหลี่มู่อยู่ใต้เนินทราย ผ่านไปไม่ได้
เพราะรอบๆ ร่างของเทพองค์นี้มีจิตสังหารที่ไร้รูปร่างไหลวนประหนึ่งเขตแดนสังหาร ต่อให้โยนหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งเข้าไปก็จะเกิดเป็นกระแสต้านวุ่นวาย กลายเป็นสถานที่อันตรายในชั่วพริบตา และจิตมุ่งต่อสู้กับความยึดมั่นของเทพผู้นี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง สามารถสะเทือนจนสามจิตเจ็ดวิญญาณของผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์แหลกสลายได้
ร่างของเขาเหมือนกำแพงขวางเส้นทางเอาไว้ องอาจกล้าหาญประดุจคนเฝ้าด่าน ทหารหมื่นนายมิอาจกล้ำกราย เหมือนว่าต่อให้เป็นเจ้าแห่งฟ้าดินก็อย่าคิดจะผ่านเขาไปได้
“รบ สู้รบ!”
“ปกป้องดินแดนบรรพชน ปกป้องดินแดนจะต้องเข้าสู้”
จิตใต้สำนึกยึดมั่นหลอมรวมเป็นเสียงคำรามโกรธแค้นในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาออกมา ข้ามผ่านวันเวลาไม่รู้นานเท่าใด ก็ยังคงดังก้องอยู่ในฟ้าดินไม่หายไป
สำหรับพวกหลี่มู่แล้ว สิ่งที่ยากเย็นที่สุดคือเทพองค์นี้ขวาง ‘เส้นทางเซียน’ อยู่
หลี่มู่สำรวจจนแน่ใจว่าเส้นทางเซียนอยู่ข้างหน้านี้แล้ว จะต้องผ่านเนินทรายผืนนี้ ผ่านข้างกายของเทพที่ตายไปแล้วองค์นี้ นอกจากนั้นแล้วไม่มีทางอื่น และไม่มีวิธีอื่นอีก
เห็นได้ชัดว่าเส้นทางเซียนที่เซียนผู้นั้นส่งออกมาเมื่อพันปีที่แล้วเกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง หรือไม่ตอนนั้นเขาก็ใช้พลังฝึกอันแข็งแกร่งเดินผ่านทะเลทรายผืนนี้ไปได้ ทว่าด้วยความสามารถของพวกหลี่มู่นั้นทำไม่ได้
ทำอย่างไรดี?
พวกหลี่มู่มองตากัน
ไม่นึกว่าเส้นทางเซียนเส้นนี้จะเป็นทางตันเมื่อเดินจนถึงสุดทางแล้ว
“ผู้แข็งแกร่งระดับอาวุโสของสำนักใหญ่อื่นๆ ก็มีแผนที่เช่นกัน ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องหาที่นี่เจอ ตอนนี้พวกเขาต้องเหยียบเส้นทางเซียนมาถึงโลกต้นผลทารกแล้วเป็นแน่” ชิงเฟิงนวดขมับ “โดยพื้นฐานพวกเราไร้ซึ่งทางถอยแล้ว”
ในใจของทุกคนหนักอึ้ง
ชิงเฟิงฉลาดแทบจะเทียบเคียงปีศาจ เรื่องราวต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็พิสูจน์การวิเคราะห์ของเขาแล้ว เขาพูดแบบนี้ต้องไม่ผิดแน่นอน
เส้นทางเซียนสายนี้เป็นเส้นทางเที่ยวเดียว หากหันหลังกลับตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับคนจากสำนักนอกพิภพ จะยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก
สายตาของหลี่มู่มองไปยังวง ‘เป่าสีดีดร้อง’ ทั้งสี่
คนทั้งสี่พลันใจเต้นรัวดุจตีกลอง หวาดกลัวถึงที่สุด
พวกเขาสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าชะตาชีวิตของพวกตนจะถูกนำมาใช้เป็นหน่วยกล้าตาย เอาไว้สำรวจเส้นทาง ฝืนผ่านทะเลทรายผืนนี้ไป
“นายท่าน พวกเรา…” ชายจมูกงุ้มเอ่ยปากพร้อมยิ้มขมขื่น คิดอยากจะขอร้องอะไร
แต่หลี่มู่ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
ใจของทั้งสี่คนเย็นเยียบ
กลับเป็นตอนนี้เอง เห็นหลี่มู่พูดกับหวางซืออวี่ว่า “เสี่ยวอวี่ ข้าขอยืม ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ หน่อยสิ”
หวางซืออวี่ตะลึง ความคิดเพียงขยับ ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ ก็มาปรากฏบนร่างหลี่มู่ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีม่วงปกคลุมเขาไว้ทั้งตัว
ดวงตากลางหน้าผากหลี่มู่เปิดออก มองสำรวจภูมิประเทศ มองทะลุผ่านสนามพลังจิตสังหาร จากนั้นก็เดินไปยังเนินทรายทีละก้าวๆ
“น้องสาม…” กัวอวี่ชิงคิดจะห้าม แต่คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่ได้พูดออกมา “ระวังด้วย”
หลี่มู่พยักหน้าให้ เดินไปยังเนินทรายอย่างระมัดระวัง
สุดท้ายเขาก็ใจอ่อน ไม่ให้วง ‘เป่าสีดีดร้อง’ ทั้งสี่ไปเป็นหน่วยกล้าตาย
หนึ่งเพราะทรมานทั้งสี่คนนี้ ทรมานไปมาก็เกิดความเห็นใจเล็กน้อย เวลาใช้งานก็คล่องมือดี จำต้องเหลือเชื้อไฟไว้ให้สำนักกำเนิดฟ้าบ้าง สองเพราะหลี่มู่มองออกว่า ต่อให้เจ้าสี่คนนี้ไปเป็นหน่วยกล้าตายก็ไม่มีประโยชน์ หยั่งเชิงอะไรไม่ได้
เมื่อเข้าใกล้เนินทรายไปเรื่อยๆ หลี่มู่รู้สึกแค่ว่าจิตสังหารเหี้ยมโหดขุมหนึ่งหมายจะทะลวงผ่าน ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ เข้ามาฉีกทึ้งตน บนอาภรณ์สีม่วง อักขระเล็กละเอียดถี่ยิบเคลื่อนไหวต้านทานพลังภายนอกไว้
ครั้นมาถึงใต้เนินทราย หลี่มู่เปิดเนตรสวรรค์ถึงระดับสูงสุด พลังจิตวิญญาณขึ้นไปถึงขีดสุด จากนั้นประเมินรอบๆ มองหาช่องโหว่และจุดอ่อนที่น่าจะเป็นไปได้ของสนามพลังจิตสังหาร ค้นหาเส้นทางที่ปลอดภัย
เขาเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้าทีละก้าวๆ ราวกับแบกภูเขาเอาไว้
ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้วิชาลับส่งโครงสร้างของสนามพลังที่เนตรสวรรค์สำรวจได้ไปให้เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิง ความชำนาญด้านค่ายกลและสนามพลังของชิงเฟิงในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นศิษย์ที่เหนือกว่าครูแล้ว สามารถช่วยหลี่มู่ได้มากนัก
“ซ้ายสามก้าว ขวาหนึ่งก้าว หน้าหนึ่งก้าว ขวาอีกสองก้าว หน้าหนึ่งก้าว…ถอยหนึ่งก้าว…” เสียงของชิงเฟิงดังขึ้นข้างหูหลี่มู่ไม่หยุด
ในที่สุด หลังจากเสียเวลาไปหนึ่งชั่วยาม หลี่มู่ก็มาถึงเนินทราย มาถึงด้านซ้ายมือของเทพที่ดับสูญองค์นั้น
พอมองไปข้างหน้า เขาก็ต้องตื่นตะลึงกับสภาพข้างหลังเนินทราย
รถศึกทองสัมฤทธิ์ที่สนิมขึ้นเกรอะกรัง เรือบินเหล็กดำที่หักพัง และยังมีจานแสงอาทิตย์ขนาดหลายร้อยจั้ง อาวุธเทพที่ชำรุด ชุดเกราะเก่าแก่ที่แตกเป็นเสี่ยงร่วงอยู่ในทะเลทรายด้านหลังเนินทราย ร่างของนักรบที่สิ้นชีพแต่ละร่างถูกทรายกลบทับครึ่งหนึ่ง บางร่างไร้ซึ่งเลือดเนื้อกลายเป็นโครงกระดูกสีเหลืองทอง แผ่กระจายระลอกคลื่นเทพที่เป็นอมตะออกมา มีบางร่างที่ยังมีเลือดเนื้อสมบูรณ์ เพียงแต่วิญญาณต้นสลายไปแล้ว…
ที่นี่เป็นสนามรบของเทพมารที่น่ากลัวแห่งหนึ่ง
สามารถเดาได้เลาๆ ว่าที่นี่เป็นหน่วยรบกองหนึ่งของสวรรค์โบราณ ต่อกรกับศัตรูภายนอกเพื่อปกป้องดินแดนบรรพบุรุษ สู้ตายไม่ยอมถอย สุดท้ายแตกดับอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ทั้งหมด
เป็นไปได้ว่าในอดีตที่แห่งนี้ไม่ใช่ทะเลทราย แต่เป็นเมืองสำคัญของสวรรค์ยุคโบราณ ทว่าถูกพลังของเทพมารทำลายล้างท่ามกลางสงคราม เมืองที่เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นที่รกร้าง ฝังกลบนักรบที่ตายไป
ตอนนี้ปัญหามาอีกแล้ว
ในทะเลทรายแห่งนี้ นักรบที่รบตายไปมีมหาศาล มีทั้งจิตยึดมั่นยามมีชีวิตอยู่และเศษเสี้ยวพลังของสนามรบบรรพกาลวนเวียนอยู่ อันตรายเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะไม่อันตรายเท่าวิญญาณเทพตรงเนินทราย แต่หากคิดจะผ่านไปก็ต้องใช้เวลานาน
หลี่มู่กำลังจะเปิดเส้นทางใหม่ที่ปลอดภัยต่อ จู่ๆ ในใจก็เกิดการรับรู้ เมื่อหันกลับไป เนตรสวรรค์ก็มองข้ามผ่านระยะหลายร้อยลี้ เห็นว่าที่ไกลๆ มีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งตรงมาทางนี้ รวดเร็วอย่างยิ่ง ทะยานกายอยู่บนพื้นดินราวสายอัสนี
คนของสำนักนอกพิภพมาแล้ว
หลี่มู่หัวใจบีบรัด ไม่สนใจจะฝ่าเส้นทางใหม่แล้ว หมุนตัวถอยกลับทันที
“คนของสำนักนอกพิภพมาแล้ว…ไป”
เขาคืน ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ ให้กับหวางซืออวี่ จากนั้นนำทุกคนเข้าไปในทะเลทราย แต่ละคนใช้งานสมบัติเต๋าของตัวเอง อาศัยแสงจากของวิเศษคุ้มกาย เข้าสู่ทะเลทรายตามทางที่สำรวจมาเมื่อครู่และเริ่มเดินขึ้นเนินทรายไป
ในสนามพลังจิตสังหาร ภายใต้การปกคลุมจากจิตมุ่งต่อสู้และความยึดมั่นของเทพ ทุกคนเหมือนเด็กที่ไหล่ทั้งสองหนักอึ้ง เดินได้ช้าอืดมาก
โดยเฉพาะพวกหวางซืออวี่และชิงเฟิง เพิ่งเดินได้ไม่กี่ร้อยจั้ง อีกทั้งได้การเสริมพลังจากหลี่มู่และกัวอวี่ชิง แต่ก็หน้าซีดเผือดไปแล้ว เหงื่อเม็ดโตไหลอาบปานสายฝน
หลี่มู่หันกลับไปมอง ตาเปล่ามองเห็นคนที่ไล่ตามมาอย่างรวดเร็วจากที่ไกลๆ แล้ว
ภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเส้นทางที่สำรวจไว้ ใจหลี่มู่ขยับแวบหนึ่ง จัดการวางค่ายกลมายาเล็กๆ เอาไว้เพื่อสกัดกั้นจิตยึดมั่นมุ่งต่อสู้และเสียงของเทพ
ในตอนนี้ คนของสำนักนอกพิภพมาถึงใต้เนินทรายแล้วในที่สุด
เป็นคนของวังประสานฟ้า มีผู้อาวุโสขั้นนักรบเป็นผู้นำ ลูกศิษย์อีกหลายสิบคนและร่างสวมชุดคลุมจักรพรรดิสีเหลืองอีกแปดร่างตามมายังใต้เนินทรายแห่งนี้ด้วย
“เป็นพวกมัน มันคือหลี่มู่” ชายวัยกลางคนซึ่งหน้าตาคล้ายจักรพรรดิซ่งเหนือเป็นอย่างยิ่งชี้ไปยังหลี่มู่ที่ใกล้จะข้ามเนินทรายข้างหน้าได้ “เป็นมันเองที่ลอบทำร้ายสังหารศิษย์พี่เยวี่ย…”
ดวงตาของผู้อาวุโสขั้นนักรบฉายประกายเย็นเยียบวาบผ่าน
คนพื้นเมืองตัวเล็กๆ เทียบไม่ได้แม้กระทั่งแมลง กลับกล้าลอบทำร้ายศิษย์ของวังประสานฟ้า?
“ฆ่ามันเสีย” ผู้อาวุโสขั้นนักรบไม่พูดให้มากความ เอ่ยปากทันที
“รับคำสั่ง”
ลูกศิษย์วังประสานฟ้าสองคนที่ผ่านสะพานเป็นตายของขั้นสามัญระดับสองแล้วชักกระบี่ออกจากฝัก เท้าส่งแรงบินทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ไล่ตามพวกหลี่มู่ไปราวธนูพุ่งออกจากคันศร
ทว่าเมื่อพวกเขาเพิ่งจะพุ่งตรงมาถึงเขตทะเลทราย กระแสพลังที่น่าสะพรึงกลัวกลุ่มหนึ่งพลันเอ่อทะลัก ประหนึ่งเทพสังหารที่หลับสนิทตกใจตื่นขึ้นมา
“อั้ก”
ละอองเลือดสาดกระจาย
ลูกศิษย์วังประสานฟ้าที่ผ่านสะพานเป็นตายมาแล้วเหมือนระเหยไปในทันที เหลือเพียงแค่ละอองเลือดไม่เหลือซาก แม้แต่กระบี่วิเศษในมือกับมิติเก็บของติดกายก็ถูกบดขยี้กลายเป็นผุยผงในพริบตา
เกิดอะไรขึ้น?
รูม่านตาของผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้าหดเล็กลง ในใจตื่นตะลึง
ลูกศิษย์คนอื่นๆ รวมไปถึงชายวัยกลางคนที่สวมชุดจักรพรรดิทั้งแปดต่างอึ้งตะลึง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ถอย ในทะเลทรายมีสนามจิตสังหาร…” ผู้อาวุโสขั้นนักรบตะโกนเสียงหลง จากนั้นรวมเนตรเวทขึ้นมา มองแวบแรกก็มองทะลุค่ายกลมายาที่หลี่มู่วางเอาไว้ และสัมผัสได้ถึงจิตต่อสู้สังหารที่แผ่ออกมาจากเทพบนเนินทรายผู้นั้น
จิตต่อสู้สังหารประเภทนี้ทำให้เขาหวาดกลัวเป็นระลอกๆ
“คิดข้าฆ่าข้ารึ?” ยอดเนินทราย หลี่มู่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือของเทพผู้ดับสูญ หันกลับมาหัวเราะเสียงเย็นและเอ่ยท้าทาย “ไม่กลัวตายก็ตามมาสิ”
พูดจบ ร่างของเขาก็หายไปข้างหลังเนินทราย
“แมลงไร้ค่าเหิมเกริม เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติมาท้าทายข้า” แววตาของผู้อาวุโสขั้นนักรบเย็นเยียบ ในใจวางหลี่มู่ไว้ในรายชื่อบุคคลที่ต้องตายแล้วเรียบร้อย
“ผู้อาวุโสซุน พวกเราทำอย่างไรกันดี?” ลูกศิษย์วังประสานฟ้าเอ่ยถาม
พวกเขาถ่องแท้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เนินทรายแห่งนี้อันตรายอย่างมาก
“หึๆ กับแค่ลูกไม้ตื้นๆ ก็คิดจะมาขัดขวางข้า?” ผู้อาวุโสขั้นนักรบหลอมเนตรเวทแล้วมองผ่านพื้นที่บริเวณนี้ มองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “ตามข้ามา” พร้อมทั้งกระตุ้นพลังฝึกขั้นนักรบของตน และเลือกบริเวณที่พลังสนามพลังจิตสังหารอ่อนแอที่สุดก้าวอาดๆ ตรงไป
คนอื่นๆ ตามติดอยู่ข้างหลัง
“ฮ่าๆ ชนพื้นเมืองก็คือชนพื้นเมือง หลี่มู่คนนี้โง่นัก คิดจะอาศัยศพศพหนึ่งขัดขวางพวกเรา ผู้อาวุโสซุนอภินิหารวิชากว้างขวาง แค่…” ลูกศิษย์วังประสานฟ้าคนหนึ่งหัวเราะเยาะหยัน
ทว่ายังพูดไม่ทันจบ จิตสังหารกลุ่มหนึ่งก็กะพริบผ่าน
เสียงร้องดังขึ้น ลูกศิษย์วังประสานฟ้าคนนี้กลายเป็นละอองเลือดสาดกระจายคาที่
“แย่แล้ว” สีหน้าผู้อาวุโสขั้นนักรบคลุ้มคลั่ง สั่งว่า “ถอย ถอยเร็ว”
อั้ก อั้ก อั้ก!
สนามพลังจิตต่อสู้สังหารแผ่ระลอก ลูกศิษย์วังประสานฟ้าอีกสามคนถูกสังหารกลายเป็นละอองเลือดกระจายคาที่
คนอื่นๆ อกสั่นขวัญแขวน สู้สุดชีวิตถึงจะถอยออกมาได้
“นี่เป็นแค่คำเตือน ไสหัวกลับไปนอกพิภพเสีย มิฉะนั้นที่นี่จะเป็นที่ฝังร่างของพวกเจ้า” เสียงของหลี่มู่ดังมาจากข้างหลังเนินทรายไกลๆ คำพูดแฝงความท้าทายไว้เข้มข้น
ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้าสีหน้าทะมึน
เขาประมาทไปแล้ว
หลี่มู่ทำอะไรกับสนามพลังจิตสังหารผืนนั้น ปกปิดอะไรบางสิ่ง ทำให้การคาดการณ์ของเขาผิดพลาด เดินผิดไปก้าวหนึ่ง จึงตกหลุมพราง สูญเสียลูกศิษย์ชั้นยอดไปสี่คนทันที