จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 101
หลิงสุ่ย ตระกูลป๋าย
นี่เป็นบ้านขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 10 เอเคอร์ ในฐานะเจ้าของหลิงสุ่ย ตระกูลป๋ายต้องการสไตล์แบบนี้ หากจะบอกว่าเป็นบ้าน ให้เรียกว่าจวนอ๋องยังจะดีกว่า
อันที่จริง ตระกูลป๋ายก็สร้างบ้านนี้ขึ้นตามแบบผังข้อกำหนดของจวนอ๋องจริงๆนั่นแหละ มันถูกสร้างขึ้นโดยมีสวนจัวเจิ้งของซูโจวเป็นแบบจากนั้นจึงค่อยปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจากแบบเดิน
ในหลิงสุ่ย ที่นี่ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง
ในเวลานี้ ด้านนอกบ้านตระกูลป๋าย
มีกลุ่มคนกำลังซุ่มอยู่อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืด พวกเขากำลังมองไปที่บ้านตระกูลป๋ายด้วยดวงตาที่แฝงความเกลียดชังอย่างรุนแรง จนมีผู้ชายบางคนถึงกับต้องหอบหายใจถี่เพื่อฝืนระงับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเอาไว้
ผู้ที่นำหน้ามาเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
“พ่อ คุณบรรลุแล้วหรือ?”
คนที่เอ่ยเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุยี่สิบหกปี สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งร่าง ไว้ผมสั้น ท่าทางสง่ากล้าหาญ
ที่น่าตะลึงก็คือ ผู้หญิงคนนี้เป็นนักบู๊คนหนึ่ง
อีกทั้งยังมีการฝึกฝนกำลังภายใน และมีกำลังภายในที่ไม่อ่อนด้อยอีกด้วย ความแข็งแกร่งจัดว่าไม่เลว
ถัดจากเธอ เป็นชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบกว่า ร่างกายแข็งแรง และกลิ่นอายหนักแน่น
เขาเป็นนักบู๊เช่นกัน อีกทั้งยังมีพลังล้ำลึกสูงส่ง
ถังหมิงกวงมองไปยังบ้านตระกูลป๋ายแล้วแอบกำหมัดแน่น
ในสมองของเขานึกถึงภาพอันโหดร้ายในคืนนั้นเมื่อ 15 ปีก่อน —-
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“หวั่นเอ๋อ รีบไป ไม่ต้องสนใจแม่ หมิงกวง รีบไปเร็วเข้า…… ”
“พรูด!”
เลือดล้างท้องฟ้า ซากศพเกลื่อนพื้น
ถังหมิงกวงทั่วร่างเต็มไปไอสังหาร ดวงตาฉายแววคมกริบเยือกเย็นราวกับมีด
ครั้งหนึ่งตระกูลถังเองก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของหลิงสุ่ยเช่นกัน ต่อมาตระกูลป๋ายต้องการจะควบคุมหลิงสุ่ยอย่างสมบูรณ์ดังนั้นจึงลงมือกับตระกูลถังอย่างอุกอาจ
คืนนั้น เป็นคืนวันเกิดของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลถัง ทุกคนล้วนมากันหมด
ตระกูลป๋ายใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้จ่ายเงินก้อนโตเพื่อเชิญนักฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวกว่าเกือบร้อยคน ภายใต้การนำของสองนักบู๊ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ก็คล้ายเทพแห่งความตายได้มาเยือน
ถังหมิงกวงคิดว่าแม้ว่าตระกูลป๋ายจะคิดตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เป็นแค่เรื่องการต่อสู้แข่งขันบนสนามการค้าเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้มีการป้องกันใด ๆ เอาไว้แม้แต่น้อย
เขาไหนเลยจะรู้ว่าตระกูลป๋ายกระทำตัวไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินขนาดนี้
ตระกูลถังถูกลอบสังหารและได้รับบาดเจ็บสาหัส สาขาอื่น ๆ ก็ประสบภัยพิบัติ ภรรยาของถังหมิงกวงใช้ตัวเข้าปกป้องถังหวั่นเอ๋อซึ่งมีอายุเพียงสิบขวบจนเสียชีวิต
คืนนั้น ถังหมิงกวงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
เพื่อรักษาผู้สืบทอดของตระกูลถังเอาไว้ เขาจำเป็นต้องพาถังหวั่นเอ๋อและผู้ที่เหลือรอดในตระกูลถังหลบหนีออกจากหลิงสุ่ยไป อย่างเร่งรีบ หลบหนีออกไปหลายพันไมล์ ออกจากมณฑลซีหนัน
ช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ถังหมิงกวงไม่เคยล้มเลิกการแก้แค้น
โชคชะตาช่างบังเอิญ เขาได้สัมผัสถึงวิชาบู๊เข้า
ดังนั้น ถังหมิงกวงพาลูกสาวและผู้ที่เหลือรอดอยู่ฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นเวลา 15 ปี เดินทางไปยังสถานที่อันตรายหลายแห่งในประเทศจีนเพื่อฝึกฝนและสร้างประสบการณ์
เง็กเซียนไม่รังแกผู้มีความพยายาม
หรือบางทีอาจเป็นเพราะความเกลียดชังที่นำมาซึ่งแรงผลักดันมหาศาล
ในตอนนี้ พลังของถังหมิงกวงได้มาถึงจุดสูงส่งล้ำลึกจนประเมินค่าไม่ได้ แม้แต่ถังหวั่นเอ๋อเองก็เป็นนักบู๊กำลังภายในขั้นสูงเช่นกัน
เส้นทางระดับของนักบู๊แบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ ฝึกร่าง กำลังภายใน และปรมาจารย์ขั้นสูงสุด
นอกจากการฝึกร่างแล้ว ที่เหลืออีกสองระดับก็ยังถูกแบ่งออกเป็น ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง ขั้นสุดยอด ทั้งอีกสิ้นสี่ระดับ
โดยทั่วไปแล้ว อายุสี่สิบห้าปีสามารถฝึกฝนมาจนถึงขั้นกำลังภายในขั้นสูงหรือขั้นสุดยอดได้ก็ถือว่าดีอย่างยิ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถังหวั่นเอ๋อที่อายุเพียงยี่สิบห้ากลับสำเร็จถึงขั้นกำลังภายในขั้นสูงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเพิ่งฝ่าฟันบรรลุขั้นมาได้แต่ก็ถือว่ามีพรสวรรค์อย่างมาก จัดว่าเป็นอัจฉริยะก็ว่าได้
“พ่อ พ่อเป็นอะไรไป”
“ไม่มีอะไร”
ถังหมิงกวงได้สติกลับมา เขาส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าขั้นปรมาจารย์สามารถฝ่าฟันไปได้ง่ายๆ อย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องล้ำค่าหายากอีกต่อไป เมื่อครู่ฉันเพิ่งมาถึงระดับกำลังภายในขั้นสุดยอด หากจะบรรลุไปถึงขั้นปรมาจารย์อย่างน้อยๆก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกห้าถึงสิบปี”
“พ่อ ถึงจะยังไม่บรรลุก็ไม่เป็นอะไร ความแข็งแกร่งของพวกเราเพียงพอที่จะทำลายตระกูลป๋ายเป็นร้อยครั้ง” ถังหวั่นเอ๋อมั่นใจอย่างมาก
นอกจากพวกเธอสองพ่อลูก ยังมีลูกศิษย์ตระกูลถังอีกยี่สิบคน ในนั้นมีสิบคนที่เข้าสู่ระดับกำลังภายในแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงขั้นต้นแต่ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากเช่นกัน
ส่วนที่เหลืออีกสิบคนยังอยู่ในระดับฝึกร่าง แต่พลังกายก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอย่างมาก สามารถต่อสู้กับคนหลายคนเพียงลำพังได้อย่างไม่มีปัญหา
“นายท่าน ผมอดทนไม่ไหวแล้ว ลงมือเถอะ!”
ลูกศิษย์ตระกูลถังอายุประมาณสามสิบปีคำรามเสียงต่ำขึ้นมา
“นั่นสินายท่าน ยังจะมัวรออะไรอยู่อีก!”
“ตระกูลป๋ายใช้วิธีน่ารังเกียจมาทำลายตระกูลถังของพวกเรา พวกเราไม่จำเป็นต้องมีเมตตา ฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก”
“ใช่ ไม่จำเป็นต้องกังวล ตอนนั้นที่ตระกูลป๋ายฆ่าพวกเรา รัฐบาลก็ไม่ออกหน้าอะไร ตอนนี้หากพวกเขากล้าเข้ามาห้าม อย่างนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราใจคอโหดเหี้ยมฆ่าได้แม้กระทั่งพวกเขา”
ถังหมิงกวงเอ่ยเสียงเข้ม “ห้ามพูดไร้สาระ ฉันสืบมาชัดเจนแล้ว ตอนนั้นที่รัฐบาลไม่ลงมือก็เพราะตระกูลป๋ายเชิญนักฆ่ามากลุ่มใหญ่แล้วควบคุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงเอาไว้ทั้งหมด รัฐบาลเองก็หมดหนทางลงมือ อันที่จริง รัฐบาลช่วยพวกเราแล้ว”
“อะไรนะ?” ถังหวั่นเอ๋อรู้สึกงงงวย
“ตระกูลป๋ายคิดจะฆ่าพวกเราให้สิ้นซาก หากไม่ได้รัฐบาลให้การช่วยเหลืออยู่ลับๆ พวกเราคงไม่มีทางหนีรอดออกจากหลิงสุ่ยได้ ไม่มีทางหนีออกจากมณฑลซีหนันได้”
ทุกคนเกิดความคิดขึ้นมา
ทันใดนั้น ถังหมิงกวงก็เอ่ยเย้ยหยัน “ตระกูลป๋ายเองก็ช่างรนหาที่ตาย กล้ากดดันรัฐบาล จนผู้นำสูงสุดยังต้องก้มหัวให้ ช่างไม่เห็นเงาหัวใครเลยสักนิด ทางรัฐบาลเองก็ข่มความโกรธนี้เอาไว้มานานแล้ว ดังนั้นคืนนี้ ถ้าตระกูลป๋ายเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น ทางรัฐบาลก็จะไม่ส่งคนมาหรืออาจกระทั่งเก็บเรื่องนี้ให้เงียบไปเลยก็ได้”
“พ่อคะ รัฐบาลก็หวังว่าตระกูลป๋ายจะถูกทำลายเช่นกันหรือนี่ ถ้าเป็นยังไง พวกเราจะยังรออะไรอีก”
“ฟุบ”
ถังหมิงกวงสีหน้าเย็นชา เขาเดินออกมาจากความมืดและก้าวเท้าไปยังบ้านตระกูลป๋าย
“ใช่ ถึงเวลาแล้ว สิบห้าปี เวลานานเกินไป นานเสียจนฉันเลอะเลือนอย่างยิ่ง”
“คืนนี้ ทุกอย่างจะต้องถูกคิดบัญชีให้เรียบร้อย”
“หนี้เลือดย่อมต้องใช้คืนด้วยเลือด”
……
บ้านตระกูลป๋าย ห้องโถงใหญ่
ป๋ายเจิ้งหรงกำลังเล่นหมากรุกกับชายชราอายุหกสิบกว่าคนหนึ่ง ในฐานะเจ้าบ้านตระกูลป๋าย เขาควบคุมเมืองทั้งเมืองอยู่ในมือ มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่
“ตุบ”
เงาดำตกลงมา
แต่เดิมหมากรุกสีดำกำลังเสียเปรียบแต่ทันใดนั้นสถานการณ์ก็พลิกผัน
ชายชราพยักหน้าชมเชย “ฝีมือหมากรุกของเจ้าบ้านก้าวหน้าขึ้นอย่างมากอีกแล้ว ตานี้ “‘มังกรคะนองบิดกลับฟ้าดิน” เยี่ยมเยียม”
“ท่านเห้อชมเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอ่อนข้อให้ผมคงแพ้ไปนานแล้ว”
ชายชราเก็บมือและเอ่ยถาม “ฉันเห็นว่าช่วงนี้เจ้าบ้านใจคอดูจะไม่ค่อยนิ่งนัก ไม่ทราบว่ามีเรื่องยุ่งยากอะไรในใจ?”
“ท่านเห้อ ผมรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างอย่างไม่รู้สาเหตุ”
“เป็นเพราะถังหมิงกวง?”
ป๋ายเจิ้งหรงส่ายหัวและพูดอย่างเหยียดหยาม “ถังหมิงกวงนับเป็นตัวอะไรกัน แต่ง้างมือก็แพ้แล้ว หากเขายังคิดจะแก้แค้นตระกูลป๋ายของผม แค่เข้ามาในหลิงสุ่ยก็ถูกผมกุมเอาไว้ในมือไปแล้ว คืนนี้ พวกเขาจะโจมตีเข้ามา ไม่แน่ว่าอาจจะลงมือแล้วก็ได้”
ตุบตุบตุบ!
ทันทีที่เสียงจบลง ก็มีเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้นมาจากระยะไกล
เสียงการฆ่าฟันดังขึ้นมาเรื่อยๆ
ท่านเห้อลุกขึ้นและเอ่ยเสียงเครียด “ผมจะไปดูหน่อย”
“ไม่จำเป็น”
ป๋ายเจิ้งหรงยังคงอยู่ในความสงบ เขาดึงท่านเห้อให้นั่งลงและเอ่ยเสียงเย็นชา “ปล่อยให้นักฆ่าพวกนั้นจัดการ จะมากินข้าวฟรีตลอดไปก็คงไม่ได้ ถึงเวลาที่ต้องเสียสละแล้ว เพียงแต่พวกถังหมิงกวงก็แข็งแกร่งไม่น้อย อีกไม่นานก็น่าจะฆ่ามาถึงตรงนี้ ถึงเวลานั้นก็ต้องรบกวนท่านเห้อแล้ว”
“เรื่องเล็กน้อย”
ท่านเห้อถามอีกครั้ง “ในเมื่อไม่ได้เกี่ยวข้องกับถังหมิงกวง แล้วเป็นอันตรายอะไร? หรือว่า รัฐบาลทนไม่ไหวแล้วต้องการลงมือกับตระกูลป๋าย?”
“ความลับของพวกข้าราชการชั้นสูงพวกนั้นฉันกุมเอาไวหมดแล้ว พวกนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหัวให้ฉันอย่างว่าง่ายนอกเสียจากพวกนั้นจะไม่อยากสวมเครื่องแบบแล้ว”
ป๋ายเจิ้งหรงมีสีหน้ากังวล เขาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าประตูห้องโถงใหญ่ และมองไปยังดวงจันทร์บนท้องฟ้า เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ท่านเห้อ แต่ไหนแต่ไรมา สัญชาตญาณของฉันแม่นยำอย่างยิ่ง
“ในเมื่อรู้สึกไม่ปกติแบบนี้ ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่”
“เพียงแต่ ฉันคิดไม่ออกว่านี่เป็นอันตรายแบบใด? อีกทั้งจะมีผลลัพธ์อย่างไร? ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันทำตัวต่ำดินติดมาตลอด ไม่ได้ไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้มีอำนาจที่ไหน”