จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 118
หลี่เซียนจือยืนอยู่หน้าหญิงสาวอย่างสง่าผ่าเผย ผมดำขลับพลิ้วไหว ดวงตาดุดันฉายแววโกรธเกรี้ยวและเย็นชาอย่างไม่ปิดบัง
โล่เฉินเองก็มีรังสีฆ่าฟันพุ่งขึ้นเช่นกัน
จางหลิ่งโทษความผิดพลาดของตนเองไปให้หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง แถมยังคิดจะฆ่าคน นี่มันมากเกินไปที่จะยอมรับได้
ฉากนั้นเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง
ทุกคนล้วนสังเกตเห็นว่าจางหลิ่งหุนหันพลันแล่นเกินไป
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกฝน แต่ก็ไม่อาจฆ่าผู้บริสุทธิ์ได้ โลกนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ต่อให้วิชาคาถาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานกระสุนนับพันได้
อาวุธเทคโนโลยีชั้นสูงแทบจะเอาชีวิตของนักพรตไปได้โดยตรง
ในเวลานี้ จางหลิ่งเองก็สงบลงมาแล้วเช่นกัน โดยตระหนักได้ว่าตนเกือบจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ รวมถึงรับรู้ได้ถึงรังสีฆ่าฟันอันเย็นชาที่หลี่เซียนจือส่งออกมา
จางหลิ่งประสานมือทันที “ทุกท่าน เป็นฉันที่หุนหันเกินไป ขอบคุณหลี่ไต้ซือที่ยื่นมือออกมาช่วยสาวน้อย ช่างเถอะ เงินสองแสนที่ฉันจ่ายไป ถือเป็นค่าทำขวัญของสาวน้อยคนนี้แล้วกัน”
“หา?”
หญิงสาวแต่เดิมหมดหวังไปแล้ว ไม่มีเงินก็ไม่สามารถช่วยน้องชายของเธอได้ แต่ตอนนี้เงินสองแสนกลับมาอีกครั้ง ทำไมเธอจะไม่ดีใจ
เพียงแต่ พอนึกถึงภาพอันน่าสยดสยองเมื่อครู่
ผู้หญิงคนนั้นส่ายหัวตามสัญชาตญาณและพูดด้วยความกลัว “ไต้ซือไม่เป็นไรดีกว่า แจกันศิลาดลนั่นเป็นของปลอม ฉันสมควรจะขอโทษคุณด้วย ไม่สมควรรับเงินมา”
“เอาไปเถอะ ไม่เป็นไร” หลี่เซียนจือหันกลับมา น้ำเสียงแฝงความปลอบใจ
พูดไปแล้วก็แปลก
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนนี้ ความกลัวในใจของหญิงสาวก็ค่อยๆ จางหายไป
“ลู่เฟิง ในวิลล่ามีเงินสดไหม?นำเงินสองแสนมาให้หญิงสาวคนนี้ที เดี๋ยวฉันจะคืนเงินให้นายภายหลัง” จางหลิ่งกล่าว
“ได้ได้”
ลู่เฟิงพาหญิงสาวออกไป
ฟู้ว ฟู้ว!
ทันใดนั้น บรรยากาศที่แต่เดิมผ่อนคลายลงอีกครั้งก็รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง
จางหลิ่งจ้องไปที่โล่เฉินและเอ่ยออกมาทีละคำ “ตอนนี้ถึงเวลาคิดบัญชีของพวกเราแล้ว ฉันจางหลิ่งมีแค้นต้องชำระ นายทำให้อับอายขายหน้าหลายครั้ง ฉันจะฆ่านาย!”
พูดจบ เขาก็คล้ายกังวลว่าหลี่เซียนจือและคนอื่นจะเข้ามาห้ามอีก
จางหลิ่งมองไปรอบๆ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ทุกท่านได้โปรดมองอยู่ข้างๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับทุกท่าน หวังว่าท่านจะไม่ทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์ เจ้าหนุ่มนี้โอหังอวดดี เมื่อบอกว่าตนเป็นท่านปรมาจารย์ อย่างนั้นก็คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ฉันสู้กับเขาไม่ถือเป็นความผิด”
“อาศัยตัวนาย คู่ควรให้นายท่านลงมือแล้วหรือไง”
ฉินต้าวจื่อหัวเราะอย่างเย็นชา เขาส่งเสียงจึ๊ปากและเอ่ยขึ้น “พวกเรามาเปรียบเทียบกันสักหน่อยดีกว่า ถ้านายสู้ไม่ได้แม้กระทั่งฉัน ก็อย่าได้พูดถึงนายท่านเลย ”
“ฉินต้าวจื่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย ไสหัวไปซะ”
“นายกลัวแล้ว!”
จางหลิ่งหัวเราะลั่น “ฉันกลัวงั้นหรือ?ไอ้แก่อย่างนาย ฉันไม่เห็นอยู่ในสายตามาตั้งนานแล้ว ในเมื่อนายรนหาที่ตาย ฉันก็จะช่วยสงเคราะห์!”
“ฆ่า!”
การต่อสู้ปะทุขึ้น
ไม่มีใครเข้าไปห้าม แต่กลับมองอย่างไม่วางตา
ทั้งสองคนล้วนเป็นนักพรต แน่นอนว่าไม่สามารถต่อสู้ระยะประชิดได้ แต่จะต้องรักษาระยะห่างในการทำมุทราเพื่อร่ายวิชาคาถา
อีกทั้งยังต้องใช้เวลา
ยิ่งนักพรตมีพลังมากเท่าไร ความเร็วในการทำมุทราก็จะยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น เมื่อปะทะกันก็จะได้เปรียบมากกว่า
หรือสิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยก็คือ ในระหว่างการทำมุทรา ถือเป็นจุดอ่อนของนักพรตอีกด้วย
ตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่จางหลิ่งกำลังทำมุทราอยู่ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนี้ก็มากเพียงพอที่จะให้หลี่เซียนจือเข้าประชิดได้ ในฐานะนักพรต หากถูกนักบู๊เข้าใกล้ ผลที่ตามมาก็ไม่ต้องคาดคิด
นักพรตนั้นบอบบางเกินไป
วิชาคาถาจำพวกสาปแช่งผู้อื่นจากระยะไกล ทั่วทั้งใต้หล้าก็มีอยู่เพียงไม่กี่บท อีกทั้งยิ่งวิชาคาถาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ การฝึกฝนก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น นักพรตที่มีพลังเบาบางไม่สามารถเข้าใจได้เลยเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนจึงเลือกที่จะฝึกบู๊
ผลลัพธ์รวดเร็ว และมีพลังก้าวร้าว
แน่นอนว่า หากสามารถฝึกฝนวิชาคาถาให้อยู่ในระดับสูงหรือจุดสุดยอดได้ อย่างนั้นก็ถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง
ปรมาจารย์คนหนึ่ง นอกเสียจากจะถูกบีบคั้นจนไร้หนทาง ก็มักจะไม่กล้ายั่วยุเทียนเซียน
เทียนเซียน ถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง เทียนเซียนที่อยู่ในชั้นสุดยอดสามารถใช้วิชาสาปฆ่าเพื่อฆ่าปรมาจารย์ที่มีระดับต่ำกว่าจากระยะไกลได้
จะว่าไปแล้ว
จางหลิ่งและฉินต้าวจื่อมีความแข็งแกร่งพอๆ กัน อีกทั้งยังมีวิชาคาถาหลายอย่างเหมือนกัน
แต่ล้วนเป็นแค่วิชาคาถาเล็กๆ เท่านั้น
“คาถาเฉียนหยวนของนายล่ะ ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวจะหมดโอกาสซะก่อนนะ”
“ตามที่นายร้องขอ”
ใบหน้าของฉินต้าวจื่อเย็นชา ฝ่ามือของเขาเปลี่ยนไป ลำแสงสีขาวสพุ่งออกมาจากปากของเขา
แสงสีขาวนั้นพร่างพราวสุดขีด
แสงนั้นแฝงพลังระดับหนึ่งต้องการดูดกลืนจางหลิ่งเข้าไป
“พวกลูกไม้เล็กน้อยๆ ”
“นายเปิดตามองให้ดีๆ ว่าฉันจะทำลายวิชาของนายยังไง”
จางหลิ่งคำรามจากนั้นจึงคว้าออกไปกลางอากาศ และปรากฏดาบสีแดงเพิ่มขึ้นมา
“กระบี่ตะวัน”
ชริ้ง
ดาบสีแดงตวัดลงมาก่อนจะทำลายแสงสีขาวลงและกระทบใส่ฉินต้าวจื่อจนกระเด็น
“พรูด”
ฉินต้าวจื่อล้มลงบนพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปาก สีหน้าตกใจ
จางหลิ่งก้าวถอยหลังไปสามก้าว แล้วหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ฉินต้าวจื่อ กล้ามาสู้กับฉัน!วิชาของนายถูกฉันทำลายไปแล้ว หากฉันคิดจะจัดการนายก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย”
“แก!” ฉินต้าวจื่อไม่ยอมแพ้
“เห็นแก่ที่เป็นนักพรตเช่นเดียวกัน ฉันจะละเว้นนายสักครั้ง ตอนนี้ฉันจะฆ่าไอ้เด็กหน้าขนนั่น หากใครกล้าเข้ามาขวางก็อย่าหาว่าฉันจางหลิ่งโหดเหี้ยม”
ไม่มีใครเอ่ยพูด
สาวงามต้องการจะเอ่ยปากแต่ก็หยุดลง ในขณะที่หลี่เซียนจือเหลือบมองไปยังโล่เฉิน ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ส่วนคนอื่นๆ บางคนก็รู้สึกสนุกบนความทุกข์ของผู้อื่น บางคนก็มีสีหน้าสนุกสนาน
ส่วนมากกำลังรอชมละครฉากเด็ด
“นายท่าน ทำให้คุณต้องอับอายแล้ว”
ฉินต้าวจื่อสีหน้าขมขื่น รู้สึกละอายใจ
“ไม่เป็นไร คาถาเฉียนหยวนของนายเป็นวิชาที่ทรงพลังวิชาหนึ่ง อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่ากระบี่ตะวันด้วย แต่ว่าวิธีฝึกฝนของนายไม่ถูกต้อง วันหลังฉันจะชี้แนะนาย”
“จริงเหรอ?ขอบคุณนายท่านอย่างยิ่ง”
ฉินต้าวจื่อปีติยินดี
ความซึมเศร้าที่ได้รับความพ่ายแพ้หายไป อีกทั้งยังมองไปที่จางหลิ่งอย่างแปลกประหลาดแทน
ช่างเป็นตัวตลกจริงๆ ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวหากนายท่านชี้นิ้วจัดการนายให้หมอบลงบนพื้นอย่างราบคาบขึ้นมา นายจะมีสีหน้ายังไง ยังมีหน้ามาทำตัวโอหังอยู่อีก”
อย่างไรก็ตาม ฉินต้าวจื่อยังไม่รู้เรื่อง
ตอนนี้โล่เฉินรู้สึกกังวลเล็กน้อย ช่วงนี้ยังเป็นระยะอ่อนแอของเขา ไร้หนทางลงมือได้ จางหลิ่งสามารถฆ่าเขาได้อย่างสมบูรณ์
ควรทำอย่างไรดี?
หากจะหลบหนีไปนี่ก็ออกจะน่าอับอายมากไปหน่อย!
เวรเอ๊ย
คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ฝึกอมตะอันยิ่งใหญ่ จะต้องมีเวลาตื่นตระหนกแบบนี้ด้วย
ถ้ารู้ล่วงหน้าแล้วไม่มาก็คงดี
“ไอ้หนุ่ม ถ้านายยอมคุกเข่าขอความเมตตา และขอขมาต่อความผิดที่นายก่อไว้ก่อนหน้านี้อย่างจริงใจ ถ้าฉันพอใจแล้วฉันอาจจะยอมละเว้นนายสักครั้ง”
“ความผิด?ฉันผิดตรงไหน”
แม้จะไม่มีทางลงมือได้ แต่ก็ไม่สามารถเหยียบย่ำศักดิ์ศรีได้
ถ้าไม่ได้การจริงๆ ก็ให้ฉินต้าวจื่อสู้สุดชีวิตดู
จากนั้นจึงค่อยรับเป็นศิษย์แล้วอบรมสั่งสอนดีๆ เพื่อเป็นการตอบแทน
โล่เฉินมีสีหน้าสบายๆ เขาจิบชาก่อนจะเอ่ยปากอย่างไม่รีบร้อน
“พลังมีไม่มาก แต่อารมณ์กลับไม่น้อยเลย สมกับที่กล่าวกันว่า ความคิดที่แสดงออกนั้นเกิดจากจิตใจ ก่อนหน้านี้ฉันยังคงสงสัยอยู่บ้าง เมื่อเห็นนายแล้วฉันก็คิดว่าคำพูดของบรรพบุรุษเก่านั้นมีเหตุผล”
เพียงชั่วครู่
ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น
สายตาที่ผู้คนมองไปยังโล่เฉินเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสับสน ยั่วยุจางหลิ่งแบบนี้ มีประโยชน์อะไรกัน หรือว่าตนจะมีความสามารถอะไรจริงๆ ?
หลี่เซียนจือมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉันขอเดาว่านายคงไม่เคยออกจากมณฑลซีหนันเลยสินะ ดังนั้นถึงได้ทำตัวเป็นกบในกะลา สายตาคับแคบ”
โล่เฉินวางถ้วยชาลง ดวงตาร้อนแรง “นายคิดจะฆ่าฉัน ยังไม่ได้ ยังห่างชั้นอีกไกล”
ฟืด
จางหลิ่งโกรธจนไม่อาจควบคุมได้อีก
พลังจิตของเขาระเบิดออก ต้นไม้ใบหญ้าในสวนปลิวกระจาย
“ดีดีดี ฉินต้าวจื่อเคารพนายมากขนาดนี้ ฉันถือว่านายมีดีจริงๆ มา พวกเรามาสู้กันสักตั้ง สู้กันให้รู้เป็นรู้ตาย”
ฉินต้าวจื่อแทบจะหัวเราะออกมา
ต้องการสู้เป็นสู้ตายกับท่านปรมาจารย์ จะส่งมอบหัวให้ก็ไม่เห็นจะต้องใช้วิธีนี้
เฮ้อ น่าเสียดาย
นายเองก็ถือเป็นอัจฉริยะ ทำไมถึงได้รังเกียจชีวิตอันยืนยาวกัน
ฉินต้าวจื่อแอบส่ายหัวและถอนหายใจอย่างลับๆ แต่เมื่อเห็นโล่เฉินนั่งนิ่งไม่ขยับ เขาก็รู้สึกงงงวย นายท่านกำลังรออะไร?
แค่ปล่อยรังสีชี่แท้ออกมาก็สามารถฆ่าจางหลิ่งได้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ลงมือ
หรือว่า นายท่านจะยังต้องการแสร้งทำตัวอวดเบ่งต่อไปอีกหน่อย?
เอ๊ะ….
นายท่านมองฉันแบบนี้ นี่มันสายตาอะไรกัน หมายความว่ายังไง?