จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 121
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ภายนอกศาลา ท่าทีของลู่เฟิงนั้นอ่อนโยนและเป็นมิตร
“ที่แท้ก็เป็นทายาทของตระกูลโล่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะรู้ถึงความลับตระกูลลู่เรา แม้ว่าจะมีเพียงคำไม่กี่คำในลำดับวงศ์ตระกูล แต่ในนั้นกลับเน้นว่าบรรพบุรุษมีสหายสนิทผู้หนึ่งชื่อว่าโล่เฉิน เช่นเดียวกับนายท่าน”
“ฉันเองก็เพราะต้องการรำลึกถึงบรรพบุรุษ ถึงได้มีชื่อแบบนี้”
โล่เฉินเอ่ยอย่างลวกๆ
ลู่หยูเขียนชื่อเขาไว้ในลำดับวงศ์ตระกูล สิ่งนี้เขาไม่แปลกใจอะไรนัก
ในตอนนั้นลู่หยูเข้าสู่วิถีแห่งชาและก้าวถึงจุดสูงสุด โล่เฉินสอนให้เขาฝึกฝน จนในที่สุดเขาก็เกือบจะก้าวไปสู่เทียนเซียน
เรียกได้ว่าทั้งสองเป็นทั้งศิษย์อาจารย์และเพื่อนฝูง
“นายท่านโล่ ต่อไปติดต่อกันบ่อยนะครับ ยังมีเรื่องสูตรลับของชาก้อนเมฆสดชื่นรวมถึงเรื่องการรักษาอาการป่วยของพ่อผม….”
โล่เฉินหัวเราะ “สูตรลับมะรืนนี้นายไปเอาที่ตึกซิงหยุน ฉันจะจัดการไว้ให้ ส่วนเรื่องอาการป่วยของพ่อนาย สำหรับฉันแล้วเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย เพียงแต่ตอนนี้ฉันยังลงมือไม่ได้ จะต้องรออีกสักหน่อย ฉันออกใบสั่งยาให้แล้ว นำมันไปต้มดื่มก็จะช่วยรักษาอาการให้คงที่ได้ชั่วขณะหนึ่ง ”
“ขอบพระคุณนายท่าน”
ลู่เฟิงเช็ดกรอบตาที่เปียกชื้น เขาเอ่ยสะอื้น “คุณเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลลู่เรา ถึงแม้ว่าตระกูลลู่จะหดซ่อนตัวอยู่ในเมืองเจียง แต่ว่าสืบทอดมาเป็นเวลากว่าพันปี ย่อมต้องมีสหายสนิทอยู่บ้าง หากนายท่านต้องการอะไร โปรดอย่าได้ลังเลที่จะเอ่ย ตระกูลลู่ไม่มีทางปฏิเสธแน่”
“ฉันจะจดจำไว้”
หลังออกมาจากศาลา โล่เฉินก็กลับสู่สวน
ไต้ซือหลายคนลุกขึ้นทักทาย
“ทุกคนตามสบายเถอะ ฉันขอตัวก่อนแล้ว เอ่อ ฉินต้าวจื่อ เฉินชาง และหลี่เซียนจือ พวกนายสามคนมากับฉัน”
โล่เฉินพูดจบก็หันหลังเดินไป
“น้อมส่งนายท่าน”
ทุกคนเคารพนอบน้อม
พวกเฉินชางสามคนมีสีหน้าสงสัย และตามโล่เฉินไปอย่างใกล้ชิด
“นายท่าน พวกเราจะไปไหน?”
“ขึ้นรถ ไปตึกซิงหยุน ฉันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้พวกนาย”
พวกฉินต้าวจื่อสบตากัน พยายามระงับความปีติยินดีและความตื่นเต้นในใจเอาไว้
วื้นวื้น
อารมณ์อันตื่นเต้นส่งผลให้ฉินต้าวจื่อขับรถเร็วจนเสียแทบจะบิน
……
เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา ที่สำนักงานผู้อำนวยการตึกซิงหยุน
มีกระดาษขาวสี่แผ่นอยู่ข้างหน้าโล่เฉิน
ตอนนี้ เขากำลังเขียนลงไปอย่างรวดเร็ว
ฉินต้าวจื่อ หลี่เซียนจือ และเฉินชางกำลังยืนอยู่ข้างๆ คาดเดาได้ถึงบางอย่าง พวกเขากำหมัดแน่น ในใจปั่นป่วน
ตื่นเต้นจนถึงกระทั่งไม่อาจควบคุมลมหายใจเอาไว้ได้อยู่ ภายในห้องสำนักงานปรากฏสายลมแผ่วๆ ขึ้นมา
ฟ่านหงชางกำลังยืนบริการอยู่ข้างหนึ่ง
“โอเค เรียบร้อย”
ทันใดนั้น โล่เฉินก็สะบัดมือโยนปากกาทิ้ง เขาเอ่ย “หงชาง นี่เป็นสูตรลับของชาก้อนเมฆสดชื่น มะรืนนี้จะมาคนจากตระกูลลู่มา นายเอาสิ่งนี้ไปให้เขาก็พอ”
“ครับ อาจารย์”
โล่เฉินหยิบกระดาษอีกสามแผ่น บนนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรมากมาย หากคนธรรมดามองเห็น ก็จะรู้สึกงุนงงไม่เข้าใจ
แต่สำหรับผู้ฝึกฝนก็จะพบว่า นี่คือเคล็ดวิชายุทธและวิชาคาถา
“เฉินชาง หลี่เซียนจือ พวกนายสองคนถือเป็นอัจฉริยะ โดยเฉพาะหลี่เซียนจือ ความคิดของนายก้าวหน้าอย่างยิ่ง ฉันชื่นชมนายอย่างมาก”
ตุบ
หลี่เซียนจือไม่พูดไม่จา เขาคุกเข่าลงตรงนั้นทันทีและเอ่ย “ได้โปรดนายท่านรับผมเป็นศิษย์ เซียนจือจะอุทิศชีวิตจนกว่าชีวิตจะหาไม่ให้ท่าน”
โล่เฉินตกใจ
เขาไม่คาดคิดว่าหลี่เซียนจือจะเด็ดขาดขนาดนี้ แต่ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้ยอมตกลงง่ายๆ
เขาเคยผ่านการถูกทรยศหักหลังมาแล้วครั้งหนึ่ง
ตอนนี้ โล่เฉินมองที่จิตใจเป็นอันดับแรกในการรับศิษย์ ส่วนพรสวรรค์คือเรื่องอันดับสอง
“ฉันเข้มงวดกับการรับศิษย์อย่างยิ่ง นายมีพรสวรรค์มาก ถือว่าผ่านมาตรฐานของฉัน แต่ว่าตอนนี้ยังคงไม่เพียงพอ”
สีหน้าของหลี่เซียนจือคล้ำลง
“แต่ว่า ฉันทดสอบนายก่อนได้ รวมถึงเฉินชางด้วยเช่นกัน ถ้าผ่านการทดสอบ ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ที่จะรับเป็นศิษย์”
เฉินชางและหลี่เซียนจือมองหน้ากันอย่างยินดี
“เคล็ดวิชายุทธสองอย่างนี้ฉันมอบให้พวกนาย พวกนายลองไปดูกันเอาเอง ฉันจะไม่ชี้แนะ พวกนายจะเลือกอันไหนก็ได้ หรือจะฝึกทั้งสองอย่างก็ได้เช่นกัน ฉันขี้เกียจจะไปใส่ใจ”
เคล็ดวิชายุทธ
แม้ว่าเมื่อครู่จะเดาออกแล้ว แต่เมื่อได้ยินสองคำนี้ เฉินชางและหลี่เซียนจือก็ยังคงตกตะลึง
วิถิบู๊และการบำเพ็ญนั้นแตกต่างกัน
แก่นแท้ของการบำเพ็ญคือพลังจิต สิ่งนี้เป็นเรื่องลวงตาไม่อาจจับต้องได้ ต้องใช้วิชาคาถาแสดงมันออกมา
ส่วนวิถีบู๊ กำลังภายในนั้นสามารถสัมผัสได้ ชี่แท้เองก็สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นจึงตรงไปตรงมามากกว่า
เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของนักบู๊ ล้วนอาศัยสองหมัดหรืออาศัยศิลปะกังฟูจากสองมือเท้าที่ตนค้นพบเพื่อต่อสู้
สำหรับเคล็ดวิชายุทธ นี่ถือเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ มีเพียงตระกูลใหญ่เท่านั้นที่มี
สิ่งนี้ล้ำค่าเกินกว่าอะไรเทียบ
ยกตัวอย่างเช่น นักบู๊ในขอบเขตเดียวกัน หากคนหนึ่งมีเคล็ดวิชายุทธ อีกคนไม่มี อย่างนั้นผู้มีเคล็ดวิชายุทธย่อมถือว่าแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
“นายท่าน โปรดรับการคำนับจากผม”
ทั้งสองโขกหัวคำนับสามครั้ง
โล่เฉินพอใจอย่างมาก แต่ใบหน้ากลับยังเย็นชา “เคล็ดวิชายุทธที่มอบให้นาย ถึงแม้จะยังไม่ใช่ศิษย์ของฉัน แต่ก็ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันด้วย มีบางจุดที่นายต้องฟังให้ดี ห้ามไม่ให้พวกนายทำเรื่องเลวทรามต่ำช้า ไม่ขอให้นายมีคุณธรรมความดี แต่ขอให้นายถามตัวเองได้อย่างไร้ความละอายใด”
“รับคำสั่ง”
“ออกไปโลดแล่น ไม่ก่อเรื่องแต่ก็ไม่หวาดหวั่น ฉันจะสนับสนุนพวกนาย”
“รับคำสั่ง”
“ฝึกฝนเคล็ดวิชายุทธของฉัน หากกล้าทรยศ พวกนายเก้าชั่วโคตรจะถูกลงโทษทุกคน”
เฉินชางและหลี่เซียนจือตกใจจนตัวสั่น แต่ก็ไม่ลังเลและเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “นายท่านโปรดมั่นใจ พวกเราคำไหนคำนั้น ภักดีจนตัวตาย”
“ลุกขึ้นเถอะ”
โล่เฉินเดินไปที่หน้าต่าง มองดูการจราจรด้านล่าง ราวกับว่ากำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
หลี่เซียนจือฉลาดอย่างยิ่ง เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “นายท่าน คุณคงไม่ได้มอบเคล็ดวิชายุทธอันล้ำค่าและทรงพลังนี้ให้กับพวกเราอย่างไร้เหตุผลแน่ หากคุณมีคำสั่งใดๆ ได้โปรดพูดมาได้เต็มที่”
“พวกนายไปเมืองหลวง”
ตึง
เฉินชางและหลี่เซียนจือตกใจถามเสียงหลง “ไปเมืองหลวง?”
โล่เฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ฉันมีข้อพิจารณาอยู่เล็กน้อย พวกนายลองฟังดู ประการแรก พลังของพวกนายแข็งแกร่งมาก พวกกับเคล็ดวิชายุทธ ก็มีแค่ปรมาจารย์เท่านั้นที่สามารถต่อกรกับพวกนายได้ การรั้งอยู่ที่มณฑลซีหนันต่อไม่มีความหมายใดๆ ”
“เมืองหลวงเป็นถ้ำเสือรังมังกร ปรมาจารย์มีอยู่ไม่น้อย นักบู๊กำลังภายในก็มีอยู่มากมาย นอกจากนี้พวกตระกูลใหญ่ก็มีเคล็ดวิชายุทธสืบทอดกันมา สำหรับคนมีพรสวรรค์อย่างพวกนายแล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่สุดในการฝึกฝนประสบการณ์”
“ไปเมืองหลวง พวกนายจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซีหนันเล็กเกินไป หดตัวอยู่ที่นี่ ไม่ต่างจากกบในก้นบ่อ เมืองหลวงต่างหากถึงเป็นศูนย์กลางที่แท้จริง ผู้ยิ่งใหญ่รวมตัวมากมาย รุ่งเรืองเฟื่องฟู”
พวกหลี่เซียนจือสั่นสะท้าน และแอบครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ไม่เอ่ยอะไร
“ประการที่สอง ฉันต้องการให้พวกนายปูทางให้ฉัน”
“ปูทาง?”
โล่เฉินหันกลับมา สีหน้าเคร่งขรึม “ภายในสามปี ฉันจะไปเมืองหลวง ถึงตอนนั้นจะเป็นพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทุกอย่างจะต้องถูกกวาดล้างใหม่อีกครั้ง พวกนายเป็นปรมาจารย์ อันที่จริงไม่ได้ช่วยอะไรฉันมาก สิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปรมาจารย์ก็ถือตระกูล”
“เวลาสามปีที่ ฉันต้องการให้พวกนายได้รับการสนับสนุนจากตระกูลใหญ่มากมายในเมืองหลวง หรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลใหญ่พวกนั้น หรืออาจจะเป็นพวกนายเองที่สร้างอิทธิพลของตนเองขึ้นมา”
“ฉันไม่สนว่าพวกนายจะใช้วิธีอะไร สิ่งที่ฉันอยากจะได้เห็นก็คือ สามปีให้หลัง พวกนายจะแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้เกิดลมฝนในเมืองหลวงได้”
หลี่เซียนจือและเฉินชางเหงื่อตกท่วมตัว รู้สึกได้ถึงภูเขาลูกใหญ่บนบ่าของตน
ฟ่านหงชางก้าวขึ้นไปถามว่า “อาจารย์ นี่จะยากเกินไปสำหรับพวกเขาหรือเปล่า ต่อให้เป็นปรมาจารย์ แต่ในเมืองหลวงก็ยังคงต้องระมัดระวัง เวลาสามปี พวกเขายังไม่แน่ว่าจะสามารถก้าวสู่การเป็นปรมาจารย์ได้ แล้วจะก่อลมฝนในเมืองหลวงได้อย่างไร?”
“กำลังไม่ได้กำหนดทุกสิ่ง บางครั้งสมองก็สำคัญกว่ากำลัง”
โล่เฉินมองดูพวกเฉินชางที่ดูตื่นตระหนก เขาแอบหัวเราะ “อย่าได้กดดันตัวเองมากเกินไป นี่เป็นแค่บททดสอบ พวกนายทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว หากฉันพอใจ ต่อไปพวกนายจะได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกแห่งวิถีบู๊”
“นายท่าน ผมรับปาก”
หลี่เซียนจือประสานมือ ท่าทางยืนหยัด
โล่เฉินไม่แปลกใจ
ผู้ชายคนนี้เป็นพวกคลั่งบู๊ สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิถีบู๊ได้ ความน่าดึงดูดใจนี้สำหรับหลี่เซียนจือแล้วเขาไม่อาจจะปฏิเสธมันได้เลย
เฉินชางปาดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผาก เขาเอ่ย “นายท่าน วางใจเถอะ พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่ อันที่จริง ผมเองก็คิดอยากจะไปเมืองหลวงมานานแล้ว ไปดูหน่อยว่าโลกที่นั่นกว้างใหญ่และงดงามแค่ไหน”
“ทั้งสองท่าน สิ่งนี้พวกคุณรับเอาไว้”
ฟ่านหงชางส่งโน้ตแผ่นหนึ่งไปให้และพูดว่า “นี่คือคนสนิทที่สุดของฉัน ฉันได้จัดการให้เขาไปต่อสู้ที่เมืองหลวงเอาไว้ ในมือมีกิจการส่วนหนึ่งกุมเอาไว้ ถือเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง หากต้องการก็สามารถไปหาเขาได้ ฉันจะบอกกับเขาเอาไว้ล่วงหน้า”
“ขอบคุณอย่างยิ่ง”
หลี่เซียนจือถาม “นายท่าน พวกเราต้องออกเดินทางเมื่อไหร่?”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี”
โล่เฉินพูดย้ำอีกครั้ง “จำเอาไว้ว่า เมื่อไปที่เมืองหลวงแล้ว ให้ลืมชื่อของฉันไป พวกนายไม่รู้จักฉัน เคล็ดวิชายุทธนั่นก็เก็บมาได้เอง ลืมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับฉันไปให้หมด”
“ผมเข้าใจ”
หลี่เซียนจือและเฉินชางรู้อยู่แก่ใจ ตัวตนของโล่เฉินนั้นไม่ธรรมดา
การดำรงอยู่ของเขาสมควรอยู่ในเมืองหลวงสร้างลมสร้างได้แล้ว แต่กลับมาหดซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวง ซ้ำยังมองว่าสามปีให้หลังจะไปเมืองหลวง บางทีเขาอาจมีบุญคุณความแค้นกับผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่งสักคนในเมืองหลวงสักคนก็เป็นได้”
“ปลอดภัยไว้ก่อน หากตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตก็อย่าได้ครุ่นคิดอะไรให้มากมาย กลับมาเถอะ ในมณฑลซีหนัน ฉันน่าจะปกป้องพวกนายได้”
“นายท่าน พวกเราไปก่อน”
“อืม”
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไป โล่เฉินก็เกิดความรู้สึกขึ้นนับหมื่นพัน
เขายื่นกระดาษสีขาวใบสุดท้ายให้ฉินต้าวจื่อ เขาเอ่ย “นี่เป็นวิชาคาถาที่ทรงพลังคาถาหนึ่ง แข็งแกร่งกว่าคาถาเฉียนหยวนของนายหลายเท่า เหมาะกับนายฝึกฝน”
ฉินต้าวจื่อซาบซึ้งจนน้ำตาไหล “นายท่าน ผมอายุมากแล้ว ไม่ถือเป็นอัจฉริยะอะไร ได้โปรดนายท่านอย่าได้รังเกียจ ให้ผมติดตามรับใช้ด้วย”
“นายเองก็มีภารกิจเช่นกัน”
“นายท่านโปรดแจ้ง”
โล่เฉินนิ่งคิด ก่อนจะเอ่ย “นายไปที่จีนหลิงเถอะ ที่นั่นมีศิษย์ของฉันอยู่คนหนึ่ง ชื่อฉู่เฟิง ถึงแม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแต่เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”
“นายท่าน คุณต้องการให้ผมไปปกป้องฉู่เฟิงหรือ?”
“ต้นอ่อนที่ได้รับการปกป้องนั้นไม่โต นอกเสียจากจะตกอยู่ในช่วงความเป็นความตาย เรื่องอื่นนายไม่ต้องยื่นมือเข้าไป นายกับพวกหลี่เซียนจือเองก็เหมือนกัน ไปจีนหลิงสร้างธุรกิจที่ดี”
ฉินต้าวจื่อตอบรับ
หลังจากที่เขาจากไป โล่เฉินก็เอนพิงลงบนโซฟาด้วยใบหน้าเศร้าโศก
ฟ่านหงชางนั่งอยู่ข้างๆ ถามด้วยความกังวล “อาจารย์ ผมรู้สึกได้ว่าคุณกำลังเครียดและกังวลเล็กน้อย กระจายตัวเข้าสู่เมืองหลวง เรื่องนี้เองก็ทำให้ผมตกใจเช่นกัน หากหลี่เซียนจือและเฉินชางเปิดเผยตัวตนของคุณ นี่เท่ากับหายนะแล้ว”
“ไม่เป็นไร พวกมันไปเมืองหลวงก็เป็นแค่เพียงปลาตัวเล็กๆ สองตัวเท่านั้น การจะทำให้หลันโย่วเวยสังเกตเห็นได้ ยังคงห่างไกลนัก”
“อาจารย์ ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ออกจะเกินจำเป็นไปอยู่บ้าง ขอแค่พลังของคุณฟื้นคืนกลับมา ใครกันจะกล้าเป็นศัตรู เมื่อถึงตอนนั้น หลังฆ่านางปีศาจนั่นได้แล้วคุณก็จะเป็นผู้กุมสวรรค์และโลก”
โล่เฉินส่ายหัว “มันไม่ง่ายขนาดนั้น ฉันมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่ แต่กลับยังหามันไม่เจอ ยิ่งไปกว่านั้น หลันโย่วเวยเองก็ฝึกฝน 《วิชาสามชาติภพ》มานานกว่าสิบปีแล้ว ตอนนี้ก้าวไปสู่ระดับใด ใครจะรู้?”
“ไอ้คนทรยศสมควรตาย!”
ฟ่างหงชางอดด่าขึ้นมาไม่ได้ “ที่เธอทรยศก็เพราะเพื่อ 《วิชาสามชาติภพ》ของอาจารย์ไม่ใช่หรือ หรือว่าเธอจะไม่รู้ว่า 《วิชาสามชาติภพ》ที่อาจารย์ทุ่มเทเลือดเนื้อเขียนขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่อาจเป็นผู้ฝึกอมตะ แต่ชีวิตก็ยืนยาวยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปหลายเท่าแล้ว”
“หงชาง”
“อาจารย์ คุณพูด”
“มีจุดหนึ่งที่ใครก็ไม่รู้ ฉันคิดจะถ่ายทอด 《วิชาสามชาติภพ》ให้กับเธอ”