จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 140
หลิงสุ่ย ตระกูลถัง
“ฟู่”
ไฟลุกโชนขึ้นจากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง ชายคนหนึ่งถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
“คนที่ห้า”
ชายในชุดคลุมนักพรตไม่มีอารมณ์ใด ๆ เขาเหลือบมองไปที่ลูกศิษย์ตระกูลถังที่กำลังตัวสั่นเทาและพูดด้วยท่าทางขี้เล่น “คนที่หก จะเป็นใครดี?”
“หยุดมือเถอะ!”
ดวงตาของถังหมิงกวงแทบปริออก คนเหล่านี้ล้วนเป็นเชื้อสายของตระกูลถัง ที่เหลือรอดมาเพียงยี่สิบคนกลับต้องตายไปแล้วห้าคน
เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร ในใจเขากำลังมีเลือดออก
ชายในเสื้อคลุมนักพรตพูดอย่างเย็นชาว่า “พูดมา นักพรตนั่นเป็นใคร และอยู่ที่ไหน? ฉันไม่สนใจที่จะฆ่ามดปลวดพวกนี้ แต่ถ้านายไม่พูด ฉันก็ได้แต่ต้องมอบวิธีนี้ให้กับนายเท่านั้น”
ถังหมิงกวงกำลังทุกข์ทรมานและลังเล
ด้านหนึ่งคือลูกหลานของตระกูลถัง อีกด้านหนึ่งคือผู้มีพระคุณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถังหวั่นเอ๋อที่อยู่ในสภาพมั่นคงแล้วและมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้เขารู้สึกขอบคุณโล่เฉินอย่างยิ่ง
การขายโล่เฉิน เขาทำไม่ได้
“อ๊าก!”
ในเวลานี้ ลูกศิษย์คนที่หกของตระกูลถังก็อยู่ในสภาพเถ้าถ่าน
“ลุงกวง พูดเถอะ!”
“ลุงกวง ผมยังไม่อยากตาย”
“ผู้มีพระคุณมีวิถีบำเพ็ญสูงส่ง สมควรจัดการเรื่องนี้ได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ”
โล่เฉินฝึกบู๊และเวทย์พร้อมกัน เป็นทั้งปรมาจารย์และมีความรู้ด้านการบำเพ็ญอย่างลึกซึ้งเช่นกัน ถึงแม้ว่านักพรตตรงหน้าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงห่างจากเทียนเซียนอยู่เล็กน้อย
ปรมาจารย์ไม่กลัวเทียนเซียน แล้วนับประสาอะไรกับนักพรตที่ยังไม่ใช่เทียนเซียน
“ตัดสินใจจะพูดแล้ว?”
ถังหมิงกวงกัดฟัน และทำการตัดสินใจอันยากลำบาก “ฉันพูด”
……
สองชั่วโมงต่อมา
เมืองเจียง ตึกซิงหยุน
ในสำนักงานผู้อำนวยการ
ฟ่านหงชางกำลังคุยกับฟ่านหมิงลูกชายของเขา ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงดังขึ้นและตามด้วยประตูที่ถูกเปิดออก
“พวกคุณเข้าไปไม่ได้ครับ…ท่านผู้อำนวยการ เป็นผมละเลยในหน้าที่ พวกเขาทำร้าย รปภ. และบุกเข้ามา” ผู้จัดการทั่วไปของตกซิงหยุนเหงื่อออกท่วมตัว
“พวกนายออกไป”
“เอ่อ ครับ”
ผู้จัดการทั่วไปราวกับได้รับการอภัยโทษ เขารีบพาคนออกไปทันที
ฟ่านหงชางสีหน้าขรึม เขาเอ่ยถาม “คุณถัง คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“คุณฟ่าน ขออภัยด้วย ผมทรยศต่อความไว้วางใจของนายท่านโล่ พี่ชายนักพรตท่านนี้กำลังมองหานายท่านโล่” ถังหมิงกวง รู้สึกละอายใจอย่างมาก
ตอนนี้ฟ่านหงชางมองไปที่ชายใสชุดคลุมนักพรตอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น รูม่านตาของเขาก็หดตัวลง
“เทียนเซียน!”
ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อย “ดีมาก ถึงมากนายจะไม่ใช่ผู้ฝึกบู๊ แต่กลับมีดวงตาที่ไม่เหมือนใคร แต่ฉันยังห่างจากเทียนเซียนอยู่นิดหน่อย ผู้ชายคนนี้พาฉันมาที่นี่ บอกว่านายรู้ที่อยู่ของนักพรตนั่น พูดมาเถอะ!”
ฟ่านหงชางตกอยู่ในอารมณ์ปั่นป่วน มือของเขาเย็นเฉียบและมีเหงื่อออก
เขายืนขวางหน้าฟ่านหมิงเอาไว้ และบังคับให้ตัวเองสงบลง เขาเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่านายท่านมาจากที่ไหน?”
“เมืองหลวง”
บูม!
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้จริงด้วย
ฟ่านหงชางหน้าซีดขาว
จบเห่แล้ว หาเจอได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ เป็นไปได้ยังไง นางปีศาจนั่นส่งคนมาฆ่าอาจารย์แล้ว?
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น” ชายในชุดคลุมนักพรตรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร” ฟ่านหงชางหันไปที่โต๊ะของเขาแล้วพูดว่า “ผมจะโทรหานายท่านโล่ตอนนี้ กรุณารอสักครู่”
วินาทีถัดมา
เขาก็หยิบปืนพกสีดำออกมาจากลิ้นชักแล้วร้องว่า “ไปตายซะ!”
จากนั่นจึงลั่นไกปืน
แต่ว่ากลับไม่มีเสียงปืนดังขึ้นอย่างที่คิดเอาไว้ เขาเห็นแค่เพียงปืนพกสีดำที่ลุกเป็นไฟ ปืนทั้งกระบอกอ่อนตัวลง
“อ๊าก!”
ฟ่านหงชางโยนปืนพกทิ้งแล้วกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
มือขวาของเขามีไฟลุกขึ้น
“พ่อ”
ฟ่านหมิงร้องอุทานแล้วรีบคว้าน้ำในแก้วสาดเข้าไป แต่กลับไม่สามารถดับไฟได้
เพียงไม่กี่วินาที
แขนขวาของฟ่านหงชางก็ถูกไฟเผา เลือดเนื้อแปรเปลี่ยนเป็นขี้เถ้า เผยให้เห็นกระดูกสีขาวด้านใน
“นายท่าน ได้โปรดหยุดเถอะ หากเขาตายแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าคุณโล่อยู่ที่ไหน ได้โปรดท่านมีน้ำใจยั้งมือสักนิดเถิด” ถังหมิงกวงคุกเข่าลงเพื่อขอความเมตตา
ชายในชุดคลุมนักพรตแค่นเสียง ก่อนจะพ่นลมหายใจและดับเปลวไฟลง
แต่แขนของฟ่านหงชางกลับไม่มีอยู่อีกต่อไป
ที่น่าตกใจก็คือ จิตตานุภาพของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ความเจ็บปวดมหาศาลขนาดนี้ยังไม่ทำให้เขาสลบไปได้ มีเพียงความอ่อนแรงขั้นสุดเท่านั้น ใบหน้าของเขาซีดขาว
เหงื่อซึมออกมาชุ่มเสื้อผ้า
ฟ่านหมิงร้องไห้เจ็บปวดและกอดเขาไว้ในอ้อมแขนของเขา
“ทำร้ายพ่อฉัน บรรพบุรุษของฉันจะฆ่าคุณอย่างแน่นอน”
ฟ่านหงชางลุกขึ้นนั่งอย่างตัวสั่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “จะฆ่าจะฟันก็ตามใจท่าน แต่อย่าฝันว่าจะได้รู้ที่อยู่ของอาจารย์”
“โอ้ ยังเป็นพวกกระดูกแข็งอยู่อีก ต้องยอมรับว่า ในฐานะคนธรรมดาทั่วไป สามารถมีพลังใจแบบนี้ได้นับเป็นหนึ่งในหมื่นแสน ไม่เลว!”
ความชื่นชมวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของชายในชุดคลุมนักพรต เขากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “น่าเสียดาย น่าเสียดาย ฉันอยู่ห่างจากเทียนเซียนไปเพียงก้าวเดียว นายเองก็รู้ว่าพลังจิตของฉันนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด อยู่ตรงหน้าฉัน นายจะต้องเชื่อฟังแต่โดยดี ”
“คุณกำลังจะทำอะไร…”
“มองตาฉันสิ”
ทันใดนั้น สายตาของฟ่านหงชางดูว่างเปล่า ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไป เหมือนกับศพเดินได้ตนหนึ่ง
“คุณพ่อ คุณพ่อ คุณเป็นอะไรไป!”
ไม่ว่าฟ่านหมิงจะตะโกนเรียกเสียงดังเพียงใด ฟ่านหงชางก็ยังไม่ได้สติ
“แกทำอะไรพ่อฉัน!”
“ไปให้พ้น!”
ชายในชุดคลุมนักพรตถลึงตา จากนั้นฟ่านหมิงก็ราวกับถูกฟ้าผ่า สมองของเขาปวดร้าวเป็นเสี่ยงๆและสลบไปทันที
“บอกมา อาจารย์ของนายอยู่ที่ไหน?”
“ที่บ้านตระกูลหาน”
ฟ่านหงชางตอบกลับอย่างง่ายดายอย่างยิ่ง
เขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์
ถังหมิงกวงรู้สึกน่าขนลุกทั่วตัว เขาคิดไม่ตก ว่าหากชายชุดคลุมนักพรตคนนี้มีพลังจิตแก่กล้าจนขนาดสามารถควบคุมคนได้ แล้วทำไมในบ้านตระกูลถังยังต้องฆ่าคนเพื่อบีบคั้นให้เขาพูดออกมา
แค่ควบคุมเขาโดยตรงก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ
สิ่งที่ถังหมิงกวงไม่รู้ก็คือ การที่นักพรตใช่พลังจิตในการควบคุมผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก นั่นเพราะเวลาที่กำลังควบคุมผู้อื่น พลังจิตของทั้งสองฝ่ายจะต้องเชื่อมต่อประสานกัน
หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น จะต้องพบกับการสะท้อนกลับอย่างรุนแรง
สำหรับนักพรตแล้วนี่คือหายนะรูปแบบหนึ่งซึ่งอาจส่งผลถึงขั้นพลังจิตทลายลงและเสียสติอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นคนตายที่มีชีวิตอยู่
ความเสี่ยงมากอย่างยิ่ง ซึ่งนี่เป็นแค่เพียงด้านเดียว
ในอีกด้านหนึ่ง นักบู๊นั้นย่อมสามารถต้านทานพลังจิตและการถูกควบคุมได้โดยธรรมชาติ แม้ว่าชายชุดคลุมนักพรตจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจควบคุมถังกวงหมิงที่อยู่ในระดับกำลังภายในขั้นสุดยอดได้
วิถีบู๊และการบำเพ็ญเพียรนั้นก็เหมือนน้ำกับไฟ
และนี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงไม่มีปีศาจที่สามารถฝึกบู๊และเวทย์พร้อมกัน
แต่นี่ยกเว้นโล่เฉิน ระบบที่เขาฝึกฝนนั้นแตกต่างจากผู้ฝึกฝนทั่วไป และมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร
ชายในชุดคลุมนักพรตมีแผนการในใจมานานแล้ว ครั้งแรกที่เขาใช้เปลวไฟเผาแขนของฟ่านหงชางเพื่อให้จิตตานุภาพอันแข็งแกร่งของเขาเกิดจุดอ่อน จากนั้นจึงค่อยเข้าไปควบคุมมัน นี่ง่ายดายและสบายอย่างมาก
” โทรศัพท์ให้เขามาที่นี่เดี๋ยวนี้”
“ได้……ได้”
ฟ่านหงชางทำตามที่สั่ง หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีสายก็ถูกรับ “สวัสดี อาจารย์ ผมมีเรื่องรายงาน รบกวนเชิญมาที่ตึกซิงหยุน”
หลังจากพูดไปไม่กี่คำ เขาก็วางสาย
ชายในชุดคลุมนักพรตแต่เดิมคิดจะถอนการควบคุม แต่เมื่อกลอกตารอบหนึ่งก็มีเรื่องน่าสนใจเกินขึ้น เขาถาม “เมื่อครู่ได้ยินว่าฉันมาจากเมืองหลวง ทำไมถึงได้หวาดกลัว นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย มีความลับอะไรซ่อนอยู่ในนั้น?”
“ฉัน ฉัน…”
“เอ๋?”
ฟ่านหงชางมีการลังเลและไม่สามารถพูดออกมาได้ อีกทั้งชายในชุดคลุมนักพรตก็สังเกตเห็นได้ชัดว่ามีการต่อต้านและดิ้นรนอย่างรุนแรง
เจ้านี่ มีความลับที่ยิ่งใหญ่ปกปิดเขาเหรอ?
ถึงมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่นี่ดูน่าสนใจมาก
ชายในชุดคลุมนักพรตหัวเราะ เขาเพิ่มพลังการควบคุมและถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พูดมา เป็นความลับอะไรกันแน่?”
“ไม่…ไม่สามารถ…”
จมูกของฟ่านหงชางมีเลือดไหลออกมา ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง
“ช่างเป็นพลังใจที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้”
ชายในชุดคลุมนักพรตตกตะลึงไม่คาดคิด เขารู้สึกว่าฟ่านหงชางกำลังจะหลุดออกจากการควบคุม สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นและกระตุ้นความอยากรู้ในใจของเขา
เขาเพิ่มการควบคุมอีกครั้ง
พรูด
ปากของฟ่านหงชางหลั่งเลือดออกมา จากนั้นตามด้วยทวารทั้งเจ็ดที่มีเลือดออก
ถังหมิงกวงตกใจหน้าถอดสี เขาเอ่ยอ้อนวอนอีกครั้ง “นายท่าน คุณฟ่านเป็นเพียงคนธรรมดา ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ความแข็งแกร่งของจิตใจของเขาก็จะพังทลาย จนถึงขั้นอาจสมองระเบิดได้”
“ไปให้พ้น!”
“นายท่าน คุณฟ่านเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงโจว การตายของเขาจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก ถึงแม้ว่านายท่านจะมาจากเมืองหลวง แต่ว่าคุณก็รู้ว่าผู้ฝึกฝนไม่อาจฆ่าคนตามใจชอบได้”
ชายในชุดคลุมนักพรตขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาเคร่งขึ้น
ในตอนนี้เอง ฟ่านหงชางพูดขึ้นช่วงๆ “อาจารย์ เขา… เขาคือ…”
“เขาคือใคร?”
“โล่… โล่เฉิน…”
“โล่เฉิน?”
หัวใจของชายในชุดคลุมนักพรตเต้นแรงขึ้นมาในชั่วขณะ ความหนาวเย็นปรากฏขึ้นอย่างลึกลับ
ช่างเป็นชื่อที่คุ้นเคย เป็นใครกัน?
“ครั้งหนึ่ง… เมืองหลวง… จุด… จุดสูงสุด…”
ครืน
ภายนอก
ฟ้าร้องดังขึ้น สายฟ้าแลบและฝนฟ้าคะนอง
ตึกซิงหยุนเหมือนกำลังสั่นสะเทือน
ในที่สุดชายในชุดคลุมนักพรตก็รู้ว่าเหตุใดชื่อจึงคุ้นเคยนัก ดวงตาของเขาเกือบจะหลุดออกจากเบ้า ปากอ้ากว้างขึ้น
ใบหน้าดูแปลกและบิดเบี้ยว
เป็นเขา?!
ผู้ชายคนนั้น
เขายังไม่ตาย