จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 143
ฟู่
หลังจากฝนตกหนักเป็นเวลาหลายชั่วโมงในที่สุดสายฝนก็ค่อยๆหยุดลง แต่เมฆหมอกบนท้องฟ้าก็ยังคงไม่จางหายไป มีเสียงฟ้าร้องขึ้นเป็นบางครั้ง แต่ไร้วี่แววของฟ้าผ่า
ในศาลา โล่เฉินใช้เข็มมังกรเก้าหาง รักษาอาการบาดเจ็บของฟ่านหงชางให้คงที่
“หงชาง ฉันขอโทษ ฉันทำให้นายต้องพลอยลำบากแล้ว” โล่เฉินรู้สึกผิดอยู่บ้าง
“ฮ่าๆๆ อาจารย์ไม่ต้องโทษตัวเอง ก็แค่แขนข้างหนึ่ง ผมอายุมากแล้ว อย่างมากสุดก็อยู่ได้อีกแค่ยี่สิบปีเท่านั้น ผมจะค่อยๆสั่งสอนฟ่านหมิง ให้เขาคอยรับใช้คุณในภายหลัง”
ฟ่านหงชางไม่ใส่ใจ เขาหันกลับมาพูดว่า “อาจารย์ คนใกล้ตายไม่พูดโกหก คำพูดของฟางหยุนซิวไม่ควรเป็นเรื่องเท็จ เจียงเจิ้งชิงเป็นคนทรยศจริงๆ”
โล่เฉินตกอยู่ในความเงียบ
เจียงเจิ้งชิงคือหนึ่งในสี่รองผู้บัญชาการของหน่วยอ้าน มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยม เมื่อ 10 ปีที่แล้วเขาก็ได้กลายเป็นปรมาจารย์ตัวน้อยไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในสี่รองผู้บัญชาการ
ในหน่วยอ้าน เขาเป็นรองแค่เพียงพ่อของอู่จื่อเย่ว ผู้บัญชาการหน่วยอ้านอู่เสินทงเท่านั้น
ในตอนนั้นโล่เฉินให้ความหวังอันยิ่งใหญ่แก่เจียงเจิ้งชิง เขาตั้งใจเอาไว้ว่าภายหลังจากการเกษียณของอู่เสินทง เขาจะให้เจียงเจิ้งชิงเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการต่อ
แต่ว่า สงครามบนภูเขาเย่นหลิง
เจียงเจิ้งชิงกลับไม่ได้ปรากฏตัว บรรดาผู้นำหน่วยอ้านที่มาเพื่อปกป้องโล่เฉินในเวลานั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าเจียงเจิ้งชิงเป็นคนทรยศ
คืนนั้น โล่เฉินเองก็มีความคิดเช่นนั้น
จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา โล่เฉินที่กำลังจะออกจากเมืองหลวง ระหว่างทางกลับถูกปรมาจารย์ของตระกูลหลง หนึ่งในสามตระกูลใหญ่พบเข้า
เนื่องจากตอนนั้นโล่เฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสและไร้ซึ่งพลังใด ผลลัพธ์คือความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญ
เจียงเจิ้งชิงปรากฏตัวขึ้น เขาสังหารปรมาจารย์ตระกูลหลง และส่งเขาออกจากเมืองหลวง
“อาจารย์ ฟางหยุนซิวบอกว่าเขาเห็นเจียงเจิ้งชิงติดตามหลันโย่วเวยอยู่ นี่เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนทรยศหรือไม่”
ฟ่านหงชางทั้งโกรธและเกลียดชัง
“ความแข็งแกร่งของหน่วยอ้าน อาจารย์คุณเองก็รู้ ถึงแม้ว่าจะมีเพียง 300 คน แต่พวกเขาสามารถต้านทานกองกำลังนับพันได้ ผู้บัญชาการอู่เสินทงเป็นปรมาจารย์ขั้นสูง นอกเหนือจากเจียงเจิ้งชิงแล้ว รองผู้บัญชาการทั้งสามเองก็เป็นปรมาจารย์ เทียนเซียน อีกทั้งยังมีอีกยี่สิบคนที่กำลังก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ เทียนเซียน ส่วนพวกที่เหลืออยู่เป็นผู้แข็งแกร่งเช่นกัน”
“นอกจากนี้ หน่วยอ้านยังเชี่ยวชาญวิธีการโจมตีแบบผสมผสานตามที่อาจารย์ได้สั่งสอน นักบู๊กำลังภายในสิบสองคนสามารถใช้วิธีการโจมตีแบบผสมผสานและกลายเป็นหนึ่งเดียวได้ สามารถต่อกรกับปรมาจารย์ระดับล่างได้”
“ถึงแม้หลันโย่วเวยจะรวบรวมปรมาจารย์มาได้สี่สิบคน เทียนเซียนเก้าคน แต่ส่วนใหญ่นั้นล้วนเป็นปรมาจารย์หรือเทียนเซียนระดับล่าง คุณลองคิดดู ว่าหน่วยอ้านจู่ๆจะพังทลายลงไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร!”
ดวงตาของโล่เฉินสั่นไหว ริมฝีปากเม้มแน่น
ในคืนนั้น การต่อสู้แบบผสานถูกทั้งสามตระกูลตีพ่ายไปอย่างง่ายดาย ซึ่งไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
จุดอ่อนของการต่อสู้แบบผสานมีเพียงโล่เฉิน ผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการของหน่วยอ้านทั้งหกคนเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นี่จึงเหลือเพียงคำอธิบายเดียวคือ เจียงเจิ้งชิงเปิดเผยจุดอ่อนให้แก่หลันโย่วเวย
ไม่อย่างนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่หลานโย่วเวยจะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
อย่างน้อยๆ โล่เฉินคงจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตายแบบนี้ หน่วยอ้านสมควรมีเวลามากพอที่จะส่งเขาออกจากภูเขาเย่นหลิงได้ หรืออาจแม้กระทั่งออกจากเมืองหลวงได้
แต่ว่า ในเมื่อทรยศไปแล้ว ทำไมจู่ๆถึงอยากช่วย?
โล่เฉินส่ายหัวและพูดว่า “หน่วยอ้านแต่ไหนแต่ไรไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบนโลก ฟางหยุนซิวไม่ได้รู้จักเจียงเจิ้งชิงเลยสักนิด ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจึงไม่น่าเชื่อถือ”
“อาจารย์ คุณลืมไปอย่างหนึ่ง”
“อะไร?”
ฟ่านหงชางเอ่ย “สิบสามปีที่แล้ว คุณจัดการชุมนุมบู๊ขึ้นในภูเขาเย่นหลิง ครั้งนั้น เจียงเจิ้งชิงเคยปรากฏตัวขึ้นและคอยรับใช้อยู่ข้างคุณ ในเวลานั้นยี่ชุนชิวเป็นเทียนเซียนไปแล้ว ดังนั้นลูกศิษย์ของเขาอย่างฟางหยุนซิวเองก็ต้องมีส่วนร่วมในการชุมนุมบู๊ด้วยเช่นกัน เขาสมควรจะเจียงเจิ้งชิงได้”
“งั้นหรือ”
โล่เฉินจำได้ไม่ชัด เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ฟางหยุนซิวยังคงเป็นปลาซิวปลาสร้อย เขาจะไปจำได้ยังไง
“หมาป่าตาขาวสองตัว เจ้าคนทรยศ!”
ฟ่านหงชางโกรธจนเลือดลมปั่นป่วน แขนที่หักของเขามีเลือดไหลออกมา
“ใจเย็นก่อน”
โล่เฉินเอ่ยเสียงนุ่ม เขาเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เรื่องล้วนผ่านไปแล้ว รอให้ฉันไปเมืองหลวงในภายหลัง ทุกอย่างจะกระจ่างเอง ตอนนี้ไม่ต้องคิดมาก”
“ใช่”
โล่เฉินช่วยพยุงฟ่านหงชางไปที่ประตูสวนสาธารณะ
ถังหมิงกวงรีบลงจากรถ เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจ “นายท่าน มีอะไรรับสั่ง?”
“ขึ้นรถ ไปโรงพยาบาล”
ในรถ
ฟ่านหงชางมองไปที่ฟางหยุนซิวที่สลบไม่ได้สติ เขาเอ่ยถามอย่างงงงวย “อาจารย์ ทำไมไม่ฆ่าเขา?”
“ไม่จำเป็น เขาอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต นอกจากนี้ ฉันทำลายคาถาเฮยสื่อไป ยี่ชุนชิวสามารถตรวจจับได้ ถ้าหากฟางหยุนซิวถูกฆ่า เขาเองก็อาจจะสังเกตได้แล้วเช่นกัน”
ฟ่านหงชางประหลาดใจ เขาพยักหน้า “ยังคงเป็นอาจารย์ที่รอบคอบ แต่ว่า เขากำลังจะเป็นเทียนเซียน หากรอให้เขาตื่น…”
โล่เฉินโบกมือ เขาเอ่ย “ฉันปิดผนึกพลังจิตของเขาแล้ว และแม้ว่าเขาจะตื่นขึ้น เขาก็ไม่สามารถใช้คาถาได้และเทียบเท่ากับคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น นอกจากนี้ แม้ว่าฉันจะรักษาสภาพของเขาให้คงที่ได้ แต่อวัยวะภายในส่วนใหญ่ของเขาเสียหายไปแล้ว..จะรอดมั้ยนี่ยังคงไม่แน่ชัด”
“อืม หากเขาไม่สมควรมีชีวิตอยู่ รอให้เขาพ้นขีดอันตรายแล้ว ฉันจะจับเขาไปขัง และทำให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ออกมาก่อเรื่อง”
“ได้”
เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล ฟ่านหงชางไม่ได้มีปัญหาอะไรร้ายแรงมาก แขนของเขาถูกพันเอาไว้
ความผิดของถังหมิงกวงโล่เฉินไม่ได้ซักไซร่ไล่ผิด ในเมื่อท้ายที่สุดแล้วถังหมิงกวงเองก็ไม่สามารถต่อกรกับฟางหยุนซิวได้ โล่เฉินจัดการให้เขาไปอยู่ดูแลฟางหยุนซิวในโรงพยาบาลชั่วคราว
จากนั้น โล่เฉินและฟ่านหงชางก็กลับไปที่ตึกซิงหยุน
“ท่านประธาน” ผู้จัดการทั่วไปปรากฏตัวขึ้น
“มีข่าวอะไรหลุดไปหรือไม่?”
“ไม่ เรื่องจัดการตามที่คุณสั่งการไว้ อีกทั้งยังไม่มีการแจ้งความ”
“เสี่ยวหมิงล่ะ?”
ผู้จัดการทั่วไปเอ่ยอย่างกังวล “คุณชายยังคงไม่ได้สติ ฉันไม่รู้ว่าควรพาเขาไปโรงพยาบาลและจัดห้องส่วนตัวให้หรือไม่”
“ไปดูกันสักหน่อย”
โล่เฉินเดินนำมาที่ห้องเพื่อตรวจสอบดู
ฟ่านหมิงแค่ได้รับการกระทบกระเทือนพลังจิตเท่านั้น โชคดีที่ฟางหยุนซิวไม่ได้คิดจะฆ่าเขา มิฉะนั้นหัวของฟ่านหมิงคงระเบิดออกไปแล้ว
สถานการณ์ตอนนี้ หากอยากให้ฟ่านหมิงตื่นขึ้น….
“อาจารย์ ผมตั้งใจจะมอบเครื่องหยกให้กับเสี่ยวหมิง ผมไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว”
“ก็ดี นี่สามารถปลูกฝังความแข็งแกร่งทางจิตของเขา อย่างเร็วสามถึงห้าวัน อย่างช้าครึ่งเดือนเขาก็จะสามารถฟื้นตื่นขึ้นมาได้” โล่เฉินพยักหน้า
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในสำนักงาน
ฟ่านหงชางเป็นกังวลและถอนหายใจเอ่ยขึ้น “อาจารย์ ฟางหยุนซิวยังไม่ได้ส่งข่าวออกไป แต่ถ้าหากเขาไม่ได้กลับไปเมืองหลวงเป็นเวลานาน ยี่ชุนชิวจะต้องกลับมาแน่ ผมเดาว่าพลังของอาจารย์ในตอนนี้ ไม่สามารถต่อกรกับยี่ชุนชิวได้ใช่ไหมครับ?”
“ใช่.”
“หรือว่าอาจารย์ คุณควรฟังคำแนะนำของฟางหยุนซิว ไปต่างประเทศเถอะ ผมรู้ว่าคุณห่วงใยภรรยาของคุณ อย่างมากก็แค่ย้ายครอบครัวไปที่ต่างประเทศด้วยกัน ตอนนี้ทรัพยากรทางการเงินในปัจจุบัน เพียงพอที่จะทำให้อาจารย์และครอบครัวสามารถอยู่ต่างประเทศได้อย่างสะดวกสบาย” ฟ่านหงชางเอ่ยแนะนำ
โล่เฉินคิดอยู่นาน
สุดท้าย เขาก็ส่ายหัว
“อาจารย์ คุณเองก็ได้ยิน ตอนนี้หลันโย่วเวยเป็นแม่ทัพในกองทัพแล้ว นี่น่ากลัวเกินไป ต่อให้อาจารย์จะกลับไปที่จุดสูงสุด ก็ไม่สามารถต่อสู้กับอาวุธนิวเคลียร์ได้นะครับ!”
ฟ่านหงชางกัดฟัน เขาไม่เข้าใจ
“ที่แท้แล้วนางมารนั่นใช้วิธีไหนกันแน่!”
“กลายเป็นแม่ทัพทหารก็แล้วไป แต่นี่เธอกลับได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้ฝึกฝนกองกำลังของตัวเองด้วย แบบนี้ แม้แต่ผู้นำของรัฐ…”
“ระวัง!”
โล่เฉินเอ่ยเสียงเบา
ฟ่านหงชางไม่กล้าพูดต่อ เขาเอ่ยถาม “อาจารย์ คุณมีความคิดอย่างไร?”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะหนีไปตลอดชีวิต ไปต่างประเทศ มีชีวิตที่มั่นคงหลายสิบปี หลายสิบปีแล้วยังไงกัน สุดท้ายก็ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่ฉันจะต้องพบกับหลันโย่วเวย!”
โล่เฉินนอนลงและลูบหน้าผากของเขา
เนิ่นนาน เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “หงชาง ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ เกินความคาดหมายของฉันไปแล้ว ฉันไม่คิดว่าหลันโย่วเวยจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หากวันหนึ่งฉันจะถูกฆ่าจริงๆ … ”
“อาจารย์ อย่าพูดจาไร้สาระ”
ฟ่านหงชางกรอบตาแดงก่ำและคุกเข่าลง
“อาจารย์เป็นผู้ฝึกอมตะ เป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า คนดีสวรรค์คุ้มครอง หลันโย่วเวยนางมารนั่นจะต้องถูกลงโทษแน่ อาจารย์ คุณอย่าได้ยอมแพ้”
“ยอมแพ้?”
โล่เฉินแค่นเสียงหัวเราะ “นายคิดมากไปแล้ว ไม่มีใครมีคุณสมบัติมากพอให้ฉันศิโรราบยอมแพ้ให้ ฉันแต่รู้สึกว่าศึกครั้งใหญ่ในวันหน้า ฉันไม่อาจดูแลหยู่เยนและครอบครัวได้”
“ดังนั้น ฉันหวังว่านายจะเตรียมการเอาไว้ให้ดีที่สุดและทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น อย่าได้กังวลกับฉัน อย่าได้กังวลกับสิ่งใด นายกับเสี่ยวหมิง พร้อมหยู่เยนและครอบครัวไปที่ต่างประเทศซะ หนีไปยิ่งไกลยิ่งดี”