จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 150
กลางดึกอันมืดมิด อากาศค่อนข้างหนาวเย็น
บ้านหลังใหญ่นอกเขตชานเมืองเจียง ณ ปีกหลังของบ้าน
เพล้ง
ถ้วยชาแตกไปทั่วพื้น หงเหลยถิงเตะเก้าอี้กระเด็น ก่อนจะตะคอก “สารเลว กล้ายืนดูความตายไม่ช่วยเหลือ”
“นายท่าน พวกเราจบแล้วใช่ไหม”
เฮยหนิวมีสีหน้าตกใจกลัว เมื่อคิดว่ากว่าตนจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลย แต่เดิมสมควรจะนั่งอยู่ในความรุ่งโรจน์และมั่งคั่ง เป็นคนเหนือคน
คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงพริบตา เขาจะถูกเตะลงมาจากสวรรค์แบบนี้
จะให้เขายอมรับใจได้ยังไง
แต่คนที่ไม่เต็มใจยิ่งกว่าก็คือหงเหลยถิง เขาเอาตัวเข้าสู้มากว่าสิบยี่สิบปี อาณาจักรใต้ดินอันยิ่งใหญ่นี้นึกจะล่มก็ล่มลงไปง่ายๆ
หงเหลยถิงถือได้ว่ามีจิตใจที่เข้มแข็งไม่เลว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะต้องโกรธจนกระอักตายไปแล้ว
“นายท่าน ผมทำตามที่ท่านสั่งไว้ ให้ลูกน้องไปก่อเหตุขึ้นมา แต่ว่าไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรมากนัก ในเมื่อตอนนี้มาถึงจุดนี้แล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมีเมตตาอีกต่อไป!”
เฮยหนิวทำท่าราวกับปลาที่พยายามแหกตาข่าย เขาเอ่ยเสียงเคร่ง “นายท่าน ถ้าจะตายก็ขอตายอย่างเกริกก้อง ผมยินดีจะเป็นคมดาบให้นายท่าน ให้พวกมันได้ชดใช้ราคาเรียนนี้มา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
หงเหลยถิงหัวเราะบ้าคลั่ง ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ
“สุนัขจนตรอกยังกระโดดกำแพงได้ นับประสาอะไรกับคนเรา และยิ่งนับอะไรกับหงเหลยถิง”
“ในเมื่ออยากเล่นนัก ก็เล่นใหญ่ไปเลยแล้วกัน”
“เฮยหนิว ไปบอกพี่น้องที่ภักดีพวกนั้นให้ลงมือต่ออุตสาหกรรมของทั้งสี่ตระกูลใหญ่ สร้างหายนะให้ได้มากที่สุด ยังมี ไปหาคนที่สามารถจัดการกับสี่ตระกูลใหญ่ได้ดีที่สุดมาให้ฉัน…”
หงเหลยถิงชะงัก ก่อนมองไปที่เฮยหนิวและถามว่า “หยางเซียวจับมันได้หรือยัง?”
เฮยหนิวส่ายหัว เขาตอบ “ทุกตระกูลเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว กลัวว่าพวกเราจะแก้แค้น สมาชิกในตระกูลเอาแต่หดหัวอยู่ในกะลา หรือว่า พวกเราจะบุกเข้าไปฆ่าคนถึงบ้านดี?”
“ทำไมจะไม่ได้”
ฟืด
เฮยหนิวสูดอากาศเยียบเย็น แต่เขาก็ได้ยินขึ้นอีกว่า “ไปบอกพวกลูกน้อง อย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ มุ่งเป้าไปที่สี่ตระกูลเป็นหลัก”
“นอกจากนี้ เฮยหนิว นายไปพวกที่เชื่อใจได้เข้าไปในตระกูลหยาง ฉันไม่สนว่านายจะใช้วิธีอะไร แต่ต้องเอาตัวหยางเซียวมาตรงหน้าฉันให้ได้”
“ผู้น้อยรับคำสั่ง”
หลังจากเฮยหนิวจากไป หงเหลยถิงก็เดินออกจากสนาม
แสงจันทร์คืนนี้ซีดขาวเป็นพิเศษ ลมหนาวพัดผ่าน มีเมฆปกคลุม พรุ่งนี้น่าจะเป็นอีกวันที่ฝนตกครั้งใหญ่
“ฉันหงเหลยถิง ตายได้ แต่ไม่พ่ายแพ้ หากครั้งนี้ฉันรอดไปได้ ฉันจะกลับมาเอาคืนเป็นสิบเท่า”
…
เมืองเจียง เขตปินหู
ในฐานะตระกูลชั้นหนึ่ง ตระกูลหยางเคยซื้อที่ดินมากกว่าสิบเอเคอร์และสร้างคฤหาสน์สุดหรูมูลค่ากว่า 800 ล้านหยวน
อันที่จริง ตระกูลหยางเคยไปเยี่ยมเยือนบ้านตระกูลป๋ายแห่งหลิงสุ่ยมาก่อน ดังนั้นเลยใช้มาเป็นต้นแบบ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ไม่ได้ใหญ่เท่ากับตระกูลป๋าย แต่ก็หรูหรามีสไตล์เช่นกัน
ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมโบราณและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
ทางทิศตะวันตกของบ้าน มีวิลล่าอยู่หลังหนึ่ง
ชั้นใต้ดิน ในสระน้ำพุร้อน
หยางเซียวกำลังออกกำลังครั้งใหญ่ และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของคนรับใช้ของเขา เขาตัวสั่นครั้งหนึ่งก่อนจะยุติการเคลื่อนไหว
“ฮู้!”
หลังจากสูดหายใจอย่างพึงพอใจ เขาก็เอ่ยถาม “ตอนนี้ข้างนอกมีข่าวอะไรบ้างแล้ว?”
“พี่เซียว จะยังไงก็ตามหงเหลยถิงก็จบเห่แล้ว ตอนนี้อุตสาหกรรมทั้งหมดของเขาถูกปิดกั้นเอาไว้ ต้นไม้ล้มลิงก็กระจาย ตอนนี้ หงเหลยถิงไม่มีเงิน หาคนก็ไม่มีใครให้ใช้งาน เหลือเขาตัวคนเดียวเท่านั้นแหละ”
ลูกเศรษฐีคนหนึ่งหัวเราะลั่น
ลูกคุณหนูตระกูลชั้นสามและลูกเศรษฐีรีบตามน้ำ และยังไม่วายเอ่ยขึ้น “พี่เซียว ได้ยินมาว่าปฏิบัติการพายุครั้งนี้เป็นคุณที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมา สมกับที่เป็นพี่เซียวจริงๆ เก่งกาจ!”
“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ลูกพี่เป็นถึงจุนเจี๋ยของเมืองเจียงและมณฑล เฝิงเห้าหรานตระกูลเฝิงนับเป็นตัวอะไรกัน เจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นแม้กระทั่งถือรองเท้าให้พี่เซียวก็ยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำไป”
เมื่อได้ฟังคำชม หยางเซียวก็อดยิ้มอย่างภาคภูมิใจเสียไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะคำแนะนำของเขาเมื่อสามวันก่อน ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ก็คงจะไม่ร่วมมือกัน รัฐบาลเองก็คงไม่วางอำนาจมากวาดล้างหงเหลยถิงแบบนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเขาทั้งนั้น
หงเหลยถิง เป็นเขาที่ทำลายมันลง
นั่นเป็นถึงฮ่องเต้อิทธิพลมืดเชียวนะ ถูกเขาจัดการจนล้มพับแบบนี้ ถือเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
ตนต่างหากที่เป็นคุณชายอันดับหนึ่งของเมืองเจียง!
“ฮู้!”
หยางเซียวหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ในใจรู้สึกตื่นเต้น
“หงเหลยถิงดำเนินกิจการในเมืองเจียงมาตั้งนานหลายปีแล้ว แม้ว่าถนนสายสำคัญทุกสายในเมืองเจียงจะถูกปิดกั้น เขาไม่สามารถหนีออกไปได้ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะจับเขา”
“เพื่อป้องกันไม่ให้หงเหลยถิงแก้แค้น ฉันจะไม่ออกไปข้างนอกราวๆครึ่งเดือน พวกนายก็อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฉันแล้วกัน”
“อีกอย่าง พวกนายรู้จักคุณหนูตระกูลไหน หรือสาวสวยที่ไหน ก็เรียกให้มาเล่นสนุกด้วยกันได้”
ลูกเศรษฐีหลายคนหัวเราะ “วางใจได้พี่เซียว จากนี้ไปอีกครึ่งเดือน พวกเราจะอยู่ในวิลล่านี้เสพสุขมัวเมาไปด้วยกัน”
คุณหนูตระกูลชั้นสามเองก็หัวเราะ เธอพูดด้วยเสียงที่ประจบสอพลอว่า “พี่เซียว ตอนนี้ใครบ้างที่ไม่รู้จักชื่อเสียงของคุณแค่ประโยคเดียว คุณหนูตระกูลไหนบ้างที่จะไม่วิ่งเข้ามาออดอ้อนคุณ ฉันมีกลุ่มใน wechat ในนั้นล้วนเป็นพวกคุณหนูในแวดวงสังคม เป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงของเมืองเจียง”
“จริงหรือ?”
“ฉันกล้าโกหกคุณได้ยังไงกัน” คุณหนูตระกูลชั้นสามเอ่ย “วิลล่าใหญ่แค่นี้ คนมากไปก็คงจะไม่ได้ พี่เซียว คุณต้องการผู้หญิงกี่คน นับมาให้ฉัน”
“ยี่สิบหรือสามสิบคนก็ได้แล้ว”
“ตกลง เดี๋ยวฉันจะจัดการให้”
ในเวลาเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามของคฤหาสน์ตระกูลหยาง
ในมุมมืด
มีชายฉกรรจ์หน้าตาดุร้ายกว่า 20 คนกำลังถือมีด ปืน และไม้ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธ
“พี่หนิว ลงมือเลยไหม?”
“ลงมือบ้าอะไรวะ พี่น้องเอ่ย ก่อนที่จะเข้าไปลุยให้ฉัน ถ้าเป็นคนรับใช้ของตระกูลหยางก็แล้วไป แต่อย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์และเด็กไปจัดการพวกคนตระกูลหยางเป็นพิเศษ ยังมี รูปภาพของหยางเซียวเห็นกันแล้วใช่ไหม ถ้าเจอเจ้านั่นก็จับมันเอาไว้ทันที”
“เข้าใจแล้ว!”
ในขณะที่กลุ่มคนเตรียมพร้อมที่จะลงมือก็มีรถเบนซ์คันหนึ่งขับเข้ามา หลังจากนั้นสองสามนาทีก็ตามมาด้วย Audi และ BMW ปรากฏขึ้น
ถัดมาจากนั้น ในทุก ๆ สองสามนาที อย่างมากสิบนาที ล้วนมีรถหรูปรากฏขึ้น
เฮยหนิวมองดูผ่านกล้องโทรทรรศน์กลางคืน และพบว่าในรถเต็มไปด้วยผู้หญิง
“แม่งเอ๊ย พวกเรากำลังสู้แทบตาย แต่ไอ้ลูกหมาหยางเซียวนั่นกลับกล้าเรียกผู้หญิงจำนวนมากขนาดนี้มา ใช้ชีวิตเสพสุขมัวเมา!”
เฮยหนิวแทบจะกระอักเลือด
“พี่หนิว ให้ฉันปะปนเข้าไปไหม”
ทันใดนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งข้างๆเฮยหนิวก็เอ่ยปาก
รูปร่างของเธอมีเสน่ห์อย่างมากจนสามารถพูดได้เต็มปากว่าร้อนแรง หน้าตาแม้ว่าจะไม่ได้สวยจัด แต่ก็ให้อารมณ์เย็นชา
ผู้หญิงคนนี้ชื่อเมาหยา อย่าได้เห็นว่าเป็นผู้หญิงแล้วคิดดูเบาเธอ ฝีมือของเธอไม่ธรรมดา อีกทั้งยังโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง เป็นผู้หญิงที่หงเหลยถิงให้ความสำคัญ
“อาเมา ลักษณะของเธอไม่เหมือนใคร แถมรูปร่างก็ดีขนาดนี้ หากปะปนเข้าไป หยางเซียวจะต้องถูกเธอดึงดูดอย่างแน่นอน เธอจัดการกับเขาได้ง่ายมาก แต่ว่า เธอจะปะปนเข้าไปยังไงนี่สิ?” เฮยหนิวเอ่ยถาม
“จะต้องมีหญิงสาวมาที่ตระกูลหยางอีกแน่ ฉันจะไปขวางเอาไว้แล้วปล้นรถมา”
เฮยหนิวคิด ก่อนจะหยิบปืนพกขึ้นมายื่นให้แล้วพูดว่า “นี่เป็นของที่นายท่านมอบให้ฉัน ตอนนี้มอบมันให้กับเธอ ระวังด้วย เมาเอ๋อ”
“พี่ วางใจได้”
ท่ามกลางความมืด เมาหยาราวกับภูตผีที่หายไปอย่างรวดเร็ว
ประมาณสิบห้านาทีต่อมา รถยนต์ Maserati ก็ถูกขับเข้ามาช้าๆ
“การปล้นรถประสบความสำเร็จ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราจะปะปนเข้าไปได้หรือไม่”
เฮยหนิวพบว่าคนที่ขับคือเมาหยา
รถหยุดที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลหยางราวสองสามนาที หัวใจของเฮนิวและคนอื่นๆ เต้นหนักขึ้นมา ในที่สุด รถยนต์ Maserati ก็ค่อยขับเข้าไป
“เย้”
“สมกับที่เป็นพี่เมา มีฝีมือจริงๆ”
“หยางเซียวหนีได้ยากแล้ว พี่หนิว งานของเราถือว่าเสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อจากนี้พวกเราก็บุกเข้าตระกูลหยางแล้วจัดการเผามันให้เรียบเป็นไง?” ชายใจกล้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
เฮยหนิวโบกมือ “ตระกูลหยางมีคนมากแค่ไหนกันเชียว ส่วนใหญ่เป็นคนใช้ทั้งนั้น หากเผามันทั้งหมด ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ย่อมเป็นคนบริสุทธิ์ อย่าทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้น”
“ยังเป็นลูกพี่ที่รอบคอบ”
“รอข่าวจากเมาเอ๋อ เมื่อเธอควบคุมหยางเซียวได้ พวกเราก็จะเริ่มการโจมตี สั่งสอนพวกลูกหมาตระกูลหยางให้รู้จักทำตัวเป็นคน”
เวลาผ่านไป ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเป็นพิเศษ
เฮยหนิวยังคงกังวลอย่างมาก
ตระกูลหยางจะต้องมีการปกป้องเป็นอย่างดีแน่
เมาหยาถึงจะเก่งกาจแต่ก็เป็นแค่ปุถุชนคนหนึ่ง ถึงจะมีปืน แต่ก็มีกระสุนเพียงห้านัด
“ทำไมยังไม่มีข่าว”
เฮยหนิวกัดฟัน
ผ่านไปอีกห้านาที ในที่สุด โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“หยางเซียวถูกควบคุมไว้แล้ว เขาอยู่ในวิลล่าทางทิศตะวันตก ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องแสดงฝีมือ”
เฮยหนิวฉลาดอย่างยิ่ง เขาแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมหนึ่งบุกเข้าประตูโดยตรงเพื่อดึงดูดความสนใจ ส่วนตนพาคนปีนเข้าทางกำแพงด้านข้างเข้าไป
กำแพงสูงอย่างมาก มีแผงไฟฟ้า กล้องวงจรปิด และสัญญาณเตือนภัยติดตั้ง
แต่ในเมื่อมาแล้ว ย่อมต้องเตรียมพร้อมมาก่อนเช่นกัน
ลิฟต์ยกเริ่มทำงาน และในไม่ช้าคนก็พุ่งเข้าไปในบ้านตระกูลหยางได้ ถึงแม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยหลายคนมองเห็น แต่พวกเขาก็ถูกจัดการทำให้สลบลงอย่างรวดเร็ว
“พวกนายเข้าไปหาคนตระกูลหยาง แล้วจัดการมันหนักๆให้ฉัน แต่ว่าห้ามทำอันตรายถึงชีวิต”
เฮยหนิวเอ่ยสำทับ “ตอนนี้ฉันจะไปที่วิลล่าทางทิศตะวันตกรวมตัวกับเมาเอ๋อ จับตาฟังข่าวจากฉันเอาไว้ อย่ามัวแต่เพลินอยู่ในสงคราม ยังมีอีก จำเอาไว้ว่าต้องระวังความปลอดภัย อย่าได้หุนหันจนขาดสติ”