จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี - ตอนที่ 170
เหยียนเจิงพาโล่เฉินไปที่ลานบ้าน ก่อนจะพูดถึงความสำคัญของภาพวาดที่มีต่อเหยียนหรูยู่อย่าไม่หยุด เพื่อให้เขาล้มเลิกความคิดลง
โล่เฉินใจลอยและไม่ได้ฟังคำพูดใดๆเข้าหูเลยสักคำ
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เย่ถงเหลือไว้บนโลกนี้ อีกทั้งแต่เดิมก็เป็นของเขา ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่นำมันกลับมา
แต่ดูปฏิกิริยาของเหยียนหรูยู่ หรือว่าเขาจะต้องแย่งมันมาโดยตรงจริงๆ?
“ลูกพี่ ที่ฉันพูดนายได้ยินหรือเปล่า รูปนั่นลืมๆมันไปซะเถอะ”
“อือ”
โล่เฉินตอบอย่างไม่เต็มใจ
นิ่งจื่อโหรวและหานหยู่ถิงแอบหัวเราะในใจ พวกเธออยากเห็นความขัดแย้งระหว่างโล่เฉินและเหยียนหรูยู่แทบจะไม่ไหว แบบนี้เขาจะได้ไม่ถูกเหยียนหรูยู่ทำให้หลงใหล
“พี่เขย นี่มันดึกแล้ว พวกเรากลับบ้านตระกูลนิ่งกันเถอะ”
“ใช่ พี่เฉิน ในเมื่อคุณหนูเหยียนไม่ต้อนรับพวกเรา พวกเราเองก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่”
หญิงสาวทั้งสองชักชวน
เหยียนเจิงกังวลมาก เขารีบเข้าไปขวางเอาไว้และเอ่ย “ไม่ไม่ไม่ นี่ยังเช้าอยู่เลย อยู่เล่นต่ออีกสักพัก ลูกพี่ ผมจะพาน้องสาวมาขอโทษคุณ เมื่อกี้เธอหุนหันพลันแล่นแล้ว”
“เหยียนเจิง!”
ทันใดนั้น เสียงเย็นชาก็ดังมาจากประตู
เหยียนหรูยู่ใบหน้ายังคงมีน้ำค้างแข็งปกคลุม ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินยิ่งส่งให้ใบหน้าของเธอดูเย็นชามากขึ้น เธอตำหนิอย่างไม่ได้ดั่งใจ
“ช่างทำให้ตระกูลเหยียนของพวกเราอับอายจริงๆ นายไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรือไง คนไร้การศึกษาคนหนึ่ง ไม่รู้จักมารยาท คิดจะทำลายของของคนอื่นเอาง่ายๆตามใจ คนแบบนี้ต่อให้มีตัวตนสถานะแล้วยังไงกัน”
“น้องสาว เธอพูดน้อยลงหน่อยเถอะ”
เหยียนหรูยู่ไม่ยอมแพ้ เธอโกรธแล้วจริงๆ ภาพวาดนี้เป็นสมบัติสุดรักของเธอ หากเธอมาสายไปอีกสักนิดคงถูกทำลายไปแล้ว
“ตระกูลเหยียนของฉันไม่ต้องการเพื่อนแบบนาย เชิญพวกนายออกไปทันที รีบไป ไม่ส่ง!”
นิ่งจื่อโหรวเม้มปากแดงก่ำและเอ่ย “ใครอยากอยู่ในบ้านของเธอมิทราบ พวกเราไม่ได้ตกต่ำขนาดนั้น ทำไมต้องเอาหน้าร้อนๆไปเทียบก้นเย็นๆของเธอด้วย”
หานหยู่ถิงดึงโล่เฉินและพูดอย่างออดอ้อนว่า “พี่เขย พวกเราไปกันเถอะ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว ได้ไหม”
โล่เฉินรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
เขามองออกถึงความสำคัญของภาพวาดนั้นที่มีต่อเหยียนหรูยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เธอใช้การชมภาพวาดนั้นเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังจิต จนหลายปีมานี้เกิดเป็นความเคยชินไปแล้ว
จู่ๆภาพวาดหายไป พลังจิตของเหยียนหรูยู่จะต้องได้รับอิทธิพลไปด้วยบ้างแน่
“คุณหนูเหยียน คุณเป็นคนธรรมดา ภาพวาดนั้นแต่เดิมไม่ใช่ของคุณ แต่ว่า ในเมื่อคุณได้รับมันไปแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าคุณมีพรหมลิขิตกับมัน”
โล่เฉินชะงักไป ก่อนจะเกิดความคิดขึ้น
“ส่งภาพวาดนั่นมาให้ฉัน ฉันจะรับเธอเป็นลูกศิษย์”
อะไรนะ?
เหยียนเจิงกำลังสับสน ลูกศิษย์ไม่ลูกศิษย์อะไรกัน
ตระกูลเหยียนเป็นเพียงตระกูลชั้นสามในฉู่โจว เหยียนเจิงไม่รู้จักนักบู๊นักพรต แม้จะได้ฟังมาจากที่ประตูโรงแรมสวอนเลคบ้างแล้ว แต่เขาก็คิดไม่ออกและไม่ได้สนใจ
ในทางตรงกันข้าม นิ่งจื่อซวนกำลังสั่นสะท้าน
เขาอิจฉาริษยาแทบตาย
เขาร้องขอสวรรค์ ขอโลก ขอบรรพบุรุษถึงได้สามารถอยู่ในรายชื่อเพื่อเป็นศิษย์ได้ แต่ตอนนี้โล่เฉินกลับเป็นฝ่ายเอ่ยรับเป็นศิษย์ขึ้นก่อน
นี่ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!
“คุณหนูเหยียน นายท่านยอมรับคุณเป็นศิษย์ ถือเป็นเกียรติ อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้ตระกูลเหยียนได้เจริญรุ่งเรือง” นิ่งจื่อซวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“สารเลว!”
ความโกรธของเหยียนหรูยู่ที่แต่เดิมค่อยๆลดลง เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาอีกครั้งแถมยังรุนแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย
ทันทีที่เสียงจบลง สองสามีภรรยาคู่หนึ่งก็วิ่งมาจากไกลๆ
“พ่อแม่”
ชายคนนั้นไม่สนใจเหยียนเจิง เขารีบมาตรงหน้าโล่เฉินและกล่าวอย่างเคารพว่า “คุณชายจิ่ง เสียมารยาทแล้ว คุณมีฐานะอันสูงส่ง มาเยือนที่บ้านตระกูลเหยียนถือเป็นโชคดีของเรา”
ก่อนหน้านี้เหยียนไห่เซิงไม่ได้เชื่อสิ่งที่เหยียนเจิงพูดแต่อย่างใด เมื่อเหยียนเจิงพาโล่เฉินและคนอื่นๆไปหาเหยียนหรูยู่ เขาก็รีบโทรไปถามเพื่อนของเขาทันที
เมื่อเขารู้ว่า “จิ่งเทียน” บดขยี้วีรชนในโรงแรมสวอนเลคลงจริงๆ แม้กระทั่งคุณชายตระกูลโจ่ก็ยังต้องยอมศิโรราบ หวาดกลัวเสียจนเหงื่อแตกพลั่กๆ และรีบตามออกไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อสังเกตได้ว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง เหยียนไห่เซิงจึงเอ่ยถาม
เหยียนเจิงทำได้เพียงบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา เหยียนไห่เซิงทั้งรู้สึกประหลาดใจและดีใจ สามารถเป็นศิษย์ของโล่เฉินได้ อย่างนั้นประโยชน์ที่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย
ก็แค่ลูกศิษย์ ไม่ใช่ผู้หญิงของเขาสักหน่อย
มีอะไรให้ปฏิเสธกัน
“หรูยู่ รีบๆมอบรูปนั้นให้กับคุณชายจิ่งเร็วเข้า ได้เป็นศิษย์ของคุณชายจิ่ง ถือว่าเธอเป็นเกียรติแก่ตระกูลเหยียนของพวกเราแล้ว!”
เหยียนหรูยู่ตาแดงก่ำ เธอเอ่ยเสียงสะอื้นไห้ “พ่อ ทำไมคุณถึงช่วยคนนอก”
หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงามดุขึ้น “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงไม่รู้จักหนักเบาเอาซะเลย แม่ว่าลูกใกล้จะเป็นโรคจิตแล้ว แค่ภาพวาดภาพเดียวกลับทำราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า”
“แม่ คุณ!”
เหยียนหรูยู่เหลือบมองและรู้สึกหมดหนทาง
ทุกคนไม่มีใครเข้าใจเธอ
จู่ๆ น้ำตาเม็ดโตก็ไหลลงมา
“ไม่เอา!”
“ถ้าอยากได้รูปนี้ ก็รอให้ฉันตายไปก่อนเถอะ”
“อย่าบังคับฉันอีก ไม่อย่างนั้น ฉันจะหนีออกไป หรืออาจจะทิ้งตระกูลเหยียนไปเลย”
ปัง
ประตูถูกปิดลง
เหยียนไห่เซิงสองสามีภรรยาเองก็ตกตะลึงไป พวกเขาไม่คิดว่าเหยียนหรูยู่จะมีปฏิกิริยาตอบกลับรุนแรงขนาดนี้
“ช่างเถอะ”
โล่เฉินไม่ต้องการบีบบังคับ เขาส่ายหัวและพูดว่า “คุณลุงเหยียน รูปนั่นเอาไว้ที่เหยียนหรูยู่เถอะ นอกจากนี้ ผมรับหรูยู่เป็นศิษย์เอาไว้ฝ่ายเดียวก่อน นี่คือเบอร์ติดต่อของผม หากวันหลังมีเรื่องสามารถติดต่อผมได้”
“เอ่อ…”
เหยียนไห่เซิงและครอบครัวงงงันไป
นิ่งจื่อซวนเองก็อยากจะตีอกชกหัวขึ้นมา แทบจะทนไม่ไหวอยากถอนหายใจยาวๆ——
ความงามมีสิทธิพิเศษจริงๆด้วย
เกลียดที่เขาไม่ใช่ลูกสาวเสียจริง!
อันที่จริง ความคิดของโล่เฉินนั้นเรียบง่ายมาก
เหยียนหรูยู่ได้ภาพวาดนั้นไป ทุกอย่างล้วนมีลิขิตของตน เห็นแก่เย่ถงบวกกับพลังจิตที่แข็งแกร่งของเหยียนหรูยู่ การรับเป็นศิษย์นั้นถือเป็นเรื่องที่สมควร
หลังออกจากบ้านตระกูลเหยียน พวกหานหยู่ถิงทั้งสามคนก็ยังคงสับสน
อย่างไรก็ตาม โล่เฉินยังคงนิ่งเงียบ
……
ตระกูลเหยียน ที่ลานกว้างภายในบ้าน
หญิงวัยกลางคนไปปลอบเหยียนหรูยู่แล้ว ขณะที่เหยียนไห่เซินมองดูนามบัตรในมือของตนและเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน
“พ่อ พี่เทียนคงไม่ได้ชอบหรูยู่หรือนะ?” เหยียนเจิงถาม
“ใครจะรู้”
เหยียนไห่เซิงรู้สึกตื่นเต้น เขากำนามบัตรไว้แน่น “ไม่ว่าจะยังไง พวกเราก็มีผู้หนุนหลังเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง อ้อใช่ จิ่งเทียนกับตระกูลนิ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน จากนี้ไปนายติดต่อกับนิ่งจื่อซวนให้มากหน่อย เห็นแก่หน้าของจิ่งเทียน ตระกูลนิ่งสมควรจะช่วยพวกเราบ้าง”
“ได้เลย”
เหยียนเจิงมองไปที่ห้องหน้ามุขตะวันตก เขาถามอย่างเงียบๆ “พ่อ ให้ผมลองหาโอกาสขโมยภาพวาดนั่นเอาไปให้จิ่งเทียนดูไหม ต่อให้ตอนหลังจะถูกเหยียนหรูยู่ค้นพบ อย่างนั้นก็สายไปแล้ว เธออาจจะอารมณ์เสียไปสักพัก แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“แม่งเอ๊ย”
เหยียนไห่เซิงเตะหยียนเจิงกระเด็นและตะโกนด่าว่า “เจ้าโง่เอ๊ย ไม่รู้หรือไงว่าเหยียนหรูยู่เห็นภาพนั่นเป็นดั่งชีวิต เมื่อครู่ฉันก็แสร้งทำไปงั้นๆ ต่อให้ตระกูลเหยียนต้องถูกทำลายลง ใครก็ห้ามมาแตะต้องลูกสาวสุดที่รักของฉัน”
“ตระกูลเฟิงในจีนหลิงก็ไม่ได้ จิ่งเทียนก็ทำไม่ได้!”
“ในฐานะพี่ชายไม่รู้จักปกป้องน้องสาว แต่ไปช่วยคนนอกบีบบังคับเธอ ฉันให้กำเนิดลูกชายโง่เง่าอย่างแกได้ยังไง ศักดิ์ศรีของตระกูลเหยียนถูกแกทำลายลงหมดแล้ว ถึงแม้ว่าตระกูลเหยียนจะเป็นแค่ตระกูลชั้นสาม แต่ว่าก็สืบทอดกันมาเป็นร้อยกว่าปี นายรู้หรือเปล่าว่าปู่ของนายตายยังไง ถูกปีศาจทรมานกว่าครึ่งเดือนก็ไม่ยอมปริปากพูดเลยสักคำ นั่นคือศักดิ์ศรี!”
เหยียนไห่เซิงดุด่าขึ้นมาทันพลันด้วยความโกรธ
เหยียนเจิงตะลึงจนอ้าปากค้าง ไม่พูดอะไรสักคำ
“แกไปทบทวนตัวเองให้ดี แล้วไปขอโทษยู่เอ๋อซะ”
พูดจบ เหยียนไห่เซิงก็เข้าไปในห้อง
เขาไม่รับรู้ความเจ็บปวดของเหยียนเจิงแต่อย่างใด
น้องสาวดื้อดึง พ่อไร้ความสามารถมากพอ ส่วนเขาเองก็มีความสามารถจำกัด
ในอนาคต ตระกูลเหยียนอาจต้องแบกรับความโกรธของตระกูลเฟิง
หลายปีมานี้ เหยียนเจิงกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับตระกูล
เพื่อที่จะได้มีสัมพันธภาพที่ดีกับตระกูลชั้นหนึ่ง เขายอมประจบประแจงอย่างไม่รู้สึกละอาย
แม้กระทั่งคนในแวดวงสังคมของฉู่โจวล้วนหัวเราะเยาะเขา น้องสาวมีเกียรติราวกับราชินี แต่พี่ชายกลับก้มตัวให้ผู้อื่นราวกับสุนัข
บนเปลือกนอกที่ดูโผงผาง ไม่แยแส ไม่ใส่ใจอะไร อันที่จริงแล้ว ในใจของเหยียนเจิงเองก็ต้องการที่ช่วยเหลือและพึ่งพา
เหยียนหรูยู่ได้รับความทุกข์ทน ก็สามารถหดหัวร้องไห้ในอ้อมแขนของแม่ เรียกร้องหาการปลอบโยนได้
แต่เขา ไม่ได้
ในฐานะผู้ชาย ผู้สืบทอดของตระกูลเหยียนในอนาคต เขาทำไม่ได้
“เพี๊ยะ”
เหยียนเจิงตบหน้าตัวเองฉาดหนึ่ง ก่อนจะลูบหน้าและรีบเข้าไปในห้องหน้ามุขตะวันตก
ต้องขอโทษน้องสาว
คำพูดของพ่อคืออะไรกัน? น้องสาวเองก็เป็นแก้วตาดวงใจของฉันเหมือนกัน ใครกล้ารังแกน้องสาวฉัน รนหาที่ตาย
……
ฉู่โจว ที่โรงแรมสวอนเลคชั้น48
โจ่ถิงฟางยืนอยู่หน้าบานหน้าต่างที่ยาวจรดพื้นอยู่นานครึ่งชั่วโมงแล้ว ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “ลุงปาน ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะขอคืนสินสอด”