จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 139
บทที่ 139 ให้แกได้ลำพองใจไปก่อน
ฮั่วเจี้ยนเฟิงรีบกระวีกระวาดมา
ครั้งก่อนเสียหน้าครั้งใหญ่ ฮั่วเจี้ยนเฟิงยังคิดอยู่ว่าจะชดเชยให้กลับมาต่อหน้าหวังฟางได้อย่างไร
ฮั่วเจี้ยนเฟิงมองดูแล้ว ขอเพียงหวังฟางสนับสนุน โอกาสที่จะได้อุ้มสาวงามกลับบ้านนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
พอเห็นว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงมาแล้วหวังฟางก็ลำพองใจในทันที “นี่คือฮั่วเจี้ยนเฟิง เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทการลงทุนติ่งซิน เจี้ยนเฟิงเอ๋ย คนพวกนี้คือพี่สาวน้องสาวของน้า แล้วก็โดนบริษัทการลงทุนแห่งนี้โกง นายจะต้องช่วยพวกเราให้ได้นะ นั่นเป็นเงินที่พวกเราจะเก็บไว้ใช้ตอนแก่เชียวนะ”
“อย่างนั้นหรือครับ รอผมติดต่อคนสักครู่นะครับ ตรวจหาความจริงของบริษัทนี้”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่ได้รับรองในทันที แต่ต้องตรวจสอบก่อน ครั้งก่อนเสียหายหนัก ทำให้ตอนนี้ฮั่วเจี้ยนเฟิงทำอะไรรอบคอบมากขึ้น
“นั่นอะไรน่ะ ชุ่ยฮัว ลูกเขยของเธอไม่ได้สืบข่าวอยู่เหรอ ให้เขาบอกกับเจี้ยนเฟิงสิ อย่าทำให้เสียเวลาเลย”
หวังฟางพูดพลางเหลือบตามองจางชุ่ยฮัว
จางชุ่ยฮัวเข้าใจแจ่มชัดว่าหวังฟางกำลังคุยโว แต่ว่าเพื่อที่จะเอาเงินกลับมา จางชุ่ยฮัวก็ตัดสินใจอดทนไว้ ดังนั้นจึงร่วมมือกันเรียกตัวสวี่หมานมา
สวี่หมานได้พบฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ตกตะลึง แต่ก่อนสวี่หมานได้ยินเรื่องของฮั่วเจี้ยนเฟิงมาไม่น้อย นั่นเป็นถึงผู้มีอำนาจคนใหม่ของวงการการลงทุนในเมืองฮ่านเชียวนะ
“ผู้จัดการฮั่ว ผมคือสวี่หมานจากสำนักงานตำรวจ พวกเราเคยเจอกันในงานประชุมสัมมนาครั้งก่อน ไม่คิดว่าจะบังเอิญได้เจอผู้จัดการฮั่วที่นี่”
เห็นท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนของสวี่หมาน ในใจของฮั่วเจี้ยนเฟิงก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมา รู้สึกว่านี่ถึงจะเป็นภาพที่ตัวเองควรจะมีในชีวิต เหตุการณ์ขายหน้าขนาดนั้นในงานวันเกิดของกู้เจี้ยนหมินถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย!
“อ๋อ เสี่ยวสวี่เองหรือ ผมจำคุณได้ คุณสวี่หมานจากสำนักงานตำรวจกลุ่มที่สี่ถูกไหมครับ”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงมีท่าทางเหมือนเจ้าพ่อปฏิบัติต่อน้องชาย
“ใช่ ๆ ๆ ผู้จัดการฮั่วความจำดีจังเลยครับ นึกไม่ถึงว่าจะจำงานของผมได้ด้วย ผมล่ะอิจฉาผู้จัดการฮั่วจังเลย บางครั้งยังคิดอยากจะไปทำงานกับผู้จัดการฮั่วน่ะ”
ถึงแม้สวี่หมานจะมีพื้นฐานตำแหน่งสูงเท่าเพดานแล้ว แม้ว่าจะต้องใช้อำนาจมืดก็ตาม แต่อย่างมากก็ได้เป็นแค่หัวหน้าทีม
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สวี่หมานต้องการ ดังนั้นสวี่หมานจึงอยากจะประจบประแจงฮั่วเจี้ยนเฟิง ถ้าหากได้ติดตามฮั่วเจี้ยนเฟิงล่ะก็ ต่อไปอย่างน้อยก็ได้เป็นเศรษฐีร่ำรวย
“งานที่คุณทำเป็นงานสบาย ๆ มาก พวกเราทำการลงทุนเหมือนเดินบนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ พวกเราพูดถึงเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก่อนเถอะ เอาเงินของพวกคุณน้าคืนมาให้ได้ก่อน”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงพูดอย่างหยิ่งยโส
ตอนนี้สายตาของพวกของจางชุ่ยฮัวมองฮั่วเจี้ยนเฟิงแปลกไป เมื่อครู่ท่าทางของสวี่หมานประจบประแจงฮั่วเจี้ยนเฟิงขนาดนั้น ขับให้ภาพลักษณ์ของฮั่วเจี้ยนเฟิงยิ่งใหญ่ขึ้นมาในชั่วพริบตา
“ใช่ ๆ ผมถามบริษัทการลงทุนนี้แล้ว อำนาจของเจ้าของกิจการไม่ใช่เล็ก ๆ เมื่อก่อนทำบริษัทการเงิน เรื่องจะเอาเงินคืนเกรงว่าจะยุ่งยาก นอกจากนี้ผมยังหาข่าวอย่างละเอียดไม่ได้”
ในตอนที่สวี่หมานกำลังพูดอยู่ หลี่โม่ก็เห็นเงาร่างของฮั่วเจี้ยนเฟิง ด้วยเหตุนี้จึงเดินกลับมา
พอเห็นหลี่โม่กลับมา หลี่ซูเฟินก็มีสีหน้าดูถูกปรากฏออกมาให้เห็นทันที
“แหม สวะอย่างแกทำไมถึงวิ่งกลับมาแล้วล่ะ พี่หวังเอ๊ย พี่บอกมาซิว่าทำไมถึงได้เอาสวะแบบนี้มาเป็นลูกเขยได้ ฮั่วเจี้ยนเฟิงนั่นทั้งรูปหล่อ ทั้งมีความสามารถ อย่างไรก็ดีกว่าสวะนี่ตั้งเยอะ”
“นั่นน่ะสิ ถ้าหากว่าผู้จัดการฮั่วเป็นลูกเขยของพี่หวังล่ะก็ ตอนนี้พี่หวังคงได้ใช้ชีวิตสบาย ๆ อย่างสบายใจเฉิบไปแล้ว พี่สาวน้องสาวอย่างเรา ๆ ก็จะได้อาศัยบารมีไปด้วย และก็คงไม่ต้องเอาเงินมาลงทุนที่บริษัทการลงทุนที่ลงทุนห่วยแตกแบบนี้หรอก”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงพอเห็นว่าหลี่โม่ก็อยู่ด้วย คิ้วก็ตั้งขึ้นมาทันที คิดว่าพอดีเลย วันนี้จะทำให้หลี่โม่ต้องอับอายขายขี้หน้าสักครั้ง หน้าที่เสียไปวันนั้น วันนี้จะต้องเอาคืนมาให้ได้
“สวะอย่างแกก็มาด้วยเหรอ แต่ว่าที่นี่ไม่ต้องการแก หรือไม่แกก็ไปหาเก้าอี้มาให้ทุกคนนั่งไป แล้วก็ไปซื้อน้ำซื้อขนมอะไรพวกนั้น ดีไม่ดีเรื่องนี้ต้องรอถึงบ่ายถึงจะได้ผลสรุป”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงใช้หลี่โม่เป็นพนักงานเล็ก ๆ คอยเป็นเบ๊ให้โดยสมบูรณ์ หลังจากพูดจบยังเปิดกระเป๋าถือ โผล่ธนบัตรแดง ๆ เป็นปึกหนา ๆ ออกมาให้เห็น หยิบออกมาสองสามใบโยนไปทางหลี่โม่ เหมือนกับโปรยเงินให้ขอทานไม่มีผิด
“เรื่องแค่นี้ต้องรอจนถึงบ่าย โทรศัพท์กริ๊งเดียวก็เรียบร้อยแล้ว”
หลี่โม่ก้มหน้าพูด ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขา
“ครอก ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
สวี่หมานกุมท้องหัวเราะออกมาเป็นเสียงหมู ใช้สายตาที่ใช้มองคนโง่มองหลี่โม่
“ฉันไม่ได้ฟังผิดหรอกนะ สวะอย่างแกสามหาวดีนี่ หรือว่าตอนเช้าไม่ได้แปรงฟันมา ตอนพูดถึงเหม็นจนไม่กล้าดม ยังกล้าพูดว่าโทรแค่กริ๊งเดียวก็จัดการได้แล้ว แกคิดว่าแกเป็นใครเหรอ”
พวกของจางชุ่ยฮัวหัวเราะขึ้นมา หลี่โม่นี่มันน่าระอาจริง ๆ ทุกคนก็รู้
ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของหลี่โม่ ทุกคนล้วนคิดว่าหลี่โม่คุยโวโอ้อวด
“แกมันดินเละ ๆ ที่ใช้ก่อกำแพงไม่ได้ ตอนนี้เรียนรู้ที่จะโม้แล้วหรือ แกคิดว่าแกเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้หรือ ไสหัวไปนั่งตรงโน้นไป อย่ามาขวางหูขวางตาตรงนี้”
“แกจะมาเทียบกับผู้จัดการฮั่ว คนหนึ่งก็คงเป็นฟ้าสูง อีกคนก็แผ่นดินต่ำ แกมันคนน่ารังเกียจ เพ้อฝันอยู่ตรงนี้แหละ เรื่องนี้ไม่ต้องให้แกมาจัดการ”
หวังฟางสีหน้าเข้มครึ้ม ตะโกนใส่หลี่โม่ “ไสหัวไปทางอื่น อย่ามาขัดขวางคนอื่นอยู่ตรงนี้ ก่อนจะพูดอะไรก็ใช้สมองสักหน่อย แกขายหน้าไม่เป็นไร อย่ามาลากเอาฉันไปขายหน้าด้วย”
ในใจของฮั่วเจี้ยนเฟิงเบิกบานสุด ๆ ทุกคนต่อว่าหลี่โม่ ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ยิ่งมีความสุข
เพื่อที่จะให้ตัวเองได้มีความสุขนานอีกสักหน่อย ฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาแล้วพูดว่า “ผมโทรศัพท์สักหน่อย ถ้าให้พนักงานของพวกเขาออกมาพูดคุยก็ยังพอเป็นไปได้”
พวกของหวังฟางเต็มไปด้วยความหวังในทันที คนมากมายก่อความวุ่นวายมานานแล้ว แต่ไม่เห็นแม้แต่เส้นขนของคนในบริษัทการลงทุน”
ถ้าหากว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงติดต่อพนักงานของอีกฝ่ายได้ นั่นก็เข้าใกล้การแก้ไขปัญหาได้นิดหนึ่งแล้ว
“เจี้ยนเฟิง นายรีบโทรศัพท์เถอะ ถ้าหากเรื่องนี้จบแล้ว น้าจะบันทึกไว้เป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของนาย”
หวังฟางพูดไปก็ขยิบตาให้ฮั่วเจี้ยนเฟิงไป ใช้สายตาบอกใบ้ฮั่วเจี้ยนเฟิง ขอเพียงจัดการเรื่องนี้ได้ จะต้องทำให้เจ้าสวะหลี่โม่นั่นไสหัวไปแน่ ๆ
ฮั่วเจี้ยนเฟิงมีกำลังเต็มเปี่ยมในทันที หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อคน
เพียงชั่วประเดี๋ยวฮั่วเจี้ยนเฟิงก็วางโทรศัพท์ลง สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วพูดว่า “ได้แล้วครับ รออีกสักพักผู้อำนวยการการลงทุนของพวกเขาจะมา แต่ว่าพวกเราต้องออกห่างจากกลุ่มคนอีกสักหน่อย ปรึกษาเรื่องเงินของพวกน้าไม่กี่คนกับพวกเขานั้นจัดการง่าย ถ้าหากคนเพิ่มขึ้นมาอีก ผมก็ลำบากเหมือนกัน”
“ใช่ ๆ เจี้ยนเฟิงพูดถูก พวกเราไปรออีกด้านเถอะ หลี่โม่เจ้าสวะดวงตาไร้แวว เจี้ยนเฟิงให้แกไปเอาเก้าอี้ ซื้อของมา แกยังไม่รีบไปทำอีก!”
หวังฟางจ้องหลี่โม่เขม็งอย่างมีโทสะ
หลี่โม่ยิ้มเย็นครั้งหนึ่ง เดินไปทางร้านค้าอีกด้านหนึ่ง
ไม่นานหลี่โม่ก็หิ้วตั้งเก้าอี้พลาสติกตั้งหนึ่ง น้ำ ขนม เดินมาอยู่ข้างหน้าหวังฟาง
“หลี่โม่ คราวก่อนแกเก่งมากเลยไม่ใช่หรือ ทำไมครั้งนี้ไม่เห็นแกโอ้อวดอีกล่ะ คนที่ฉันติดต่อกำลังจะมาถึงแล้ว หรือไม่แกก็ลองตามคนมาสิ ดูซิว่าใครจะจัดการเรื่องราวได้เร็วกว่า”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงประเมินดูแล้วว่าหลี่โม่ไม่มีวิธีจัดการแน่ ๆ ดังนั้นจึงพูดแบบนี้เพื่ออยากจะให้หลี่โม่สะอิดสะเอียนใจตายไปเลย
หลี่โม่พูดอย่างหยิ่งยโสว่า “ให้โอกาสแกก่อนเลย แกจัดการไม่ได้แล้วฉันค่อยจัดการ