จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 141
บทที่141 ถึงคราวเคราะห์
ระหว่างฮั่วเจี้ยนเฟิงกับหลี่โม่ใครน่าเชื่อถือกว่ากัน?
หวังฟางและคนอื่นๆอาศัยแค่สัญชาตญาณ ตัดสินเลือกฮั่วเจี้ยนเฟิงโดยไม่ต้องคิด
ยังไงสถานะฮั่วเจี้ยนเฟิงโดดเด่นกว่า ในสายตาหวังฟางและคนอื่น ๆ ฮั่วเจี้ยนเฟิงกระดิกนิ้วครั้งเดียวเรื่องทุกอย่างง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก มีหลี่โม่กี่หมื่นคนก็ไม่แน่ว่าทำได้
“เจี้ยนเฟิงอย่าเพิ่งโมโห ไปทะเลาะกับหลี่โม่ไอ้สวะนี้ไปทำไม ยังไงป้าต้องพึ่งพาคุณ”
หวังฟางพูดด้วยน้ำเสียงมีไมตรี
ฮั่วเจี้ยนเฟิงจัดระเบียบเสื้อเล็กน้อย ชำเลืองมองหลี่โม่ด้วยสายตาดูหมิ่น ท่าทางเช่นนี้เหมือนจะพูดว่า เห็นหรือยัง แม่ยายคุณยังให้ความเคารพขนาดนี้ คุณยังไม่รีบมาคุกเข่าต่อหน้าผมอีกเหรอ
“ไอ้ซื่อบื้อ”
หลี่โม่บ่นพึมพำคนเดียว แล้วเดินออกไป
หลี่โม่ไม่คิดเสแสร้งต่อไป เห็นได้ชัดว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงทำเรื่องนี้ไม่ได้ แทนที่ดูเขาทำในสิ่งที่ไม่คุ้มค่า มิสู้สั่งสอนเขาสักครั้ง จึงรีบปลีกตัวจากหวังฟาง หลี่โม่หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรไปหาฉู่จงเทียน
ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ฉู่จงเทียนดังขึ้น
ฉู่จงเทียนกำลังสนุกสนานในงานเลี้ยงรับรอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่าปลายสายที่โทรมาทำให้เขาไม่สบายใจ
ชายอ้วนฉุ ใบหน้าอิ่มเอิบ ใบหูใหญ่ นั่งอยู่ตรงข้ามฉู่จงเทียน หัวเราะคำโตพูดว่า “ท่านฉู่ตามสบาย”
ฉู่จงเทียนพยักหน้าเล็กน้อยรับคำ ชำเลืองมองเลขหมายบนโทรศัพท์
เห็นตัวอักษรบนหน้าจอ คำว่าหลี่โม่ปรากฏขึ้น ขนหัวฉู่จงเทียนถึงกับตั้งตรง ลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน รับโทรศัพท์ทันที โค้งตัวพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “สวัสดีครับท่าน ท่านมีอะไรให้รับใช้ครับ”
ชายอ้วนฉุมองเห็นท่าทางเช่นนี้ถึงกับมึนงง ปลายสายโทรศัพท์ทำให้ฉู่จงเทียนนอบน้อมได้ขนาดนี้ คน ๆ นี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่!
ชายอ้วนฉุที่อยู่ข้างหน้าทำให้ไม่สะดวกใจ ฉู่จงเทียนจึงไม่เอ่ยชื่อคนที่อยู่ปลายสาย ว่าคือหลี่โม่
เพราะว่าชายอ้วนเป็นคนเชิญฉู่จงเทียนมาในงานเลี้ยง ต้องการที่จะทำความรู้จักหลี่โม่ผ่านฉู่จงเทียน เพื่อขอความช่วยเหลือจากหลี่โม่
แต่ว่าฉู่จงเทียนไม่คิดแนะนำชายอ้วนคนนี้ ยังไงฉู่จงเทียนลงทุนลงแรงตั้งมากมาย ถึงสามารถเข้าถึงตัวหลี่โม่ได้ ไหนเลยจะให้คนอื่นแบ่งผลประโยชน์มหาศาลของตนเองไป
“หลูหมิงเซิงคนนี้คุณมีวิธีจัดการไหม เงินบำนาญของแม่ยายผมทั้งหมดที่ฝากไว้กับบริษัทการลงทุนเขา เวลานี้ไม่สามารถนำเงินทุนออกมาได้” หลี่โม่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ฉู่จงเทียนถึงกับตกตะลึง สายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารจ้องมองไปที่ชายอ้วนฉุที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านโปรดวางใจ ผมขอเวลาตรวจสอบเรื่องให้แน่ชัดเสียก่อน อีกไม่นานได้คำตอบครับ”
ฉู่จงทียนพูดตัดบท
หลูหมิงเซิงชายอ้วนฉุคนนี้ต้องซวยแน่ ๆ หลูหมิงเซิงที่ติดต่อมาหลายปี สายตาที่ฉู่จงเทียนจ้องมาดั่งคมมีดเชือดเฉือน ทำให้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
ครุ่นคิดไปว่าตนไม่เคยทำผิดต่อฉู่จงเทียน สายตาของฉู่จงเทียน ต้องเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ปลายสายแน่นอน แต่ว่าคนที่โทรมาหาฉู่จงเทียนนั้นคือใครกันแน่?”
ทำให้ฉู่จงเทียนนอบน้อมถึงเพียงนี้ ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ ๆ
หลูหมิงเซิงเป็นเพียงแค่คนต่ำต้อย ไม่เคยติดต่อสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโตที่ไหน ไม่น่าจะไปก่อเรื่องกับใครได้
หลูหมิงเซิงเหม่อลอย รู้สึกว่าเมื่อกี้เหมือนมีภาพหลอน หรือว่าการระดมทุนในระยะหลังมากเกินไป ภายในใจร้อนรนเหมือนเป็นคนโรคจิตกลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย
หลูหมิงเซิงหัวเราะกับตนเอง กำลังจะลืมเรื่องที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ พลันมองเห็นฉู่จงเทียนหยิบจานอาหารบนโต๊ะ ตบลงบนหัวของหลูหมิงเซิง
โป๊ก!
จานอาหารแตกระจาย น้ำซอสเยิ้ม ๆ และเศษอาหารต่าง ๆ ค่อย ๆ ไหลลงจากหัวของหลูหมิงเซิง
“โอ้ย! เจ็บ!”
หลูหมิงเซิงกัดฟันร้องเสียงอู้อี้ แต่ว่ายังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม่กล้าขยับไปไหน
นี้มันไม่ใช่ภาพหลอน ต้องเกิดเรื่องอะไรที่ตนไม่รู้แน่นอน หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับลูกน้องของตนไปก่อเรื่องลูกพี่ใหญ่บางคนที่ทำให้ฉู่จงเทียนยำเกรง?
“ท่านฉู่ มีเรื่องอะไรพูดกันดี ๆ ผมทำผิดเรื่องอะไร ผมต้องยอมรับ แต่ว่าท่านอธิบายให้ผมเข้าใจก่อนเถอะ”
หลูหมิงเซิงพูดด้วยท่าทางทุกข์ใจ
ฉู่จงเทียนมีสีหน้าเรียบเฉย มองดูหลูหมิงเซิงด้วยสายตาขึงขังดั่งเสือจะตะครุบเหยื่อ “ลูกน้องแกกล้ามาก เงินบำนาญแม่ยายของนายน้อยยังกล้ากันไว้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นแมวเก้าชีวิตเหรอ? แม้จะมีเก้าชีวิต ทำผิดต่อนายน้อยยังไงก็ตายสถานเดียว!”
“นาย…นายน้อย!”
หลูหมิงเซิงตัวสั่นเทาเหงื่อไหลเปียกชุ่มไปทั้งตัว สั่นเป็นเจ้าเข้า หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใจเขาแสดงอาการหวาดกลัวจนเห็นได้ชัด
“ผม ผมไม่ได้กันเงินบำนาญของแม่ยายนายน้อย…… ไม่ใช่สิ หรือว่าแม่ยายของนายน้อยนำเงินไปฝากไว้กับบริษัทการลงทุนของผม?”
หลูหมิงเซิงพูดถึงตรงนี้ แทบจะล้มฟุบ
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน ตนไม่ทันได้ทำอะไร คราวเคราะห์ดันมาทับบนหัว!
ใครจะไปรู้ นายน้อยสำนักหลงเหมินที่ร้ายกาจมีหน้ามีตาในสังคม แม่ยายของเขากล้านำเงินไปฝากไว้กับบริษัทการลงทุน
คุณมีลูกเขยที่ร้ายกาจขนาดนั้น ขอให้ลูกเขยจัดการนิดเดียว ภายในปีเดียวสามารถทำกำไรเจ็ดแปดเท่าได้อย่างสบาย ทำไมต้องมาลงทุนทำกำไรเล็กน้อยกับบริษัทการลงทุนของผม!
ไม่ใช่ว่าหลูหมิงเซิงไม่เข้าใจ ถ้าเรื่องนี้เกิดกับใคร ใครก็ไม่มีทางเข้าใจ
“เหอะ! ตอนนี้นายน้อยออกหาประสบการณ์ในเมืองใหญ่ คนมากมายยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขา คนข้างกายเขาก็ยังไม่รู้ เจ้าเข้าใจหรือยัง”
มีเรื่องยังต้องให้หลูหมิงเซิงกระทำแทน อีกทั้งยังต้องช่วยแม่ยายของนายน้อยเพื่อแก้หน้าให้นายน้อย ดังนั้นฉู่จงเทียนตัดสินใจตักเตือนหลูหมิงเซิงไปเท่านั้น
หลูหมิงเซิงเข้าใจความหมาย ภายในใจกลับดีใจยิ่งนัก
มีสุภาษิตกล่าว ผู้เฒ่าม้าหายไม่รู้ว่าเรื่องดีหรือร้าย เรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะทำผิดต่อนายน้อย แต่ว่าเพียงแค่ทำคุณชดใช้ความผิดได้ ก็มีโอกาสที่ฉกฉวยผลประโยชน์ครั้งนี้ เพื่อทำความรู้จักนายน้อย!
“เข้าใจครับ เรื่องนี้ผมจะทำให้ดีที่สุด ท่านฉู่โปรดวางใจ ขอให้ท่านบอกกับนายน้อยว่า ข้าผู้น้อยเสี่ยวหลูทำผิดทุกอย่าง หวังว่านายน้อยจะให้โอกาสให้ผมไปคุกเข่าขอโทษด้วยตนเอง ผมปรารถนามอบทรัพย์สมบัติครอบครัวทั้งหมดเพื่อเป็นการไถ่โทษ”
หลูหมิงเซิงวาจาคารมคมคาย มีแผนการแอบแฝงในใจ ตนมีทรัพย์สินเพียงน้อยนิด เมื่อเปรียบกับคนทั่วไปมีมากมายหลายเท่า แต่เปรียบกับหลี่โม่แล้วเล็กน้อยเท่าขี้เล็บ
ดังนั้นคำพูดสวยหรูเสียสละเงินทองทั้งหมดของตน เพียงแค่หลี่โม่ให้โอกาสเขาคุกเข่าขอโทษ หลูหมิงเซิงสามารถถือโอกาสนี้ฉกฉวยผลประโยชน์ไว้กับตนได้
ฉู่จงเทียนหัวเราะเย้ยหยัน พูดเสียงเย็นชาว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าไปพูดกับนายน้อยด้วยตนเองเถอะ รีบไปจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย”
“ได้ ได้ ท่านฉู่รอประเดี๋ยว”
หลูหมิงเซิงเนื้อตัวเปรอะไปด้วยเศษอาหาร รีบลุกขึ้นยืน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปข้างนอกพร้อมกับฉู่จงทียน เดินไปตามถนน หลูหมิงเซิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาผู้จัดการบริษัทการลงทุนทันที
“จางฝัน เมื่อกี้มีคนมาที่บริษัทเพื่อเบิกเงินหรือเปล่า?”
“มีครับ ฮั่วเจี้ยนเฟิงจากบริษัทการลงทุนติ่งซิน ต้องการพบผู้อำนวยการการลงทุน คนของพวกเราวิวาทกับเขาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กลับไปแล้วครับ”
ฉู่จงเทียนทำสัญญานมือให้กับหลูหมิงเซิง หลูหมิงเซิงพยักหน้าเข้าใจในความหมาย
“หากฮั่วเจี้ยนเฟิงมาหาพวกคุณอีกครั้ง คุณบอกเขาว่า ต้องการเงินให้เขามาคุยกับผม”