จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 142
บทที่142 ผมก็ทำได้
ขณะที่หลี่โม่โทรศัพท์หาฉู่จงเทียน สวี่หมานแอบฟังอยู่บริเวณนั้น ได้ยินหลี่โม่โทรหาคนอื่นเพื่อต้องการเงิน ก็หัวเราะขึ้นดั่งกับเสียงหมูร้องไห้
หลี่โม่เก็บโทรศัพท์ หันหลังไปชำเลืองมองสวี่หมาน ยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉยทีท่าไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
หลี่โม่ไม่สนใจพูดกับสวี่หมานแม้แต่คำเดียว ดั่งคำที่ว่าแมลงฤดูร้อนไหนเลยจะเคยเห็นน้ำค้างแข็ง
สวี่หมานเห็นท่าทางหลี่โม่เช่นนี้ รู้สึกได้ถึงการเหยียดหยามสุดจะทน พลันระเบิดโทสะขึ้นทันที
“ไอ้พวกต่ำต้อยยังคิดเสแสร้ง กล้ายืมเงินจากคนอื่น เจ้ารู้จักใครอีกล่ะ แม้ว่าเจ้ารู้จักใครก็ตาม ก็เหมือนกับเจ้า ไอ้พวกสวะไร้ค่า คิดจะเทียบชั้นกับคุณฮั่ว ข้าว่าเจ้าท่าจะบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
สวี่หมานสบถด่าด้วยโทสะ
“เหอะ เหอะ”
หลี่โม่แสดงคำพูดแค่ คำว่า เหอะ ต่อสวี่หมายเท่านั้น
สวี่หมานชี้หน้าใส่หลี่โม่ แล้วรีบเดินตามหวังฟางกับพวกไป
“ป้าหวัง ลูกเขยสวะของคุณ ตามหาคนมาช่วย ไอ้สวะคนนั้นรู้จักใครข้างนอกหรือเปล่า คุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางขึงขัง เหมือนโทรคุยกับท่านประธานใหญ่”
สวี่หมานพูดใส่ไฟ คิดไปว่าจะช่วยเติมไฟโทสะให้คุณป้า เพื่อที่จะทำให้หลี่โม่ ได้รับความอัปยศ
จางชุ่ยฉัวถ่มเปลือกเม็ดแตงโม หัวเราะเสียงแหลมพูดว่า “ไอ้สวะไร้ประโยชน์นี้มีความสามารถ หาวิธีแบ่งเบาภาระของพี่หวัง ถือว่าพอมีความคิดอยู่บ้าง”
ด้วยความโมโห หวังฟางเก็บกดอารมณ์ อีกทั้งเป็นเพราะเห็นท่าทางหลี่โม่เมื่อครู่นี้ หวังฟางสงบสติอารมณ์เกลี้ยกล่อมฮั่วเจี้ยนเฟิง ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหลี่โม่คิดจะก่อเรื่องขึ้นอีก
“ไปกับฉัน อย่าให้เจ้านั้นคิดทำอะไรบ้า ๆอีก เจี้ยนเฟิง คุณรีบติดต่อไปอีกครั้ง”
สีหน้าฮั่วเจี้ยนเฟิงเงียบขรึมพยักหน้ารับคำ รู้สึกว่าครั้งนี้หลี่โม่ต้องการท้าทายเขา ดูไปแล้วหากไม่แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา คงยากที่จะทำให้หลี่โม่ต้องอับอายได้
“คุณป้าวางใจ ผมจะรีบติดต่อไปทันที ครั้งนี้จะเชิญผู้อำนวนการใหญ่มาเจรจาด้วย ต้องได้รับคำตอบแน่นอน”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงพูด
“งั้นป้าก็วางใจ ตอนนี้ป้ากลับไปสั่งสอนหลี่โม่ เพื่อระบายความขุ่นเคืองในใจคุณ”
หวังฟางพูดด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
ใบหน้าของฮั่วเจี้ยนเฟิงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือครั้งนี้ งานการทั้งหมดพักไว้ก่อน เพื่อเยาะเย้ยหลี่โม่ หากไม่จัดการหลี่โม่อะไรซักอย่าง จะระบายความคับแค้นในใจได้อย่างไร!
หลี่โม่กำลังรอคอยคำตอบจากฉู่จงเทียน ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากฉู่จงเทียน แม่ยายพาบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ มาหาเขา มองเขาด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ
“เจ้าโง่ไร้ค่า แกมาทางนี้ บอกฉันมาเดี๋ยวนี้โทรศัพท์ไปหาใคร ให้ใครจัดการเรื่องนี้ บอกให้พวกเราฟังพวกเราจะได้สบายใจขึ้น”
จางชุ่ยฮัวแย่งพูดขึ้นก่อน
หลี่ซูเฟินพูดขึ้นสำทับว่า “ไอ้เศษสวะไร้ค่าอย่างเจ้ากล้าเผยอหน้าชูคอแล้วเหรอ? กล้าไปขอเงินกับคนอื่นอีก เจ้าไม่แหกตาดูบ้างเหรอว่าตรงนี้ทุกคนล้วนสิ้นหนทาง มีใครบ้างที่ด้อยไปกว่าเจ้า เจ้ายังคิดก่อเรื่องบ้าอะไรอีก?”
“พูดว่าเขาคิดจะก่อเรื่องมันยังน้อยไป เรื่องที่คิดจะทำนั้น ยังดีที่มีความคิดจะทำ แต่ไอ้สวะไร้ค่าถูกคนรังแกกลับหงอยเป็นเต่าหัวหดไม่คิดจะตอบโต้ ฉันว่ารีบไปฆ่าตัวตายเถอะ กลับไปเกิดใหม่ดีกว่า”
หวังฟางจ้องมองหลี่โม่ด้วยสายตาขุ่นเคือง ยิ่งบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ พูดหยาบคายมากเท่าไหร่ ในใจของหวังฟางยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น หนำซ้ำยังคิดที่จะให้พี่ ๆ น้อง ๆ เหยียดหยามเขาให้รุนแรง จนหนีไปฆ่าตัวตาย นั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
หลี่โม่มองมองบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ นั้นด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “พวกคุณไปอธิษฐานให้ฮั่วเจี้ยนเฟิงสามารถช่วยพวกคุณให้ได้เถอะ ผมไม่มีความสามารถช่วยอะไรพวกคุณได้”
“ครั้งนี้แม้จะยอมรับว่าตนเองไร้ความสามารถช่วยไม่ได้มันก็สายไปแล้ว เมื่อกี้แกยังทำท่าทีขึงขังอยู่เลย ไร้ความสามารถก็ยอมรับว่าเป็นพวกสวะแต่โดยดีเถอะ”
จางชุ่ยฮัวด่าเสียยกใหญ่ รู้สึกว่าด่าเจ้าสวะคนนี้ไปก็มากความ แรงผลักดันท้าทายสักนิดก็ไม่มี ยังเทียบไม่ได้กับการต่อราคากับแม่ค้าในตลาดสดยังสนุกกว่าอีก
“พูดกับสวะอย่างเจ้านี่มันน่าเบื่อ ดูเหมือนว่าคุณฮั่วพาคนมา อาจจะเป็นผู้จัดการของบริษัทการลงทุน พวกเรารีบไปดูกัน เดี๋ยวค่อยกลับมาสั่งสอนไอ้สวะนี้อีกครั้ง”
ทุกคนต่างมองไปที่ฮั่วเจี้ยนเฟิง คนที่ยืนอยู่ข้างฮั่วเจี้ยนเฟิง ท่าทางจะคนที่น่าเกรงขามคนหนึ่ง
ฮั่วเจี้ยนเฟิงพาผู้อำนวยการบริษัทการลงทุน ยิ้มและพูดว่า “คุณจาง เห็นแก่หน้าผม ช่วยจัดการเงินของคุณป้าสองสามคนนี้ คนอื่นนั้นผมไม่สนใจ เรื่องมันไม่ยากสำหรับคุณใช่ไหม?”
“มันยากมากครับ ยากเหมือนคิดจะลอยขึ้นบนฟ้า”
จางฝันเชิดหน้า ใส่ฮั่วเจี้ยนเฟิง มีท่าทีไม่ได้ให้ค่าในตัวของฮั่วเจี้ยนเฟิงแต่อย่างใด
ฮั่วเจี้ยนเฟิงถึงกับอึดอัด เดิมทีคิดว่าตนสามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่คาดไม่ถึงจางฝันคนนี้ไม่มีทีท่าจะไว้หน้ากันบ้าง
ใบหน้าที่เฝ้าคอยอย่างมีความหวังของหวังฟางและคนอื่น ถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที ทุกคนต่างใช้สายตาที่เคลือบแคลงใจมองไปที่ฮั่วเจี้ยนเฟิง
“คุณจาง คุณไม่ให้เกียรติกันบ้าง พ่อผมกับเถ้าแก่หลูของพวกคุณก็มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงอ้างชื่อพ่อของเขาขึ้นมา เพื่อออกหน้าให้เขาเกรงใจบ้าง
“พ่อของคุณกับเถ้าแก่หลูรู้จักกัน เป็นเรื่องของพ่อคุณ ถ้าคุณพูดอย่างนี้ คุณก็ไปหาเถ้าแก่หลูด้วยตนเองเถอะ หากมีคำสั่งจากเถ้าแก่หลูเพียงคำเดียว เงินเหล่านั้นจะคืนไปในบัญชีของทุกคนในทันที”
จางฝันพูดตอบด้วยท่าทีขุ่นเคือง
ยังหาเรื่องให้ไปพบเถ้าแก่หลูอีก ฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่มีความสามารถที่จะไปเข้าพบเถ้าแก่หลูได้ นอกเสียจากจะให้พ่อของเขาออกหน้า
“ยืดหยุ่นครั้งนี้ไม่ได้เลยเหรอ?”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงลองพยายามเกลี้ยกล่อมครั้งสุดท้าย
“ผมก็ไม่รู้จะยืดหยุ่นอย่างไร เถ้าแก่หลูมีคำสั่ง ถ้าไม่มีคำสั่งจากเขา ใครก็ไม่กล้าทำอะไรกับเงินเหล่านั้น ถ้าคุณอยากได้เงินหล่านั้นก็ไปหาเถ้าแก่หลูของพวกเรา”
จางฝันพูดจบก็ยิ้ม ในใจคิดว่าครั้งนี้ได้ทำในสิ่งที่เถ้าแก่หลูฝากฝังไว้สำเร็จแล้ว
แต่ว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง ไปก่อเรื่องอะไรไว้กับเถ้าแก่หลู เกรงว่าเขาจะต้องเดือดร้อน
ความจริงแล้วจางฝันมีอำนาจที่จะคืนเงินเหล่านั้นให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย แต่เป็นเพราะว่าหลูหมิงเซิงได้กำชับไว้ จึงไม่สามารถช่วยฮั่วเจี้ยนเฟิงได้
ฮั่วเจี้ยนเฟิงมองดูจางฝันด้วยสายตาตกตะลึง ครุ่นคิดหนักเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ของตนเองในวงการธุรกิจ
ชื่อของฮั่วเจี้ยนเฟิงไม่มีใครเกรงใจแล้วเหรอ?
เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ เพราะอะไรถึงทำไม่ได้?
“เหอะเหอะ”
เสียงหัวเราะเย็นชาของหลี่โม่ ทำลายความอึมครึมของทุกคน
แก้มของฮั่วเจี้ยนเฟิงกระตุก รู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณได้ถูกหลี่โม่โจมตีเข้าอย่างจัง
ขมึงสายตาดุดันใส่หลี่โม่ ดั่งจะกินเลือดกินเนื้อ ฮั่วเจี้ยนเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ก็แค่เชิญเถ้าแก่หลู ให้พ่อผมออกหน้า เรื่องก็เรียบร้อย! คุณป้าทุกท่านโปรดวางใจ!”
จางชุ่ยฮัวลังเลพักหนึ่ง ถามกลับไปเบา ๆ ว่า “คุณฮั่ว พ่อคุณเป็นใครกัน จัดการเรื่องนี้ได้จริง ๆ เหรอ มีคนเคยกล่าวว่าเรื่องต้องจบไม่เกินสามครั้ง นี่คุณลองทำมาแล้วสองครั้ง”
ตั้งแต่ผู้จัดการมาจนถึงผู้อำนวยการก็ไร้ข้อสรุป ยังต้องไปหาเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังอีก เกรงว่ายากขึ้นไปอีก คุณฮั่วครั้งนี้คุณต้องเตรียมพร้อมให้ดี ๆ ล้มเหลวอีกครั้งกลัวว่าแย่แน่ ๆ”
หลี่ซูเฟินพูดสำทับ
หวังฟางรีบลุกขึ้นยืนพูดว่า “เจี้ยนเฟิงยังไงก็สามารถเชิญผู้อำนวยการและผู้จัดการมาได้ คนอื่นทำได้หรือเปล่า”
“ผมก็ทำได้”
หลี่โม่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย