จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 163
บทที่ 163 ขอร้องล่ะปล่อยไปเถอะ
“ถุย!”
เฮียพีลี่ถ่มน้ำลาย สายตาเหยียดหยามมองหลี่โม่ พูดพลางโบกมือ “ลุกขึ้นมาให้หมด จับมันไว้แล้วตีให้ตาย!ต้องตีให้ตายถึงจะสมเป็นฉัน!”
พี่น้องรีบหยิบไม้ออกมาควงทันที แล้วพากันพุ่งไปทางหลี่โม่
ภาพของคนที่แขนหักหลายคนก่อนหน้านี้ยังคงติดตา ดังนั้นคนเหล่านี้จึงระมัดระวังตัวขึ้นมาก
“ล้มลงไปซะ!”
นักเลงคนหนึ่งตะโกนออกมา ยกไม้ขึ้นตีไปทางหัวของหลี่โม่
หลี่โม่ริมฝีปากแย้มยิ้ม มือขวาสะบัดออกราวสายฟ้าแลบ จับข้ามือของนักเลงคนนั้นไว้แล้วออกแรงบิด หักข้อมืออีกฝ่ายทิ้ง
“อ๊าก!”
ชายหนุ่มคนนั้นกรีดร้อง ล้มลงไปที่พื้นอย่างเจ็บปวด
“บัดซบ!ไอ้หนุ่มนี่โหดเหี้ยมไปแล้ว ซ้ายขวาล้อมไว้ให้หมด ล้อมมันไว้แล้วตีให้ตาย!”
เฮียพีลี่สั่งการเสียงดัง
เหล่าลูกน้องของเฮียพีลี่ ก็นับว่ามีประสบการณ์ต่อยตีมากมาย เห็นหลี่โม่ฝีมือร้ายกาจ ก็รีบให้คนออกมาล้อมไว้
หลี่โม่เหมือนเสือที่ถูกต้อนเข้าฝูงแกะ เผชิญหน้ากับวงล้อมอย่างไม่กลัวเกรง และกลับพุ่งเข้าหากลุ่มคน พุ่งตรงไปทางที่เฮียพีลี่อยู่
เรียกได้ว่าจับโจรให้จับหัวหน้าก่อน วิธีคิดของหลี่โม่นั้นง่ายมาก แค่จัดการจับตัวเฮียพีลี่เอาไว้ได้ก็เรียบร้อยแล้ว
ด้วยการบุกของหลี่โม่ ใครก็ตามที่ขวางทางหลี่โม่ไว้ ล้วนมีจุดจบที่กระดูกหักกระอักเลือด
พี่น้องล้มลงพื้นทีละคน ส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด สถานที่นี้ราวกับเป็นกลายเป็นนรกบนดินก็ไม่ปาน
เหล่าชายหนุ่มที่แต่เดิมกระจายตัวอยู่รอบ ๆ เตรียมพร้อมที่จะเข้ามาจับหลี่โม่ ตอนนี้ถูกข่มขู่จนหัวใจเย็นเฉียบ
มองหลี่โม่ด้วยสายตาหวาดกลัว แล้วมองพวกที่โชคร้ายนอนอนาถอยู่บนพื้น พวกนักเลงที่เหลือ พากันถอยไปหลายก้าว ขลาดเขลาไม่กล้าที่ไปต่อ
จิตใจของเฮียพีลี่ตกอยู่ในภวังค์ มองหลี่โม่ที่ก้าวมาทางตัวเอง ราวกับเทพแห่งการฆ่าก็ไม่ปาน
“พวกมึง มาปกป้องกู รีบมาปกป้องกู!”
เฮียพีลี่ถูกทำให้ตกใจกลัวจนแข้งขาอ่อน รู้สึกว่าจะวิ่งหนีไปก็ทำไม่ได้ เรียกพี่น้องที่เป็นลูกน้องมาปกป้องตัวเองอย่างแตกตื่น
แต่ทว่าพี่น้องพวกนี้ไม่ได้โง่ เห็นได้ชัดว่ากำลังต่อสู้ของหลี่โม่แข็งแกร่งขนาดนั้น กล้าพูดได้ว่าแข็งแกร่งจนไร้พ่าย แล้วจะไปสู้กับหลี่โม่ได้ยังไง
คนขับรถที่หมอบอยู่กับพื้น เวลานี้ก็มีความหวังเกิดขึ้นในใจ
พวกเขาถูกเฮียพีลี่ควบคุมไว้ครึ่งวันแล้ว เหล่าคนขับรถคิดว่าวันนี้คงหมดหนทางช่วยได้แล้ว
ใครจะไปคิด จู่ ๆ คนที่โหดเหี้ยมอย่างหลี่โม่ก็ปรากฏตัวออกมาช่วยพวกเขา
“พี่ชายคนนี้ฝีมือดีจริง ๆ ลำพังแค่พลังในการต่อสู้ ต้องเป็นปรมาจารย์การต่อสู้แน่นอน”
“ดึงลงเถอะ ตอนนี้มีปรมาจารย์การต่อสู้สักกี่คนที่ทำได้ ฉันว่านี่น่าจะเคยเรียนการต่อสู้มาก่อน ถึงจัดการคนหลายสิบคนได้ นั่นจะต้องเป็นนักสู้ยอดฝีมือที่เจ๋งที่สุดแน่”
“ไม่แน่ว่าอาจเคยผ่านสนามรบมาก่อน ฉันเห็นรังสีอำมหิตออกมาจากร่างเขา อาจจะเป็นเทพสงครามที่เคยเก็บเกี่ยวชีวิตคนมาแล้วอะไรทำนองนั้น”
เหล่าคนขับรถคุยกระซิบกระซาบกัน แต่ละคนรู้สึกว่าร่างกายของหลี่โม่มีสีสันส่องประกายออกมา สาดแสงใส่ความมืดมนของชีวิตพวกเขาในขณะนี้
หลี่โม่ยิ้มตาหยีมองเฮียพีลี่ กระดิกนิ้วแล้วพูด “แกเพิ่งจะอวดดีไปไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ลองอวดดีให้ฉันดูต่อสิ”
“น้องชาย มีอะไรค่อย ๆ คุยกันเถอะ เมื่อกี้ฉันอวดดีจนเป็นนิสัย ดูสิถ้านายบอกตรง ๆ ว่านายเก่งกาจขนาดนี้ ฉันจะอวดดีขึ้นมาได้ยังไง”
ภายในตัวของเฮียพีลี่สั่นสะท้านไปหมด ก้าวเท้าที่หนักอึ้งถอยหลังไปไม่หยุด ในใจนึกเกลียดคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาทำเรื่องนี้แทบตาย
“ให้ลูกน้องของแกทั้งหมดมาคุกเข่าหมอบลงไป ฉันอยากเจรจากับพวกแกดี ๆ ”
หลี่โม่พูดอย่างสงบนิ่ง
เฮียพีลี่ถลึงตาจ้องเหล่าพี่น้อง ตะโกนเสียงดัง “มานี่ให้หมด คุกเข่าให้พี่ใหญ่ท่านนี้ซะ!”
เหล่านักเลงกลุ่มนี้มีความลังเล แต่ละคนมองหน้ากัน ไม่กล้าเข้ามาคุกเข่า
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหลี่โม่เริ่มเปิดฉากฟาดฟันขึ้นมา?
ยืนอยู่ด้านนอกยังพอวิ่งหนีได้ ถ้าเข้าไปคุกเข่าจริง ๆ นั่นไม่ใช่ว่าไปให้คนฆ่าแกงเท่านั้นหรอกหรือ
“แม่มึงเถอะ พวกมึงจะต่อต้านใช่ไหม!รีบเข้ามาคุกเข่า ใครกล้าหนี บิดาจะพาพี่ใหญ่ท่านนี้ไปฆ่าถึงบ้านพวกมึง!”
ตายคนเดียวไม่สู้ทุกคนตายด้วยกัน เฮียพีลี่คิดได้ว่า ตัวเองในฐานะพี่ใหญ่ หลี่โม่จะต้องไม่ปล่อยไปแน่นอน ดังนั้นต่อให้ต้องคุกเข่า ก็จะพาลูกน้องของตัวเองคุกเข่าไปด้วยกัน
สารเลวพวกนี้พังทลายอย่างสมบูรณ์ คิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่ของตัวเองจะทรยศกลุ่มได้ขนาดนี้ นี่เป็นการพาทุกคนไปตายด้วยกันชัด ๆ
“เร็วเข้า ยังไม่เข้ามาคุกเข่าอีก!”
เฮียพีลี่พูดเร่งอย่างกระวนกระวาย
พวกมันทิ้งไม้ในมือลงอย่างไม่ยินยอม เดินมาข้างหน้าหลี่โม่ยกสองมือขึ้นกุมหัวแล้วคุกเข่าลง
เฮียพีลี่ยิ้มอย่างประจบประแจง “พี่ใหญ่ คุณดูสิคนของผมทั้งหมดอยู่นี่แล้ว พวกที่บาดเจ็บนั้นคุกเข่าไม่ได้ ก็ให้พวกมันนอนฟังที่พี่ใหญ่สั่งสอนเถอะ”
“แกเองก็หมอบลงไป” หลี่โม่ยิ้มเย็นกล่าว
“ครับ ครับ”
เฮียพีลี่ก้มลงอย่างรวดเร็ว สองมือกุมหัว มองหลี่โม่ ใบหน้าแสดงออกถึงความเลื่อมใสอย่างมากออกมา
“พวกแกลองคิดทบทวนชีวิตของคนเราดูก่อน”
หลี่โม่พูดจบ ก็เดินไปทางเหล่าคนขับรถ สะบัดมือแล้วพูด “ลุกขึ้นเถอะ รีบทำสิ่งที่ทำ ถ้ามีรถว่างก็ทิ้งไว้สักคัน”
“ขอบคุณพี่ใหญ่ พวกเราไปได้แล้วจริง ๆ ใช่ไหมครับ?”
คนขับรถที่อยู่ใกล้หลี่โม่ที่สุดถาม
“ไปเถอะ จะรอคนมาเชิญนายไปกินข้าวเหรอ” หลี่โม่ยิ้มถามกลับ
“ขอบคุณมาก ๆ ครับพี่ใหญ่ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ”
เหล่าคนขับรถกล่าวขอบคุณอยู่หลายคำ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่รถของตัวเอง
คนขับรถคนหนึ่งลังเลอยู่สักพัก ก็เดินไปหาหลี่โม่แล้วพูด “รถของผมว่างนะครับ”
“อืม งั้นนายก็ช่วยทิ้งไว้เถอะ รอใส่พวกสารเลวพวกนี้แล้วไปกับฉันทีหลัง”
“ครับ งั้นผมรอคุณอยู่บนรถนะครับ”
คนขับรถเหลือไปทางพวกสารเลวที่หมอบอยู่กับพื้น ก็ยกนิ้วโป้งชอบใจให้หลี่โม่
“พวกแกทบทวนแล้วเป็นยังไงบ้าง คิดว่าพวกแกทำอะไรผิด”
หลี่โม่เดินมาถึงหน้าคนเลวของสังคมที่ต่ำทรามพวกนี้ เหมือนเป็นครูสอนศีลธรรม
“พวกเราไม่ควรทะเลาะวิวาทครับ”
“ไม่ควรขวางทางรถครับ”
“ไม่ควรใช้ความรุนแรงครับ”
หลี่โม่พยักหน้า หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า “พวกแกล้วนมีมือมีเท้าและพละกำลัง ทำเรื่องทำนองคลองธรรมหน่อยไม่ได้หรือไง? เพื่อให้พวกแกเปลี่ยนตัวเองใหม่ ฉันตัดสินใจจะช่วยพวกแกสักหน่อย”
เฮียพีลี่รอฟังอย่างหวาดผวา หลี่โม่คนนี้ต้องการช่วยพวกเขา?
ให้ลูกพี่ที่ใช้พละกำลังพลิกฟ้าดินมาช่วย จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าสังเวชแบบไหนกัน?
ในหัวของเฮียพีลี่และทุกคน ได้คิดฉากที่น่าเศร้าไว้ในสมองแล้ว เช่นว่าจะถูกหลี่โม่ตีจนกลายเป็นคนพิการ
“ลูก……ลูกพี่ พวกเราไม่อยากตาย แต่ก็ไม่อยากพิการ ลูกพี่โปรดอภัยให้ด้วย”
เฮียพีลี่พูดอย่างอ่อนล้า
หลี่โม่ตกใจสักพัก จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “พวกแกคิดมากไปแล้ว ฉันเองก็ไม่ใช่คนโหดเหี้ยมขนาดนั้น”
เฮียพีลี่และทุกคนเงียบสงบ ตาเลื่อนลอยไปทางคนที่นอนอยู่บนพื้นหลายสิบคน นี่แม่งยังไม่เรียกว่าโหดเหี้ยมอีกเหรอ
“ลูกพี่ ช่วยปล่อยไปด้วยเถอะ!”