จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 171
บทที่ 171 ความโหดร้ายของหลี่โม่
“ใครกล้าให้คุณหลี่คุกเข่าลง?”
เสียงตะโกนของฉู่จงเทียนดังเข้ามา
พวกอันธพาลที่อยู่ตรงหน้าประตูได้ก้าวถอยหลัง และหลีกทางให้
ฉู่จงเทียนเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับลูกน้องของเขา และมองไปที่หลี่โม่ทันที เมื่อเขาเห็นว่าร่างกายของหลี่โม่ไม่มีบาดแผล เขาจึงโล่งใจ
เฮียเปียวใจสั่นชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าในเวลานี้ฉู่จงเทียนจะมากะทันหันแบบนี้
เฮียเปียวที่มีคนหนุนหลังไม่เกรงกลัวฉู่จงเทียนแต่อย่างใด แต่ฉู่จงเทียนก็เป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงเช่นกัน ถ้าเขาต่อสู้กับคนของฉู่จงเทียนในเวลานี้ คงลงเอยด้วยการแพ้ทั้งสองฝ่าย
เมื่อถึงเวลานั้น เฮียเปียวก็จะสูญเสียคุณประโยชน์ และเขาอาจจะหลุดพ้นจากการมีผู้หนุนหลัง หรืออาจถูกฆ่าปิดปาก
ข้อดีและข้อเสียได้ปรากฏขึ้นในความคิดของเฮียเปียว ทันใดนั้นเฮียเปียวก็มีแนวทางการตัดสินใจ และเขาตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งให้ได้มากที่สุด
“เฮ้ ฉันก็นึกว่าใคร ที่แท้ท่านเทียนมานี่เอง ดูเหมือนว่าท่านเทียนจะคุ้นเคยกับคุณหลี่เป็นอย่างดีนะ”
เฮียเปียวพูดด้วยรอยยิ้ม
ฉู่จงเทียนไม่สนใจเฮียเปียวแม้แต่น้อย แต่กลับเดินไปหาหลี่โม่ แล้วโค้งคำนับเล็กน้อยและพูดว่า “คุณหลี่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“จะเป็นอะไรได้ยังไง ก็แค่สู้กับพวกเศษสวะเท่านั้นเอง”
หลี่โม่พูดอย่างเบาๆ
เมื่อเห็นฉู่จงเทียนเคารพหลี่โม่ เฮียเปียวก็รู้สึกไม่ดีในใจ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฉู่จงเทียนเป็นKingในสังคมอิทธิพลมืดของเมืองฮ่านครองตำแหน่งสูงสุดมานานกว่าสิบปี
และผู้ที่สามารถทำให้เขานอบน้อมและคุกเข่าได้นั้น ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“ไอ้สกุลหลี่ผู้นี้ตัวตนของเขาเป็นอย่างไรกันแน่?”
เฮียเปียวพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงต่ำ รู้สึกว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ทั้งหมดกลับตาลปัตรไปหมด
เดิมทีเฮียเปียวคิดว่าฉู่จงเทียนเป็นคนหนุนหลังให้กับหลี่โม่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย
เมืองฮั่นมีบุรุษผู้ดุดันเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงจากที่ใดมาก่อน
เฮียเปียวมองไปที่หลี่โม่อย่างสงสัย หยิบซิการ์ขึ้นมาใส่ปากของเขา สูบอย่างแรงๆ สองครั้ง แล้วพ่นควันสีขาวสองก้อนออกทางจมูก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยว่าความสัมพันธ์ของคุณหลี่และท่านเทียนจะดีขนาดนี้ ถ้ารู้แต่แรก ฉันก็คงไม่รับงานนี้ นี่ล้วนแต่เป็นคนของตัวเองเข้าใจผิดกันเพราะไม่รู้จักกัน หรือคนในครอบครัวไม่รู้จักกันนี่เอง”
“เรื่องนี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันยอมรับผิด เดี๋ยวฉันจะลงโทษตัวเองด้วยการดื่มสามแก้วเป็นไง ไม่รู้ว่าตัวตนของคุณหลี่คืออะไร ให้ฉันได้ทำความรู้จักกับคุณหลี่หน่อยดีไหม เพื่อที่จะไม่เกิดการเข้าใจผิดอีกในภายหลัง”
เฮียเปียวได้พูดอย่างอ้อมค้อมอยากรู้เบื้องลึกของหลี่โม่
ฉู่จงเทียนพูดอย่างเย็นชา”แกเนี่ยนะ ยังไม่คู่ควรที่จะรู้”
หลังจากตะลึงไปครู่ขณะ เฮียเปียวมองไปที่ฉู่จงเทียนอย่างไม่พอใจ”ท่านเทียน คุณพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ ฉันยินดีที่จะยอมรับความผิดพลาดของฉัน คุณก็ควรจะบอกให้ฉันรู้ว่าฉันล่วงเกินเจ้าพ่อคนไหนกันนะ”
หลี่โม่มองไปที่เฮียเปียว ขี้เกียจสนใจชายคนนี้ และพูดเบาๆว่า “สู้เสร็จแล้วค่อยว่ากัน”
“อะไรนะ?”
เฮียเปียวตะลึง ในใจคิดว่าฉันสุภาพขนาดนี้ นายยังอยากจะสู้กับฉัน นี่คิดว่าเป็นโคลนปั้นหรือไง!
“คิดจริงๆรึว่าเฮียเปียวเป็นฉายาที่ลูกน้องให้กันเปล่าๆหรอ วันนี้แค่เห็นแก่หน้าของท่านเทียน ถ้าท่านเทียนไม่มา ฉันคงสั่งให้คนสับนายเป็นเนื้อบดแล้ว!”
เฮียเปียวคำรามด้วยความโกรธ
หลี่โม่ยิ้มอย่างเย็นชา และก้าวขาพุ่งไปหาเฮียเปียว
ทุกคนที่มองหลี่โม่ต่างก็พากันตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าหลี่โม่จะเป็นคนที่พูดว่าจะลงมือก็ลงมือในทันที ทั้งๆ ที่บทสนทนาของทุกคนนั้นยังไม่จบลง
ฉู่จงเทียนเป็นคนแรกที่กลับมามีสติ หันไปคว้าดาบซามูไรในมือของคนที่อยู่ข้างหลัง และข่มขู่คนของเฮียเปียว
“อยู่เฉยๆ นี่มันเป็นเรื่องระหว่างเจ้านาย ใครกล้ายกมือขึ้นแม้แต่เล็กน้อย ฉันจะตัดมือคนนั้น ใครกล้ายกเท้าขึ้น ฉันจะตัดเท้าคนนั้น และใครกล้าก้าวไปข้างหน้า ฉันจะเอาชีวิตคนนั้น! ”
ลูกน้องของฉู่จงเทียนต่างกลับมามีปฏิกิริยาอีกครั้ง แล้วรีบพุ่งเข้ามา พร้อมกับถือดาบซามูไรชี้ไปทางลูกน้องของเฮียเปียว
“ไม่ได้ยินที่ท่านเทียนพูดหรือไง อย่าขยับ ถ้าใครขยับจะฆ่าคนนั้น!”
“พี่ใหญ่แก้ปัญหากัน ลูกน้องเฝ้าระวังก็พอ อย่าได้ทำผิดกฎ”
ภายใต้การกดขี่ข่มเหงของฉู่จงเทียน ลูกน้องของเฮียเปียวรู้สึกกลัวเล็กน้อย ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปช่วยเฮียเปียวอย่างหุนหันพลันแล่น
หลี่โม่พุ่งไปอยู่ตรงหน้าของเฮียเปียว เฮียเปียวดูเคร่งขรึม ยกที่เขี่ยบุหรี่คริสทัลที่ทั้งหนาและหนักบนโต๊ะเป็นอาวุธ จากนั้นทุบไปที่หน้าผากของหลี่โม่
หลี่โม่พลิกตัวเล็กน้อย จับแขนขวาของเฮียเปียวด้วยมือทั้งสองข้างและใช้แรง เสียงกระดูกหักดังขึ้น เฮียเปียวก็ร้องด้วยความเจ็บปวด
“อ้า! เจ็บๆๆ! แขนของฉัน!”
เมื่อเห็นแขนที่งอผิดรูป น้ำตาขอเฮียเปียวก็ไหลลงมา เจ็บจนไขมันในร่างกายสั่นสะท้าน
หลี่โม่ยังไม่วางมือ จากนั้นเขาก็จับแขนอีกข้างของเฮียเปียว
เฮียเปียวหวาดกลัวจนวิญญาณกำลังจะสลายไป เขาตะโกนด้วยความหวาดกลัว”พี่ใหญ่โปรดไว้ชีวิต อย่าทำอีกเลย ตอนนี้แขนของฉันหักไปข้างหนึ่งแล้ว!”
“ฮึ่ม แขนข้างนั้นคือค่าเสียหายที่เฮียเปียวเป็นคนสร้างปัญหา ส่วนข้างนี้คือค่าเสียหายที่เฮียพีลี่เป็นคนสร้างปัญหา”
หลังจากที่หลี่โม่พูดจบเขาก็ออกแรงอีกครั้ง แขนของเฮียเปียวหักเป็นสองท่อนในทันที
“แม่งเอ๊ย เจ็บจะตายอยู่แล้ว! พี่ใหญ่โปรดไว้ชีวิต คุณหลี่ยกโทษให้ฉันเถอะ ฉันไม่ควรโลภกับเงินจำนวนเล็กน้อยเช่นนี้”
เฮียเปียวตื่นตระหนก ร้องขอความเมตตา
“มาเสียใจตอนนี้ มันสายไปแล้ว!”
ในขณะที่หลี่โม่พูด เท้าขวาของเขาเหยียบไปที่ต้นขาของเฮียเปียวอย่างแรง ทำให้กระดูกต้นขาของเฮียเปียวแตกออก
“เวรเอ๊ย! แกจะฆ่าฉันหรือไง แกกล้าให้โอกาสฉันโทรศัพท์ไหม ผู้หนุนหลังของฉันเป็นถึง‘ผืนฟ้าของเมืองฮ่าน’เลยนะ!”
ฉู่จงเทียนตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้!
ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น‘ผืนฟ้าของเมืองฮ่าน’ มีเพียงเขาผู้นั้น!
นั่นคือผู้ที่ควบคุมชีวิตและความตายของทุกคนในเมืองฮั่น เพียงแค่ขยับปากก็สามารถทำให้บริษัทในเมืองฮั่นล้มละลาย แค่เคาะโต๊ะก็สามารถล้มล้างหัวหน้าใหญ่อย่างฉู่จงเทียนได้
“คุณหลี่…”
ฉู่จงเทียนตะโกนออกมา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อดี
ตอนนี้เฮียเปียวก็ถูกอัดเละไปแล้ว ถือว่ามีเรื่องกับผู้หนุนหลังของเฮียเปียวต้องโทษถึงตาย ในตอนนี้ไม่ว่าจะจัดการอย่างไร ก็รู้สึกว่าไร้ประโยชน์
หลี่โม่ยิ้ม และเหยียบไปที่ต้นขาอีกข้างของเฮียเปียว
“ขาข้างนั้นเป็นค่าเสียหายที่แกต้องจ่ายสำหรับการโทรหาเฮียหลังมาสร้างปัญหา และขาข้างสุดท้ายนี้ คือค่าเดินทางของฉันที่มาหาแก”
หลี่โม่พูดเบาๆ แต่ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
“อ้า! ไอ้เวรเอ๊ย! รอฉันโทรศัพท์แป๊บ วันนี้แกต้องตายที่นี่!”
เฮียเปียวคำรามออกมาจากจิตวิญญาณ
หลี่โม่เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงของเขาทั้งสองข้างและเดินไปหาฉู่จงเทียน“ให้คนโทรแทนเขา”
ตอนนี้แขนขาของเฮียเปียวหัก 4 ข้าง ซึ่งเขาไม่สามารถหยิบโทรศัพท์มือถือได้ จึงต้องมีคนช่วยโทรแทนเขา
“คุณหลี่ เฮียเปียวบอกว่าผู้คอยหนุนหลังของเขาคือผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในเมืองฮั่น ซึ่งเป็นคนที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย หากให้เฮียเปียวโทรหา ผลที่ตามมาคงจะ… ”
ฉู่จงเทียนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ หลี่โม่ก็น่าจะเข้าใจเหตุผลที่ว่าเมื่อพบเจอปัญหาการไปหาเจ้าเมืองไม่สู้หาผู้รับผิดชอบจะดีเสียกว่า
“ไม่เป็นไร ฉันจะสั่งสอนให้พวกเขาได้รู้สักหน่อย” หลี่โม่เลิกคิ้ว และยิ้มแห้งที่มุมปาก