จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 22
บทที่ 22 เปิดไพ่แล้ว
“อะไรๆ หุบปากเสีย ที่นี่มีที่ให้คุณพูดหรือ?”
ในตอนนั้น หวังฟางก็ใส่อารมณ์เข้ามา ชี้หน้าด่าหลี่โม่ ในสายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ไอ้คนไม่เอาไหน ยังจะอยากจะเอ่ยปากพูดอีก กลัวจะขายหน้าไม่พอหรือ?
คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ก็ไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บกับเรื่องนี้ แล้วพูดว่า “พอเถอะ ในเมื่อได้สัญญามาแล้ว พวกพี่ๆ น้องๆ ก็ร่วมกันทำงานก็แล้วกัน นี่มันเป็นโอกาสที่ตระกูลกู้จะได้เลื่อนระดับชนชั้นขึ้นในเมืองฮ่าน ทุกคนจะต้องขยันมากกว่าเดิม อย่ารอช้า เข้าใจไหม?”
กู้ซิงเว๋ยก็ตอบรับ “ครับ คุณปู่ ผมจะไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวัง”
กู้ชิงหลินก็พยักหน้าด้วย
“หยุนหลัน เธอละ?” คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้หันหน้าไป สีหน้าแหยๆ
“ทราบแล้วคะ คุณปู่” กู้หยุนหลันกล่าวตอบ
คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ก็พยักหน้า จากนั้นก็ไปพูดกับคนอื่นๆ แล้วเตรียมจะกลับออกไป
ทั้งห้องรับรอง ก็ครึกครื้นขึ้นมากกว่าปกติ เพราะว่าตระกูลกู้ได้ร่วมงานกับบริษัทรุงคาง
แต่ว่า ในตอนนั้น ก็มีเสียงส่งมาจากทางไหนไม่รู้ มาขัดจังหวะความครึกครื้นเสียได้
“คุณปู่ ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งก่อน หยุนหลันและกู้ซิงเว๋ยพนันกันไว้ว่า ถ้าเธอได้สัญญามา ตำแหน่งรองประธานบริษัทจะต้องตกเป็นของเธอนะ”
ตุบ!
กู้ซิงเว๋ยตบโต๊ะอย่างแรง แล้วชี้หน้าด่าหลี่โม่ว่า “กล้ามากนะ ไอ้หลี่โม่ ที่นี่เป็นงานเลี้ยงกลางปีของตระกูลกู้ มึงเป็นเพียงคนนอก มีสิทธิ์อะไรมาชี้นกชี้ไม้ที่นี่!”
กู้ซิงเว๋ยก็จำได้ว่าพนันอะไรไว้ แต่เขาไม่อยากเอ่ยมันออกมา!
คิดว่า กู้หยุนหลันเองก็ไม่อยากเอ่ยมันขึ้น!
เพราะถึงอย่างไร หนังสือสัญญานั้นก็ได้มาอย่างไม่โปร่งใส ยังมีข่าวว่ากู้หยุนหลันใช่วิธีสกปรกเพื่อให้ได้สัญญานั้นมา
“ใช่ หลี่โม่ ทำไมไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้าง กล้าจะมาต่อปากต่อคำกับกู้ซิงเว๋ยตั้งหลายครั้ง หรือว่าจะไม่เห็นตระกูลกู้อยู่ในสายตาเสียแล้วกระมัง!” กู้ชิงหลินก็พูดเหน็บแนมออกมาอย่างเจ็บปวด
หวังฟางก็โกรธมาก พุ่งออกมาอยากจะตบหน้าหลี่โม่ พร้อมต่อว่า “หลี่โม่ ไสหัวออกไปเสีย ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณ!”
แต่ว่า เธอไม่ได้ตบลงไปที่หน้าของเขา
เพราะว่า กู้หยุนหลันที่เงียบมาตลอด ได้ลุกขึ้น แล้วสายตาก็จ้องนิ่งไปที่หวังฟาง พร้อมพูดว่า “แม่คะ พอเถอะ หลี่โม่เป็นสามีหนูนะ!”
หวังฟางก็อึ้ง ไม่คิดว่า ลูกสาวตนเองจะอยู่ฝั่งเดียวกับไอ้คนไม่เอาไหนคนนี้
“หยุนหลัน ลูก….ลูกบ้าไปแล้วหรือ ทำไมถึงได้มาพูดออกหน้าแทนไอ้คนไม่มีอนาคตนี้ได้”
หวังฟางโกรธหน้าแดง ดวงจ้องถลนโตออกมา
กู้หยุนหลันจ้องมองไปที่กู้ซิงเว๋ยนิ่งๆ พร้อมพูดว่า “หลี่โม่พูดถูกต้อง ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้สัญญากับบริษัทรุงคางละก็ ไม่แน่ว่า ฉันก็คงจะถูกไล่ออกไปจากบริษัท ตอนนี้ ในเมื่อได้สัญญามาแล้ว ตำแหน่งรองประธานก็ควรตกเป็นของฉัน”
พูดจบ กู้หยุนหลันก็หันไปมองคุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ พร้อมพูดว่า “คุณปู่คะ คุณปู่รับปากไว้แล้วนะ”
คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ก็กำไม้เท้าแน่น แล้วถอนหายใจยาวๆ “เรื่องนี้ เอาไว้ค่อยพิจารณากันวันหลัง”
พูดจบ คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ก็ไม่อยู่ต่อ หันหลังเดินออกไปจากห้องรับรองเลย
“คุณปู่คะ!” หยุนหลันรีบร้อน!
แต่ว่า คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ก็ไม่ได้หยุดเดิน
กู้ซิงเว๋ยก็หัวเราะเยาะออกมาใหญ่โต “ฮ่าๆ กู้หยุนหลัน เป็นอย่างไรละ ตอนนี้รู้สึกเจ็บใจมากสินะ?”
“ผมจะบอกให้นะ ต่อให้คุณได้สัญญากับบริษัทรุงคางมา ตำแหน่งรองประธานก็ไม่มีทางเป็นของคุณ ผมต่างหากที่เป็นหลานคนโต ผมต่างหากที่จะเป็นคนรับช่วงต่อจากคุณปู่ ตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลกู้ ก็จะต้องเป็นของผม”
พอพูดจบ กู้ซิงเว๋ยก็พาญาติตระกูลกู้เชิดหน้าออกไป
“ทำไมคุณปู่ถึงทำแบบนี้!” รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างมาก
ก็พูดกันไว้ชัดเจนแล้ว แต่ทำไมคุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ถึงได้กลับคำพูดกันนะ
หลี่โม่ก็นั่งข้างๆ เห็นสถานการณ์ทั้งหมด ดวงตาก็ครุ่นคิดเป็นประกาย
ตระกูลกู้ ยังถือว่าเป็นการแก่งแย่งฉากเล็กๆ
เรื่องผลประโยชน์และการแก่งแย่ง ยังไม่ถือว่ารุนแรงเท่าไร
“หยุนหลัน ตำแหน่งรองประธาน ช้าเร็วก็ต้องเป็นของคุณ” สีหน้าหลี่โม่มองไปที่กู้หยุนหลันอย่างจริงจัง
กู้หยุนหลันหันหน้ามา น้ำตาก็อาบแก้มแล้ว พูดว่า “จริงหรือ?”
หลี่โม่พยักหน้า “จริงสิ!”
ตอนนี้ เขาเป็นถึงเจ้านายของสำนักหลงเหมิน
ตระกูลกู้แห่งเมืองฮ่านเล็กๆ แห่งนี้ แค่โบกมือก็สามารถกวาดล้างจนเรียบได้ ไม่ต้องพูดถึงแค่ตำแหน่งรองประธาน ต่อให้เป็นหัวหน้าตระกูลกู้ เขาก็สามารถชิงเอามาให้กู้หยุนหลันได้!
“ช่างเถอะ คุณจะทำอะไรไป ต่อหน้าคนอื่นๆ คุณปู่ก็คงไม่เปลี่ยนใจ” กู้หยุนหลันเช็ดน้ำตาที่หางตา แล้วยิ้มแหยๆ
จากนั้น เธอก็มองแก้มของหลี่โม่ แล้วก้มหน้าขอโทษว่า “ขอโทษนะ เมื่อครู่นี้ฉันตบหน้าคุณไป ตบนั้น เดี๋ยวฉันจะชดใช้ให้นะ”
หลี่โม่อึ้ง แม้แต่การตบก็ต้องสนองคืนตนเองหรือ?
พูดจบ กู้หยุนหลันก็ลุกขึ้น แล้วออกไปจากห้องรับรอง
หลี่โม่ก็ตามไป
กลับมาถึงบ้าน หวังฟางอารมณ์ไม่ดีมาจากงานเลี้ยงก็หายเป็นปลิดทิ้ง เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นขึ้นมาก พูดว่า “เฮ้อ ลูกสาวฉันนี่เก่งจริงๆ เลย ได้หนังสือสัญญากับบริษัทรุงคางเสียด้วย ผลประโยชน์มากมายเลยนะนี่ ต่อไปบ้านพวกเราก็มีความหวังแล้ว”
กู้เจี้ยนหมินนั่งอยู่บนโซฟา จิบน้ำชา ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
“นี่ เจี้ยนหมิน คุณบอกสิว่า คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้หมายความว่าอย่างไร ก่อนหน้านี้บอกแล้วว่าจะยกตำแหน่งรองประธานให้เธอ ทำไมวันนี้มากลับคำเสียอย่างนั้น?”
ในตอนนั้น หวังฟางก็นึกถึงเรื่องในงานเลี้ยง ในใจก็รู้สึกไม่พอใจ
กู้เจี้ยนหมินก็ถอนหายใจ “คุณยังดูไม่ออกหรือว่า ตำแหน่งรองประธานนั้น คุณท่านใหญ่ตระกูลกู้ได้เล็งไว้แล้วจะให้กู้ซิงเว๋ย หยุนหลันของพวกเราไม่มีโอกาสหรอก ถึงอย่างไร ต่อไปบริษัทวินเซิงก็ต้องส่งต่อให้กับกู้ซิงเว๋ย”
“จะได้อย่างไรกัน! ก็เห็นอยู่ว่าพูดต่อหน้าคนอื่นๆ ไปแล้ว จะมากลับคำพูดได้อย่างไร” หวังฟางรีบร้อน
“เช่นนั้นคุณก็ไปพูดกับคุณท่านใหญ่ตระกูลกู้สิ” กู้เจี้ยนหมินกล่าว
เอ่อ………
หวังฟางก็หายหัวร้อนโดยทันที เธอหรือจะกล้าไปมาทวงถามอะไรจากคุณท่านใหญ่ตระกูลกู้
ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ กู้หยุนหลันและหลี่โม่ก็กลับบ้านมา พวกเขากลับมาจากโรงพยาบาล คืนนี้หลี่โม่ก็ยังต้องไปเฝ้าไข้
หวังฟางเห็นลูกสาวกลับมาแล้ว ก็เข้าไปยืนข้างๆ เธออย่างดีใจ พร้อมเอามือผลักหลี่โม่ออกไป แล้วพูดว่า “หยุนหลัน ลูกสาวคนดีของแม่ ลูกช่างเป็นดาวแห่งโชคลาภประจำบ้านเราจริงๆ ถึงขนาดได้หนังสือสัญญากับบริษัทรุงคาง แม่ดีใจแทนลูกมากจริงๆ”
กู้หยุนหลันไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยตลอดทางที่กลับมา เธอไม่เคยพบหน้ากับหรุงปินเลย สัญญานั่นมันมาได้อย่างไร เธอเองก็ไม่ชัดเจน
“แม่คะ จริงๆ แล้วสัญญานั่น หนูไม่ได้เป็นคนจัดการนะคะ” กู้หยุนหลันก็ตัดสินใจพูดออกมา
“อะไรนะ ลูกไม่ใช่คนจัดการงั้นหรือ? แล้วเป็นใครกัน?” หวังฟางอึ้ง กู้เจี้ยนหมินก็หูผึ่งอยากรู้เช่นกัน
หลี่โม่ก็ส่ายหัว กู้หยุนหลันช่างไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ
หวังฟางเห็นหลี่โม่ส่ายหัว ก็ไม่พอใจ พูดว่า “แกส่ายหัวอะไร ทำไมหะ หนังสือสัญญานี่ แกเป็นคนจัดการมาอย่างนั้นหรือ? ในงานเลี้ยง แกก็พูดอะไรไปเรื่อย ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับแกเลยนะ!”
ได้ยินดังนั้น กู้หยุนหลันก็ถึงบางอ้อ แล้วหันไปมองหลี่โม่ แล้วตั้งใจพูดว่า “หลี่โม่ ครั้งก่อนคุณบอกฉันว่า สัญญานั้นจะต้องเป็นของฉันแน่ๆ วันนี้ประธานหรุงก็เอาสัญญามาส่งให้ เรื่องนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่?”
“อะไรกัน ไอ้หลี่โม่มันพูดอย่างนั้นด้วยหรือ?” หวังฟางสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าดูโอเวอร์มาก
หลี่โม่เห็นสายตาที่สงสัย จับจ้องมาที่ตนเอง ในใจก็ครุ่นคิด หรือว่า จะเปิดไพ่เผยความจริงๆ เสียเลยดีไหม?