จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 228
บทที่ 228 ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน
แคร่ก!
ฮั่วเจี้ยนเฟิงหมุนกลอนประตูและเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
จากนั้นเขาหายใจลึกๆ แล้วเตะประตูห้องหมายเลข 118 ออกแล้วพุ่งเข้าไปในห้องและตะโกนว่า “ไอ้บ้าคนไหนกล้าแข่งกับกู!”
พนักงานที่กำลังทำความสะอาดในห้องมองไปที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงด้วยความประหลาดใจ
“คุณผู้ชายคะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”
แม้ฮั่วเจี้ยนเฟิงจะดูเป็นตัวตลก แต่พนักงานก็ไม่กล้าแสดงออกมาและเก็บอาการไว้อย่างดี
ฮั่วเจี้ยนเฟิงมองไปที่ห้องส่วนตัวที่มีเพียงพนักงานทำความสะอาด จากนั้นสองมือสอดเข้าไปที่เส้นผมของเขาและบีบผมของเขาด้วยความแรง
“สารเลว! ไอ้บ้านี้มันไปไหนแล้ว! คนที่อยู่ในห้องนี้ไปไหนแล้ว!”
“คุณผู้ชายในห้องนี้ออกไปแล้วค่ะ ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเขาไปไหนนะคะ”
พนักงานตอบเบาๆ
ฮั่วเจี้ยนเฟิงคว้าคอเสื้อของพนักงานแล้วเขย่าเธอด้วยความแรง “เธอรู้หรือเปล่าว่ามันเป็นใคร?”
“ขออภัยค่ะคุณผู้ชาย หนูไม่ได้เจอเขาเลยค่ะ ผู้จัดการเพิ่งสั่งให้หนูมาทำความสะอาดเหมือนกันนะคะ”
สาวพนักงานมองฮั่วเจี้ยนเฟิงด้วยความตื่นตระหนกและกังวลว่าฮั่วเจี้ยนเฟิงจะทำร้ายเธอ
จากนั้นฮั่วเจี้ยนเฟิงก็ผลักพนักงานออกไปแล้วกวาดมองทั่วห้องและเตรียมเดินออกจากห้องนั้น
ในขณะที่ฮั่วเจี้ยนเฟิงกำลังจะหันเดินออกไป เขาก็เหลือบมองเห็นป้ายลงทะเบียนที่ถูกทิ้งไว้บนมุมโต๊ะ
ฮั่วเจี้ยนเฟิงขมวดคิ้วแล้วเดินไปหยิบป้ายลงทะเบียนนั้นขึ้นมา “นี่คือป้ายลงทะเบียนที่เจ้าของห้องนี้ทิ้งไว้เหรอ?”
“น่าจะ น่าจะใช่ค่ะ”
พนักงานสาวรีบตอบ
ฮั่วเจี้ยนเฟิงจ้องไปที่ป้ายลงทะเบียนอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่านี่มันเหมือนป้ายลงทะเบียนที่แขวนอยู่บนตัวของหลี่โม่
พรึ่บ!
จากนั้นป้ายลงทะเบียนก็หลุดออกจากปลายนิ้วของฮั่วเจี้ยนเฟิงและตกลงไปที่พื้น
ใช่หลี่โม่?
คนที่ประมูลแข่งกับเราคือหลี่โม่?
คนที่ยอมจ่ายเงินเจ็ดสิบล้านคือหลี่โม่?
ฮั่วเจี้ยนเฟิงเฝ้าถามตัวเองแต่ไม่สามารถจินตนาการกับคำตอบได้
ฮั่วเจี้ยนเฟิงที่รู้สึกสิ้นหวังค่อยๆ เดินออกจากงานประมูลอย่างสับสน
……
หลังจากประมูลหยกแก้วอันล้ำค่าได้สำเร็จหลี่โม่ก็กลับบ้านอย่างมีความสุข
ทันทีที่เข้าประตูบ้านหลี่โม่ก็ได้ยินเสียงสนทนาที่สนุกสนานในห้องรับแขก ดูเหมือนว่าจะมีแขกเข้ามาที่บ้านเขา
หลี่โม่เดินผ่านห้องรับแขกและเห็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีลักษณะคล้ายกับหวังฟางนั่งอยู่บนโซฟา
“จะยืนทื่อเป็นท่อนไม้อยู่ทำไม ยังไม่รีบเข้ามาทักทายผู้ใหญ่อีก คุณป้าคนนี้เป็นป้าคนที่สองของหยุนหลัน นายก็เรียกท่านว่าคุณป้าเลยนะ” หวังฟางสีหน้าบึ้งตึงแล้วพูดกับหลี่โม่อย่างไม่เกรงใจ
ครอบครัวของหวังฟางไม่ได้ถือว่าเป็นครอบครัวที่ใหญ่โตในเมืองฮ่าน คุณปู่ของตระกูลหวังได้สร้างครอบครัวเล็กๆ นี้ด้วยการรับราชการจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นครอบครัวตระกูลหวังจึงถือว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะระดับปานกลางในเมืองฮ่าน
ซึ่งลูกๆ ของครอบครัวตระกูลหวังในรุ่นของหวังฟางจะมีพี่น้องอยู่สี่คนด้วยกัน หวังฟางเป็นลูกคนสุดท้อง เธอมีพี่ชายเป็นลูกคนโต พี่สาวเป็นลูกคนที่สองและพี่ชายอีกคนเป็นลูกคนที่สาม ซึ่งวันนี้คนที่มาเยี่ยมที่บ้านคือพี่สาวลูกคนที่สองชื่อหวังเหมย
“สวัสดีครับคุณป้า”
หลี่โม่เดินเข้าไปแล้วพูดกับหวังเหมย
“โอ้ เขาก็คือคนนามสกุลหลี่คนนั้นเหรอ น้องเล็กจ๋า ลูกเขยของน้องคนนี้ก็คือคนที่ทำเสริมสวยใช่ไหม? เป็นผู้ชายใครจะหากินแบบนี้ รอตายชัดๆ”
หวังเหมยพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม
ทันใดนั้นสีหน้าของหวังฟางก็มืดลงและพูดด้วยความเกลียดชัง “หลี่โม่ นายทำตัวไม่เอาไหนยังไม่พอ ดึกดื่นป่านนี้ยังออกไปเถลไถลข้างนอกอีก นายอยากให้ฉันบ้าตายใช่ไหม!”
หวังเหมยจับมือของหวังฟางแล้วยิ้มพูด “ใจเย็นก่อนสิน้องเล็ก เครียดไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะ เรื่องคู่ครองมันอยู่ที่โชคชะตาด้วย ของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้หรอกนะ ต้องโทษโชคชะตาของหยุนหลันไม่ดีเอง ถึงต้องมาเจอกับคนเกียจคร้านแบบนี้”
หลี่โม่มองไปที่หวังเหมยแล้วเดินไปนั่งลงข้างกู้หยุนหลันอย่างเงียบๆ
หวังเหมยยิ้มพูดอย่างเย็นชาต่อ “ดูลูกเขยของเธอสิ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลย ดูก็รู้ว่าเป็นคนจำพวกไม่เอาไหน จริงด้วยสิ วันเกิดครบรอบ 70 ปีของคุณพ่อใกล้จะถึงแล้วนะ ถึงเวลาเธออย่าพาคนแบบนี้ไปด้วยล่ะ ฉันกลัวว่าพ่อจะเครียดจนเป็นบ้าถ้าเจอคนแบบนี้”
“เธอก็รู้ว่าพ่อทำงานราชการมาทั้งชีวิต ท่านเป็นคนขยันขันแข็งมากแค่ไหน อีกอย่างท่านก็เกลียดคนเกียจคร้านที่สุด คนไร้ประโยชน์แบบนี้เธอเก็บไว้ที่บ้านเถอะนะ แค่ฉันเห็นก็รู้สึกคลื่นไส้แล้วล่ะ”
สีหน้าของกู้หยุนหลันแย่ลงทันที ถ้าไม่ติดที่เป็นป้าของเธอ เธอคงจะเอาเรื่องไปนานแล้ว
หวังฟางรู้สึกโกรธมาก เดิมทีเห็นหน้าหลี่โม่ก็รำคาญอย่างเต็มทนแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาวแล้วเธอก็ยิ่งโกรธหลี่โม่มากขึ้น
“น้องเล็กจ๋า เธอจำลูกเขยที่โจวชุ่ยหัวลูกสาวฉันหามาได้ไหม เขาเอาการเอางานแค่ไหน เงินเดือนต่อปีเป็นหลายล้านเชียวนะ วันหยุดตรุษจีนเขายังเอาขวัญมากมายมาให้ที่บ้านด้วย เหล้าเหมาไถกับบุหรี่จงหัวเป็นลังๆ ทำให้ที่บ้านกินไม่หมดถึงขั้นต้องแจกจ่ายให้ญาติๆ เป็นของขวัญเลยมีเดียว”
เมื่อพูดถึงลูกเขย หวังเหมยก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ และเมื่อเห็นสีหน้าความขมขื่นของหวังฟางแล้วเธอก็ยิ่งได้ใจมากกว่าเดิม
หวังฟางอึดอัดจนพูดไม่ออก ต่อให้เธอด่าหลี่โม่จนตายก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
“เธอไม่ต้องน้อยใจหรอกนะน้องเล็ก พี่ว่านะ หยุนหลันก็หน้าตาดี ขอแค่เธอได้เลิกกับคนไร้ประโยชน์แบบนี้ วันหลังหาแฟนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก เธอเคยคิดเรื่องนี้ไหม”
“หยุนหลันจ๋า หลานอย่าหาว่าป้าพูดจาไม่ดีเลยนะ ป้าหวังดีต่อหลานนะรู้ไหม หลานใช้ชีวิตกับคนไร้ประโยชน์แบบนี้แล้วจะมีความสุขได้ยังไง รีบหย่ากับมันเถอะนะ เดี๋ยวป้าจะหาคนใหม่ที่ดีให้หลาน ป้าจะบอกให้นะ ลูกเขยที่บ้านป้าน่ะ ป้าก็เป็นคนหามาเองนะ”
หวังเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งได้ใจ ตอนนี้ความภาคภูมิใจของเธอไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
“ขอบคุณนะคะคุณป้า แต่ไม่จำเป็นค่ะ หนูกับหลี่โม่ยังรักกันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องงานไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยค่ะ” กู้หยุนหลันก้มหน้าพูด
“ยัยนี่ ทำไมเอาแต่อยู่ในกะลา คนไร้ประโยชน์แบบนี้มีดีตรงไหน เธอไม่ลองเชื่อฟังคำพูดของคุณป้าบ้างล่ะ ถ้าพวกเธอหย่ากันเธอจะได้แต่งงานใหม่กับคนที่ประสบความสำเร็จ เธอจะมีทรัพย์สินเงินทอง ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องอนาคตอีก แล้วพ่อแม่ก็จะได้หน้าไปด้วย”
“เราจะไม่หย่ากันจริงๆ ค่ะ อีกอย่างซีซีก็ต้องมีพ่อผู้ให้กำเนิดด้วย”
กู้หยุนหลันพูดอย่างดื้อดึง
“ป้าไม่ได้โกหกเธอหรอกนะ เธอจะไยดีกับคนแบบนี้ทำไมกัน ถ้าเธอแต่งานใหม่กับคนที่ประสบความสำเร็จ ซีซีของเธอก็จะมีชีวิตที่ดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้เรียนโรงเรียนที่ดีกว่า ได้การรักษาพยาบาลที่ดีกว่า ทุกสิ่งนี้คนไร้ประโยชน์อย่างเขาให้เธอไม่ได้หรอก”
กู้หยุนหลันทนฟังต่อไปไม่ไหวอีก จากนั้นเธอจับมือหลี่โม่แล้วลุกขึ้นยืน “คุณป้าคะ หนูกับหลี่โม่รักกันมาก คุณป้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องหย่าร้างอีกนะคะ เราไม่มีวันหย่ากันอย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นกู้หยุนหลันจับมือหลี่โม่แล้วเดินกลับไปที่ห้อง สีหน้าของหวังเหมยก็เต็มไปด้วยความซับซ้อน เธอรู้สึกอับอาย รู้สึกโมโหและรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“น้องเล็ก ดูสิ ฉันอุตส่าห์หวังดีต่อพวกเธอ แต่เอาเถอะ ฉันก็จะไม่อยู่ให้เสียเวลาอีก ครอบครัวของเธอดิ้นรนเอาเองก็แล้วกัน”