จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 261
“จับกุมพวกเขา? พวกคุณจะหวังในตัวผมมากเกินไปแล้ว ถ้าผมมีความสามารถขนาดนั้นโลกนี้คงแม่แต่Peace & Love นะ”
เจ้าหน้าที่ส่ายหัวตอบ
“เพราะอะไรครับ ช่วยบอกเราที”
กู้เจี้ยนกั๋วถามด้วยรอยยิ้ม
“จะถามผมทำไม คุณไปถามคุณหลี่สิ คุณหลี่เป็นสมาชิกในครอบครัวคุณไม่ใช่เหรอ? เขาเป็นถึงคนใหญ่คนโตที่สามารถทำให้ตระกูลซูต้องใช้เส้นสายมาต่อกรด้วย แถมแล้วยังทำให้เราต้องส่งพวกเขามาขอโทษอีกด้วย”
“ผมยังรู้สึกสงสัยในตอนที่ได้รับคำสั่งเลย ตระกูลซูในเมืองเอกเคยวุ่นวายขนาดนี้เมื่อไหร่กัน คุณลองไปถามเพื่อนในเมืองเอกดูเดี๋ยวก็รู้สาเหตุเอง”
เจ้าหน้าที่ถึงขั้นถึงพูดความจริงจากใจ
กู้เจี้ยนกั๋วกอดอกแล้วพูดต่อ “ผมจะไปทราบได้ไงครับ ก็ตั้งใจถามคุณอยู่”
“ทรัพย์สินของตระกูลซูในเมืองเอกถึงอายัดหมด ราคาหุ้นของบริษัทก็ดิ่งลงอย่างไม่หยุด ผมกล้าพูดว่าครอบครัวตระกูลซูต้องตกใจจนฉี่ราดอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ผมเดาได้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับคุณหลี่อย่างแน่นอน”
หลังจากกู้เจี้ยนกั๋วได้ฟังคำพูดนี้สมองของเขาก็ว่างเปล่าทันที เดิมทีที่เต็มไปด้วยคำถามก็หายไปในพริบตา
กู้เจี้ยนเจียงและคนอื่นๆ ที่ได้ยินคำพูดนี้ก็ต้องตกใจเหมือนกู้เจี้ยนกั๋ว สายตาของทุกคนหมดหมองและทำอะไรไม่ถูก
กู้หยุนหลันจับมือหลี่โม่แล้วกระซิบพูดกับเขา “เราไปกันเถอะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
“ได้สิ ตามใจภรรยาเลยครับ”
หลี่โม่จุงมือกู้หยุนหลันแล้วเดินผ่านเหล่าไป๋และคนอื่นๆ จากนั้นก็ตรงออกจากห้องประชุม
เหล่าไป๋และคนอื่นๆ ได้แต่มองดูแผ่นหลังของหลี่โม่อย่างขมขื่น ถึงตอนนี้พวกเขายังไม่แน่ใจว่าหลี่โม่ให้อภัยพวกเขาแล้วหรือยัง
เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็ตกใจ จากนั้นโบกมือส่งสัญญาณแล้วจากไปพร้อมกับเหล่าไป๋และคนอื่นๆ
กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน ทุกคนนั่งอยู่ที่เดิมด้วยความสิ้นหวัง
ในใจทุกคนเต็มไปด้วยคำถาม พวกเขาคิดว่าคำพูดของคนเมื่อกี้อาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ เพราะเขาก็ฟังมาจากคนอื่นเหมือนกัน
แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงแล้วเหล่าไป๋กับคนอื่นๆ ทำไมต้องมาขอโทษหลี่โม่ถึงที่ด้วย อีกอย่างยังคุกเข่าขอโทษด้วย!
คำถามเหล่านี้เหมือนก้อนเมฆที่ปกคลุมจิตใจของกู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่นๆ
“เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ คนอย่างหลี่โม่จะทำให้ตระกูลซูในเมืองเอกยอมแพ้ได้ไง”
กู้เจี้ยนกั๋วถามอย่างจนปัญญา
กู้เจี้ยนเจียงประคองคางด้วยมือทั้งสองข้างแล้วส่ายหัวอย่างอาลัยอาวรณ์ “นี่มันเรื่องบ้าบอชัดๆ ไอ้กระจอกอย่างมันจะทำได้ไง หรือว่ามีคนจัดการกับตระกูลซูพอดี จึงทำให้ตระกูลซูคิดว่าเป็นฝีมือของหลี่โม่”
“มันก็อาจจะเป็นไปได้นะ แต่ความเป็นไปได้นั้นต่ำมาก ยิ่งครอบครัวตระกูลซูไม่ใช่ครอบครัวเล็กๆ เรื่องแค่นี้ทำไมจะสืบไม่ได้ล่ะ”
กู้เจี้ยนกั๋วพูดอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นหยิบยาระงับประสาทแล้วใส่เข้าปากทันที ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องเซฟตัวเองไว้ก่อน
กู้ซิงเว๋ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วดูข่าวหุ้นของบริษัทตระกูลซู จากนั้นตะโกนขึ้นเหมือนเห็นผี “หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของตระกูลซูตกลงมาจนแทบจะติดลบแล้ว!”
“หือ!”
กู้เจี้ยนกั๋วหายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกอึดอัดใจมาก ในตอนนี้เขาสงสัยขึ้นมาทันทีว่าตระกูลซูต้องสูญเสียไปเท่าไหร่!
“คนกระจอกอย่างหลี่โม่ไม่มีทางทำได้หรอก ต้องมีใครคนอื่นที่คอยบงการอยู่ข้างหลังและทำให้หลี่โม่โชคดีไปด้วยอย่างแน่นอน!”
กู้ชิงหลินพูดอย่างเสียงดัง
เป็นเพราะความโชคดีของหลี่โม่?
ไม่มีใครสามารถการันตีได้ ในเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างดูแปลกไปหมด กู้เจี้ยนกั๋วจึงคิดว่ารอดูไปก่อนจะดีกว่า
“เรื่องนี้คาดเดายากจริงๆ ในเมื่อเราต่างก็ไม่แน่ใจ ผมว่าเราทุกคนคอยสังเกตการณ์ไปก่อนแล้วคอยระวังตัวกันไว้จะดีกว่า”
หลังจากได้ข้อสรุปจากกู้เจี้ยนกั๋วแล้ว ทุกคนต่างก็มีคำตอบในใจ เหลือเพียงกู้ชิงหลินคนเดียวที่ยังรู้สึกไม่ตายใจ
……
หลังจากหลี่โม่กับกู้หยุนหลันกลับไปถึงบ้าน หวังฟางเห็นว่าทั้งสองกลับมาก่อนเวลา เธอจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมา
“ทำไมวันนี้กลับบ้านเช้าจัง ไอ้เหลือขอหลี่โม่นายสร้างปัญหาที่บริษัทอีกแล้วใช่ไหม!”
“เปล่าค่ะแม่ หนูไม่ค่อยสบายก็เลยกลับมาก่อน”
กู้หยุนหลันพูดแทนหลี่โม่
หวังฟางมองไปที่กู้หยุนหลันแล้วพูดอย่างเย็นชา “ตาบวมๆ แบบนี้แม่ว่าเธอไม่ได้ไม่สบายหรอก เธอเพิ่งร้องไห้ใช่ไหม! หลี่โม่นายมานี่เลยนะ! นายหาเรื่องทำให้หยุนหลันต้องร้องไห้อีกแล้วใช่ไหม!”
“แม่คะ หลี่โม่ไม่ได้ทำให้หนูร้องไห้นะคะ เมื่อกี้ฝุ่นเข้าตา น้ำตาหนูก็เลยไหลค่ะ”
หวังฟางได้แต่กลอกตาขาว เมื่อเห็นกู้หยุนหลันพยายามปกป้องหลี่โม่ขนาดนี้ เธอจึงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“หยุนหลัน เธอมานั่งลงก่อน”
หวังฟางตบเก้าอี้ที่นั่งข้างเธอเบาๆ
กู้หยุนหลันผลักหลี่โม่เบาๆ และส่งสายตาให้เขากลับไปที่ห้องนอนก่อน ถ้าขืนอยู่ต่อก็คงโดนด่าไม่หยุด
หลี่โม่พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินกลับห้องก่อนคนเดียว
หลังจากกู้หยุนหลันนั่งลง หวังฟางก็จับมือเธอแล้วพูด “เธอจำหลี่ชุ่ยเหลียนได้ไหม เพื่อนเก่าของแม่ที่ชอบมาบ้านเราบ่อยๆ ตอนเธอยังเป็นเด็ก”
“ยังจำได้อยู่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นกับคุณน้าหลี่?”
“คุณน้าหลี่บอกว่ามีงานประมูณที่เมืองหลิน แกชวนครอบครัวเราไปเที่ยวด้วย แม่คิดว่าครอบครัวเราก็ไม่ได้ออกไปไหนพร้อมกันมานานแล้ว แม่จึงรับปากคุณน้าหลี่ไป”
หวังฟางพูดไปด้วยและสังเกตสีหน้าของกู้หยุนหลันไปด้วย จากนั้นกู้หยุนหลันพยักหน้าแล้วตอบอย่างเฉยเมย “ครอบครัวเราไปพร้อมหน้าพร้อมตาก็ดีเหมือนกันนะ”
“โอเค แต่ไม่ต้องพาไอ้หลี่โม่ไปด้วยนะ อายคุณน้าหลี่เขา เดี๋ยวเสียหน้าแล้วแม่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนอีก พวกเราพ่อแม่ลูกไปด้วยกัน ส่วนหลี่โม่ก็อยู่บ้านนี่แหละ”
กู้หยุนหลันหยุดชะงักไปสักพักแล้วส่ายหัวตอบ “ไม่ ไม่ได้”
“อ้าว ไอ้เด็กคนนี้ ทำไมไม่ได้ล่ะ เมื่อกี้ยังรับปากแม่อยู่เลย ไอ้หลี่โม่เอายาอะไรให้เธอกินกันแน่!”
หวังฟางเริ่มขึ้นเสียงกับเธอ
“ถ้าหลี่โม่ไม่ไปหนูก็ไม่ไปค่ะ แม่บอกว่าให้เราไปกันทั้งครอบครัว หลี่โม่ก็เป็นครอบครัวของเรานะ”
กู้หยุนหลันพูดอย่างดื้อรั้น
หวังฟางกุมหน้าผากและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“เธออยากเห็นแม่ต้องขายหน้าขนาดนั้นเลยเหรอ พาหลี่โม่ไปก็มีแต่เสียกับเสีย ไม่ต้องทำอะไรพอดี! ถ้าเขาเอางานเอาการหน่อยแม่คงไม่ต้องพูดแบบนี้หรอก”
หวังฟางพูดอย่างโกรธเคือง
หลี่โม่ที่ได้ยินเสียงของหวังฟางก็ออกจากห้องนอนและพูดว่า “ผมไม่ไปก็ได้ครับ”
“ไม่ได้ จะไปก็ไปด้วยกัน ถ้าคุณไม่ไปฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน”
กู้หยุนหลันยังคงยืนยันคำเดิม
หวังฟางที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอึดอัดและครุ่นคิดอยู่สักพัก “หลี่โม่ นายกลับห้องไปก่อน ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับหยุนหลันอีก”
จากนั้นหลี่โม่ก็เดินกลับไปในห้องและกู้หยุนหลันก็หันมองไปที่หวังฟางด้วยความสงสัย
“หยุนหลันเอ๋ย แม่จะบอกตรงๆ กับเธอก็แล้วกันนะ อันที่จริงแล้วฮั่วเจี้ยนเฟิงเป็นคนชวนพวกเราเอง พ่อเธอเป็นคนชอบหินหยกมาก ดังนั้นเราจึงตอบตกลงเขาไป ถ้าเราปฏิเสธตอนนี้ก็คงไม่ดีหรอกนะ แล้วเธอคิดว่า……”