จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 278
หลังจากที่เฝิงจื่อฉายและคนอื่น ๆ คุกเข่าก้มกราบสามครั้ง ฉู่จงเทียนก็เตะกล่องดาบชูราไปตรงหน้าของเฝิงจื่อฉาย
พวกที่สอดรู้สอดเห็นต่างถอยไปข้างหลัง กังวลว่าตอนที่เฝิงจื่อฉายใช้ดาบแทงตนเอง3ครั้ง 6รู(แทงทะลุต้นขา3ครั้ง) เลือดจะกระเด็นใส่ตนเอง
กู้หยุนหลันค่อยๆดึงหลี่โม่ ไม่อยากดูฉากนองเลือด
“เรื่องนี้ฝากคุณดูแลด้วย”
หลี่โม่กำชับฉู่จงเทียน จากนั้นก็พากู้หยุนหลันหันหลังแล้วเดินจากไป
เฝิงจื่อฉายมองไปที่หลังของหลี่โม่อย่างเคียดแค้น จากนั้นก้มหน้ามองดาบชูราในกล่อง
“ท่านเทียน ไอ้ไร้ประโยชน์ก็ไปแล้ว ผมไม่ต้องแทงตนเอง3ครั้ง 6รู(แทงทะลุต้นขา3ครั้ง)แล้วใช่ไหม”
เฝิงจื่อฉายถามเสียงสั่น
“เจี้ยนปิน คุณเป็นพยาน คุณต้องแน่ใจว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามสัญญาการเดิมพันแล้ว”
ฉู่จงเทียนดึงลู่เจี้ยนปินเข้ามาเกี่ยวข้อง
ลู่เจี้ยนปินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เมื่อยินยอมเล่นการพนัน ก็ต้องยอมรับเมื่อตนเองพ่ายแพ้”
เฝิงจื่อฉายหลับตาลงอย่างดุดัน ยื่นมือที่สั่นเทาออกมา และจับด้ามอันเย็นเฉียบของดาบชูรา
ถ้ารู้ว่าตนเองจะแพ้ เฝิงจื่อฉายจะไม่เอาดาบชูราออกมา แต่จะเอากรรไกรตัดเล็บออกมาแทน!
เฝิงจื่อฉายจับดาบชูราด้วยมือที่สั่น เขาไม่มีความกล้าที่จะยกดาบเล่มนี้ขึ้นมา
เลือด หลังดาบเป็นหยัก ถ้าแทงเข้าร่างกายคงต้องตายแน่นอน!
แม้จะไม่ตาย ก็ต้องเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก
“ท่านเทียน ลุงลู่ พวกเราปรึกษาหารือกันหน่อยได้ไหม?”
เหงื่อเม็ดโตได้ผุดขึ้นบนหน้าผากของเฝิงจื่อฉาย
“โอ้ หาเรื่องใส่ตัวจะหนียังไงก็หนีไม่พ้น ถ้าพวกคุณไม่กล้า ผมจะให้คนมาช่วยพวกคุณดีไหม”
ลู่เจี้ยนปินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ร่างกายของเฝิงจื่อฉายโยกเยกไปมา หน้ามืดแล้วก็หมดสติไป
เหอลี่ฉุน ไป๋เชียนหลี่ และคนอื่น ๆ ชะงักไปครู่หนึ่ง และพวกเขาทั้งหมดทำตามเฝิงจื่อฉายแกล้งทำเป็นหมดสติ
ผู้คนที่สอดรู้สอดเห็นถึงกับอึ้งไปเลย ไม่คิดว่าไอ้พวกนี้ที่ปกติหยิ่งยโส ตอนนี้ทำไมถึงได้ขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้
ลู่เจี้ยนปินสีหน้าเย็นชา โบกมือ มีบอดี้การ์ดหน้าตาดุก้าวเดินไปข้างหน้า หยิบดาบชูราขึ้นแล้วแทงไปที่ต้นขาของเฝิงจื่อฉาย
มีดแทงทะลุต้นขาของเฝิงจื่อฉาย และเลือดก็พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งตามร่องเลือด
“โอ๊ย!”
เฝิงจื่อฉายจึงได้สติขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด เขาจับต้นขาด้วยมือทั้งสองข้างและคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดเหมือนหมูที่กำลังถูกเชือด
บอดี้การ์ดดึงมีดออกมาและแทงต่อไป เฝิงจื่อฉายรู้สึกเจ็บปวดแล้วก็หมดสติไปอีกครั้ง
เมื่อบอดี้การ์ดได้จัดการเหอลี่ฉุนและคนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว ฉู่จงเทียนถ่ายรูปและส่งไปให้หลี่โม่ดู
“โอเค ส่งพวกเขาไปโรงพยาบาล อย่าให้ใครต้องเสียชีวิต”
ฉู่จงเทียนออกคำสั่ง
ลูกน้องของลู่เจี้ยนปินรีบนำเฝิงจื่อฉายและคนอื่นๆ ไปส่งที่โรงพยาบาล
ขณะเดียวกันหลี่โม่และกู้หยุนหลันได้กลับมาถึงโรงแรมแล้ว หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูข้อความจากฉู่จงเทียน หลังจากนั้นก็เก็บโทรศัพท์มือถือไว้
หวังฟางกับกู้เจี้ยนหมินเป็นห่วงกู้หยุนหลันตลอด เมื่อได้ยินเสียงพูดของหลี่โม่กับกู้หยุนหลัน ทั้งสองคนก็เดินออกไปจากห้องตนเอง แล้วเดินเข้าไปในห้องของกู้หยุนหลัน
หวังฟางสังเกตทั้งสองคนอย่างละเอียด และมองไปที่หลี่โม่ด้วยความสงสัย “เศษสวะอย่างแกไม่ถูกคนอื่นจัดการหรือ? เจี้ยนเฟิงบอกว่าแกต้องถูกแทง3ครั้ง 6รู(แทงทะลุต้นขา3ครั้ง)ไม่ใช่หรือ”
หลี่โม่กล่าวอย่างเก้อเขินว่า “ผมชนะพนัน ดังนั้นไม่ใช่ผมที่ถูกแทง3ครั้ง 6รู(แทงทะลุต้นขา3ครั้ง)”
หวังฟางกับกู้เจี้ยนหมินอยู่ในภวังค์ จากนั้นกู้เจี้ยนหมินก็ถามด้วยความเป็นห่วง “แก แกหมายความว่าอย่างไร คือพวกคนเมืองจินไห่ที่ถูกแทง3ครั้ง 6รู(แทงทะลุต้นขา3ครั้ง)หรือ?”
“ใช่ พวกเขาแพ้พนัน ก็ต้องแทงตนเอง3ครั้ง 6รู(แทงทะลุต้นขา3ครั้ง)”
“แก แกไอ้ไร้ประโยชน์! มักชอบสร้างแต่ปัญหา!”
กู้เจี้ยนหมินกระทืบเท้าด้วยความโมโห ชี้ไปที่หน้าของหลี่โม่ “แกไม่กลัวคนอื่นการแก้แค้นคืนหรือ! แกไอ้ไร้ประโยชน์ กล้าดียังไงให้พวกเขาแทงตนเอง3ครั้ง 6รู(แทงทะลุต้นขา3ครั้ง)”!
มีภาพฆาตกรรมมากมายปรากฏอยู่ในสองของหวังฟาง รู้สึกว่าถ้าเฝิงจื่อฉายและคนอื่น ๆ มาแก้แค้นถึงบ้าน ไม่แน่พวกเขาจะให้ครอบครัวตนเองถูกแทง3ครั้ง 6รู(แทงทะลุต้นขา3ครั้ง)”
“ไอ้สารเลว แกคือเศษสวะปัญญาอ่อน ทำไมฉันถึงได้มีลูกเขยอย่างแก แก……”
ยิ่งพูดหวังฟางยิ่งรู้สึกโมโห ตอนนี้โมโหจนพูดอะไรไม่ออก
กู้เจี้ยนหมินพยุงหวังฟาง มองไปที่กู้หยุนหลัน แล้วกล่าวว่า “เจี้ยนเฟิงล่ะ รีบติดต่อเจี้ยนเฟิง พวกเราไม่สามารถอยู่ที่เมืองจินไห่ได้อีกต่อไป กลับเมืองฮ่านคืนนี้เลย!”
ก๊อก ๆ ๆ
มีคนมาเคาะประตู
ร่างกายของกู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางแข็งทื่อทันที มองไปที่ประตูด้วยความหวาดกลัว
“นี่ นี่คือมาแก้แค้นถึงห้องเลยหรือ หลี่โม่แกกำลังจะทำให้ทั้งครอบครัวของเราต้องตาย” หวังฟางกล่าวด้วยความหวาดกลัว
“แม่ ไม่มีคนมาแก้แค้นแน่นอน”
กู้หยุนหลันอธิบาย
“ไม่เหี้ยอะไร! เวลานี้ถ้าไม่ใช่ว่ามีคนมาแก้แค้นแล้วมันเป็นอะไรได้ พวกเขาส่งคนมาแก้แค้นแน่นอน ที่นี่เป็นเขตอิทธิพลของพวกเขา แค่โทรศัพท์ก็สามารถส่งคนมาเอาชีวิตของพวกเราได้แล้ว!”
หลี่โม่เดินอ้อมกู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางไปที่ประตูห้อง และเปิดประตู
ลู่เจี้ยนปินพร้อมลูกน้องยืนนอบน้อมอยู่ด้านนอกประตู
หลังจากที่หลี่โม่จากไป ลู่เจี้ยนปินกับฉู่จงเทียนได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกันสักพัก ฉู่จงเทียนเล่าประวัติคร่าว ๆของหลี่โม่ ทำให้ความคลุมเครือที่ลู่เจี้ยนปินมีต่อหลี่โม่กระจ่างขึ้น
เพราะรู้ภูมิหลังแล้ว ลู่เจี้ยนปินจึงมีความคิดที่จะคบค้าสมาคม ถ้าเขาสามารถเลียแข้งเลียขาหลี่โม่ได้เป็นเรื่องที่ดีที่สุด
แต่ว่าลู่เจี้ยนปินคาดการว่าการเลียแข้งเลียขานั้นค่อนข้างยาก ต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆก้าวไปตามลำดับ
“สวัสดีครับคุณหลี่ คุณลืมหินหยกธรรมชาติที่ประมูลไว้ที่งานประมูล ผมจึงนำมาส่งให้คุณ”
ลู่เจี้ยนปินกล่าวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ขยับเพื่อเว้นทางเดิน มีลูกน้องสองคนยืนอยู่นอกประตูในมือถือหินธรรมชาติสองชิ้น
สายตาของกู้เจี้ยนหมินถูกดึงดูดโดยหินธรรมชาติสองก้อนนั้น สีเขียวมรกตทำให้กู้เจี้ยนหมินไม่สามารถละสายตาได้
“เขียวเต็ม เป็นหินธรรมชาติเขียวเต็ม นี่คือก้อนที่แกประมูลมาด้วยราคาหนึ่งร้อยหยวนหรือ?”
กู้เจี้ยนหมินถามด้วยความประหลาดใจ
หลี่โม่ยิ้มและพยักหน้า “มันเป็นหินธรรมชาติก้อนนั่นแหละ”
“คุณหลี่ คุณคิดว่าจะเก็บไว้ที่นี่ หรือจะให้ผมส่งไปไว้ที่บ้านของคุณ”
กู้เจี้ยนหมินตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ส่ง ส่งกลับไปที่บ้าน คุณจัดคนส่งกลับไปตอนนี้เลย ของที่มีค่าขนาดนี้จะเก็บไว้ที่นี่ได้อย่างไร ต้องส่งไปไว้ที่บ้าน”
หลี่โม่กล่าวกับลู่เจี้ยนปินว่า “รบกวนคุณช่วยจัดรถเพื่อส่งพวกเราทั้งหมดกลับไปด้วย”
“ได้ครับ รถของผมจอดอยู่ข้างล่าง พวกคุณเก็บข้าวของเสร็จก็สามารถออกเดินทางได้ทันที งั้นผมไปรอพวกคุณอยู่ที่ข้างล่าง?”
หลี่โม่พยักหน้า ลู่เจี้ยนปินพาลูกน้องเดินจากไป
หวังฟางดึงมือกู้หยุนหลันแล้วถามว่า “คนคนนี้เป็นใคร?”
“เขาเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองจินไห่ ฉันไม่รู้รายละเอียดอะไรมากมาย”
กู้หยุนหลันกล่าว
กู้เจี้ยนหมินเคยได้ยินชื่อลู่เจี้ยนปิน แต่ว่าไม่เคยคบค้าสมาคมกับลู่เจี้ยนปิน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าคนนี้คือลู่เจี้ยนปิน
“ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาคือใคร คราวนี้ได้ของล้ำค่า รีบเก็บของออกจากเมืองจินไห่ ไม่ต้องรอให้คนพวกนั้นมาหาถึงที่” กู้เจี้ยนหมินเร่งเร้า
ทุกคนเก็บข้าวของและลากกระเป๋าเดินทางออกจากห้อง เพิ่งเดินออกจากประตูโรงแรม ก็พบกับฮั่วเจี้ยนเฟิงที่ท่าทางอกสั่นขวัญหาย
“หลี่โม่แกก่อเรื่องแล้ว!”
ฮั่วเจี้ยนเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ!