จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 290
ซูเม่าเหวินคำรามราวกับสิงโตที่กำลังโกรธ เฝิงจื่อฉายและคนอื่นๆ ไม่กล้าต่อต้านแม้แต่น้อย
หากเปลี่ยนเป็นฉู่จงเทียน บางทีเฝิงจื่อฉายและคนอื่น ๆ อาจจะกล้าต่อต้าน แต่น่าเสียดายคนที่พวกเขาต้องเผชิญคือผู้นำตระกูลซูที่ยิ่งใหญ่
“ก้มกราบ ก้มกราบแรง ๆ!”
เฝิงจื่อฉายกัดฟันและตะโกนเสียงดังใส่เหอลี่ฉุนและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างตนเอง
เฝิงจื่อฉาย เหอลี่ฉุนและคนอื่นๆ ก้มกราบไปทางหลี่โม่ หน้าผากของพวกเขากระแทกพื้นเสียงดังตุ๊บ ๆ
ก้มกราบกระแทกพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนหน้าผากของเฝิงจื่อฉายและคนอื่นๆ มีเลือดไหลออกมา และพื้นที่ถูกกระแทกก็เต็มไปด้วยรอยเลือด
กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่นๆ ตกใจกลัว สายตามองไปที่หลี่โม่ตลอดเวลา สงสัยอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหลี่โม่กับและซูเม่าเหวิน
ซูเม่าเหวินยืนอยู่ข้างหลี่โม่ ก้มโค้งสามสิบองศาด้วยความนอบน้อม เหมือนท่าทางของพวกขันทีที่ใช้จักรพรรดิในวังสมัยก่อน
ในสมองของกู้หยุนหลันมีความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย คาดเดาว่าซูเม่าเหวินจะต้องเกี่ยวข้องกับเฉียนฝู แต่ระหว่างหลี่โม่กับเฉียนฝูมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่?
แม้ว่ากู้หยุนหลันจะเป็นคนที่ชาญฉลาด แต่ก็ไม่สามารถรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหลี่โม่กับเฉียนฝูได้
เฝิงจื่อฉายและคนอื่นๆ ก้มกราบจนมึน จนเหมือนในสมองมีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้นอกจากก้มกราบไปเรื่อย ๆ ก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้สักอย่างแล้ว
กู้หยุนหลันกังวลว่า เฝิงจื่อฉายและคนอื่น ๆ จะเกิดเรื่อง หากพวกเขาก้มกราบจนตายในที่เกิดเหตุ มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเธอจึงค่อยๆดึงแขนเสื้อของหลี่โม่
หลี่โม่ยิ้มเล็กน้อย และกล่าวเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องกราบแล้ว”
สมองของเฝิงจื่อฉายและคนอื่น ๆ เบลอไปแล้ว พวกเขายังคงกราบต่อไป โดยไม่ได้ยินคำพูดของหลี่โม่เลย
หน้าของซูเม่าเหวินกระตุก และตะโกนใส่เฝิงจื่อฉายและคนอื่น ๆ “พวกแกหูหนวกหรือไง! คุณหลี่บอกว่าพวกแกไม่ต้องกราบแล้ว!”
เสียงคำรามทำให้เฝิงจื่อฉายและคนอื่นๆได้สติขึ้นมา เฝิงจื่อฉายที่มึนและวิงเวียนศีรษะมองไปที่หลี่โม่ น้ำตานองหน้า รู้สึกว่าเสียงคำรามของซูเม่าเหวินราวกับว่าเป็นเสียงจากสวรรค์
“ขอบคุณ ขอบคุณที่ให้อภัย พวกเราจะไสหัวไปตอนนี้ ไสหัวไปทันทีเลย”
เฝิงจื่อฉายและคนอื่น ๆ รีบลุกขึ้น
“คุณหลี่ให้พวกแกไสหัวไปหรือ? หรือว่าสมองพวกแกถูกกระแทกจนสมองฝ่อไปแล้ว!”
ซูเม่าเหวินคำรามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เฝิงจื่อฉายชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นก้มศีรษะลง ทำท่าเหมือนเด็กดีที่ถูกรังแก
“คุณหลี่ จะจัดการพวกเขาต่อยังไงดี?”
ซูเม่าเหวินถามอย่างนอบน้อม
“เป็นแค่แมลงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ภรรยาของฉันมีจิตใจเมตตา ไม่อยากฆ่าสัตว์ พวกแกไสหัวออกไป”
หลี่โม่กล่าวอย่างราบเรียบ
กู้หยุนหลันเหลือบมองไปทางหลี่โม่ แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่
เฝิงจื่อฉายและคนอื่นๆ โล่งใจ ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนกและกล่าวว่า “ขอบคุณ ขอบคุณ คุณหลี่ที่ไว้ชีวิต พวกเราจะไสหัวไปทันที”
หลี่โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่ใช่ให้พวกแกเดินไสหัวออกไป? แต่ให้พวกแกกลิ้งออกไป กลิ้งลงบันได และกลิ้งออกจากอาคารสำนักงาน”
สีหน้าของเฝิงจื่อฉายแดงก่ำ คิดถึงภาพที่กลิ้งออกจากห้องประชุมไปจนถึงข้างนอกของอาคาร ในใจเต็มอับอายเป็นอย่างมาก
แต่เฝิงจื่อฉายไม่กล้าที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย สามารถให้พวกเขากลิ้งออกไป เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
“ฉันจะกลิ้งออกไปทันที พวกแกก็กลิ้งตามฉันไปด้วย ยังมีพวกบอดี้การ์ด แม่งก็กลิ้งตามฉันออกไปด้วย!”
เฝิงจื่อฉายบอกกับเหอลี่ฉุนและบอดี้การ์ด เพราะว่าเขาเสียหน้าไปแล้ว เฝิงจื่อฉายจึงไม่สนใจว่าจะเสียหน้าอีก แต่ไม่สามารถปล่อยให้ลูกน้องหัวเราะเยาะได้ ดังนั้นจึงต้องให้ลูกน้องกลิ้งออกไปพร้อมกัน
เหอลี่ฉุนและคนอื่น ๆได้ถูกโลกแห่งความเป็นจริงสั่งสอน ทำให้รู้ว่าการต่อต้านนั้นไม่มีประโยชน์ พวกเขาจึงล้มตัวลงบนพื้นพร้อมกับเฝิงจื่อฉาย และกลิ้งออกไปทีล่ะคน
แม้ว่าพวกบอดี้การ์ดจะไม่เต็มใจ แต่พ่อแม่ ภรรยาและลูก ๆ ของพวกเขาล้วนอยู่ในเมืองจินไห่ หากพวกเขาไม่กลิ้งออกไปพร้อมกัน ทั้งครอบครัวจะต้องประสบหายนะ
ดังนั้นบอดี้การ์ดจึงล้มตัวลงบนพื้น และกลิ้งออกไปพร้อมกัน
“โอ๊ย! เจ็บ แม่งเจ็บมาก”
เฝิงจื่อฉายกลิ้งไปถูกบาดแผล เจ็บปวดจนเหงื่อผุดขึ้นมาทั่วทั้งตัว
ความเสียใจไม่รู้จบผุดขึ้นมาในสมองของเฝิงจื่อฉาย คงจะดีถ้าเขารอจนกว่าอาการบาดเจ็บหายก่อนแล้วค่อยมาแก้แค้นหลี่โม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็จะไม่ต้องพบกับซูเม่าเหวิน และแม้ว่าเขาจะได้พบกับซูเม่าเหวิน ตอนที่กลิ้งออกไปคงไม่เจ็บมากขนาดนี้
เหอลี่ฉุนและคนอื่น ๆ ก็เจ็บจนร้องโอ๊ย ๆออกมา แม้ว่าร่างกายเจ็บปวดจนกระตุก แต่พวกเขาก็ยังยืนกรานที่จะกลิ้งออกไป หากไม่กลิ้งออกไป อยู่ที่นี่พวกเขาจะตายยังไงก็ไม่รู้
ขณะนี้ การกลิ้งเป็นความหวังที่จะอยู่รอดของเฝิงจื่อฉายและคนอื่นๆ
กู้เจี้ยนกั๋ว กู้เจี้ยนเจียง และกู้ชิงหลินต่างตกตะลึง ผู้นำตระกูลซูกลิ้งเข้ามาก่อน จากนั้นลูกคนรวยของเมืองจินไห่กลิ้งออกไป การกลิ้งของคนพวกนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าห้องประชุมของตระกูลกู้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
แม้แต่การจาริกแสวงบุญก็ไม่ได้กลิ้งเข้ากลิ้งออกเช่นนี้ มันศักดิ์สิทธิ์กว่าการจาริกแสวงบุญเสียอีก หลี่โม่เป็นเทพเจ้าอะไร ทำไมถึงได้สร้างปาฏิหาริย์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า? ความคิดแปลก ๆ เกิดขึ้นในใจของกู้เจี้ยนกั๋ว
กู้เจี้ยนเจียงกลืนน้ำลาย คิดอยู่ในใจเหมือนกับกู้เจี้ยนกั๋ว ทุกคนต่างสงสัยฐานะของหลี่โม่ ลูกเขยไร้ประโยชน์ผู้โด่งดังคนนี้ ทำไมถึงทำให้ผู้นำตระกูลซูมาขอโทษถึงที่ได้อย่างไร
ดูท่าทางที่ผู้นำตระกูลซูเคารพหลี่โม่ในขณะนี้ นั่นเป็นท่าทางที่แสดงให้เห็นได้หลังจากถูกจัดการอย่างสาหัสเท่านั้น แต่หลี่โม่สามารถจัดการตระกูลซูได้อย่างไร
กู้ชิงหลินใช้สองมือจับขอบโต๊ะไว้แน่น รู้สึกว่าจะเป็นการดีที่สุดถ้าเธอหมดสติ เพราะถ้าหมดสติก็จะได้ไม่ต้องกังวลหวาดกลัว
ขณะนี้กู้ชิงหลินรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน คิดว่าหลี่โม่จะต้องแก้แค้นตนเอง และให้ซูเม่าเหวินลงมือจัดการตนเอง แล้วตนเองจะมีจุดจบอย่างไร
การถูกทุบตีถือเป็นจุดจบที่ดีที่สุด บางทีอาจถูกลากไปที่เป็นโสเภณีที่บาร์ของตระกูลซู ไปอยู่เป็นเพื่อนแขกมากมาย หรือจะถูกขายไปยังหุบเขาในชนบทห่างไกล
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ กู้ชิงหลินก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดดวงตาของเธอก็มืดลง แล้วเธอก็หมดสติไป
“ชิงหลิน ชิงหลินคุณเป็นอะไรไป”
เมื่อเห็นว่ากู้ชิงหลินหมดสติ กู้เจี้ยนเจียงจึงรีบนั่งข้าง ๆกู้ชิงหลิน มองดูกู้ชิงหลินด้วยความกังวล
หลี่โม่เหลือบมองกู้ชิงหลินที่หมดสติ มีรอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏอยู่บนริมฝีปากของเขา
กู้เจี้ยนกั๋วเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก กล่าวกับหลี่โม่อย่างไร้เรี่ยวแรง “ไอ้…..หลี่โม่ คุณปล่อยพวกเฝิงจื่อฉายไปแล้ว เรื่องเงินกู้จะทำอย่างไรดี! มันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตระกูลเรา!”
“เรื่องเงินกู้อะไรครับ? ถ้าคุณหลี่ต้องการ ให้ผมช่วยแก้ปัญหา ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับธนาคาร” ซูเม่าเหวินเสนอตัว
กู้เจี้ยนกั๋วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ถ้ามีซูเม่าเหวินเจ้าพ่อของเมืองจินไห่ การระงับสินเชื่อของธนาคารนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร!
แค่ไม่รู้ว่าหลี่โม่คิดอย่างไร จะให้ซูเม่าเหวินช่วยแก้ปัญหาหรือไม่ กู้เจี้ยนกั๋วแค่คิดว่าจะพึ่งพาให้หลี่โม่ช่วยแก้ปัญหา ในใจของเขาก็รู้สึกขยะแขยงราวกับว่ากินอุจจาระ
“ผู้นำตระกูลซู คุณช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือ? ถ้ามันเป็นเรื่องจริง สมาชิกในครอบครัวของเราจะซาบซึ้งผู้นำตระกูลซูเป็นอย่างมาก”
กู้เจี้ยนกั๋วกล่าวหยั่งเชิง
ซูเม่าเหวินมองไปที่เจี้ยนกั๋ว และพูดอย่างเย็นชาว่า “ตระกูลกู้ คือตัวอะไร”