จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 296
คำพูดของกู้หยุนหลันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ในห้องรับแขกเงียบสนิทขึ้นในพริบตา
หลังจากนั้นเหอซูฟางขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วถาม: “ทำไมถึงมีเรื่องการลักพาตัว ครอบครัวเล็ก ๆอย่างพวกเธอ ไม่ควรจะมีเรื่องการลักพาตัวเกิดขึ้นนะ”
ซีเหมินจื้อเผิงหัวเราะเยาะพูดว่า: “คงไม่ใช่เป็นไอ้สวะนั้นจัดฉากขึ้นมาหรอกนะ การลักพาตัวสำหรับผมก็แค่เรื่องตลก”
กู้หยุนหลันไม่ได้ยิ้ม ในความทรงจำหวนนึกถึงตอนที่ถูกลักพาตัว หลี่โม่เองทำเพื่อความปลอดภัยของตนแล้ว ต้องยอมอดทนต่อความอับอายที่ใหญ่หลวงมาก
หวังฟางถอนหายใจ ตบไหล่กู้หยุนหลันเบา ๆแล้วพูดว่า: “เรื่องลักพาตัวนั้น ฉันก็รู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อย เป็นไปได้ว่าไอ้สวะนั้นจัดฉากการแสดงจริงๆ เธอก็อย่าโง่อีกเลย”
“พูดเรื่องเก่าตั้งมากมายเพื่ออะไร พูดคุยเกี่ยวเรื่องอนาคตดีกว่า ช่วงนี้หยุนหลันเธอดูแลบริษัทมีปัญหาอะไรบ้างไหม?มีปัญหาอะไรก็ขอคำแนะนำจากจื้อเผิงได้ จื้อเผิงดูแลบริษัทที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ เธอต้องเรียนรู้ให้มากหน่อย”
กู้เจี้ยนหมินเปลี่ยนเรื่องในการสนทนา ซีเหมินจื้อเผิงยิ้มแล้วพูดว่า: “การบริหารธุรกิจเป็นจุดแข็งของผม แต่การบริหารที่แท้จริงก็คือการลงมือบริหารจริง หยุนหลันหากมีความสนใจก็มาเป็นผู้ช่วยของผมได้ อย่างนี้จึงจะได้เรียนรู้ให้มากขึ้น”
“ขอโทษด้วย ฉันไม่มีเวลาไปต่างประเทศ”
กู้หยุนหลันพูดตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่ต้องไปต่างประเทศ ผมกำลังเตรียมจะเปิดบริษัทที่เมืองฮ่านที่นี่ ดำเนินการตั้งสำนักงานสาขาที่เมืองฮ่านชั่วคราว กำกับดูแลธุรกิจทั้งหมดในระยะยาว ข้างกายกำลังขาดผู้ช่วยที่เหมาะสมอยู่พอดี”
ซีเหมินจื้อเผิงแย้มยิ้มมองที่กู้หยุนหลัน แล้วพูดต่อว่า: “บริษัทสาขาที่ลงทุนห้าร้อยล้านในเมืองฮ่าน เตรียมขยายธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ยาเวชภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และธุรกิจในตระกูลกู้ของพวกคุณก็สามารถสร้างประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
กู้เจี้ยนหมินเกิดความคิดขึ้นมาทันที นี่น่าจะเป็นเรื่องดี ๆ มาสู่ตระกูลกู้ หากสามารถร่วมมือกับซีเหมินจื้อเผิงได้จริงแล้ว อย่างนั้นสถานะของบ้านพี่รองตระกูลกู้ (ลูกคนที่สองของตระกูล) ก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก
“จื้อเผิงจะลงทุนที่เมืองฮ่านจริงเหรอ? งั้นสามารถดำเนินการเรื่องสัญญาความร่วมมือกับตระกูลกู้ของพวกเรา มีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือตรงไหน พวกเราจะต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่”
กู้เจี้ยนหมินพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น
“พวกเราเริ่มต้นเตรียมการทางนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องให้ลุงสนับสนุน ก็คือให้หยุนหลันมาเป็นผู้ช่วยของผม”
ซีเหมินจื้อเผิงพูดอย่างภูมิใจ
แค่โยนเหยื่อลงไปให้ปลา กู้เจี้ยนหมินก็รีบติดกับดักแล้ว เพียงแค่กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางสนับสนุน ซีเหมินจื้อเผิงรู้สึกว่าหลี่โม่ไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ อีกไม่นานก็ต้องถูกตระกูลกู้เตะออกนอกกำแพงไป และตนเองก็จะได้โอบกอดสาวงาม
“ฉันไม่ว่าง ช่วงนี้งานที่บริษัทมีเป็นจำนวนมาก ยุ่งมากไม่มีเวลาไปเป็นผู้ช่วยอะไรทั้งนั้น ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย ขอตัวกลับไปที่ห้องก่อน”
กู้หยุนหลันไม่อยากที่จะเสแสร้งและดึงเวลา ในการเอาชนะซีเหมินจื้อเผิงต่อไป
เหอซูฟางและซีเหมินจื้อเผิงหายใจถี่ด้วยความโกรธ รู้สึกว่ากู้หยุนหลันทำเกินไปหน่อย
“หวังฟาง! นี่มันท่าทีอะไรของลูกสาวของคุณนี่ มองเจตนาดีของจื้อเผิงของพวกเราเป็นเจตนาร้ายไปได้!”
เหอซูฟางตบโต๊ะแล้วพูดด้วยความโกรธ
หวังฟางสั่นสะท้านไปทั้งตัว เหอซูฟางทำให้ตกใจกลัว: “ไม่ ไม่ใช่ พี่ซูฟางคุณอย่าเพิ่งโมโห หยุนหลันของฉันมีนิสัยดื้อรั้น ฉันจะต้องสั่งสอนเธอดีกว่านี้”
“ฮึ! ฉันให้เกียรติพวกคุณแล้วแต่พวกคุณกลับไม่รับไว้ สั่งสอนลูกสาวของคุณให้ดี ๆ พรุ่งนี้พาเธอไปขอโทษลูกชายของฉัน มิเช่นนั้นฉันจะให้ทุกคนในตระกูลของพวกคุณได้เห็นดีกัน”
เหอซูฟางแทบจะระเบิดความโกรธออกมา ด้วยความรู้สึกว่าตระกูลยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่า ไม่สามารถทนต่อการที่ถูกผู้อื่นไม่ให้ความสำคัญได้เลย
“คุณแม่ คุณอย่าเพิ่งโมโห ผู้หญิงแบบนี้ถึงจะเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ สุดท้ายม้าพยศก็ต้องถูกทำให้เชื่อง ให้ผมค่อยๆ พิชิตใจเธอก็แล้วกัน”
ซีเหมินจื้อเผิงพูดปลอบมารดาไปประโยคหนึ่ง ในใจคิดอยากจะพิชิตใจเธอให้ได้ อยากทำให้เชื่องเหมือนกับม้าป่า ทำให้กู้หยุนหลันเชื่องให้ได้
เหอซูฟางพยักหน้าเล็กน้อย: “เธอยังมีความคิดอย่างนั้นฉันก็ไม่พูดอะไรให้มากความ ที่เหลือให้ลูกจัดการเอง แม่ก็ไม่ยุ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องทำให้โกรธจนตาย”
หวังฟางตั้งใจพูดประจบว่า: “เป็นเพราะตระกูลฉันสั่งสอนไม่ดีพอ พี่ซูฟางคุณอย่าได้โกรธเลยนะ คราวหลังหยุนหลันไม่ทำอย่างนั้นอีกแน่นอน”
“ก็หวังว่าให้เป็นเช่นนั้น”
เหอซูฟางพูดกับหวังฟางพอเป็นพิธี พูดกับซีเหมินจื้อเผิงด้วยเสียงต่ำว่า: “ลูก ตอนนี้พวกเราจะกลับ หรือว่า……”
“ตอนนี้ยังไม่กลับ มื้อเที่ยงยังต้องเชิญครอบครัวของคุณน้าหวังรับประทานอาหารด้วยกัน ผมจะต้องสั่งสอนไอ้สวะนั่น”
ความโกรธแค้นในหัวใจของซีเหมินจื้อเผิงมุ่งเป้าไปที่หลี่โม่ รู้สึกว่าเพียงแค่ทำให้หลี่โม่ได้รับความอับอาย ก็จะทำให้กู้หยุนหลันเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองคน สุดท้ายกู้หยุนหลันจะต้องเลือกทางเลือกที่ชาญฉลาด
……
เมืองจินไห่ จางจงหยางสั่งให้ลูกน้องยกรถเข็นขึ้นไปในรถ
“เฮียหยาง พี่น้องทั้งหมดเตรียมพร้อมแล้ว อาวุธปืนพวกนี้เฮียฟ่าให้การสนับสนุนก็นำไปด้วย”
จางจงหยางพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่น่าสะพรึงกลัว
“ดูสิว่าพี่น้องเราทางโน้นมีข่าวคราวของไอ้สวะคนนั้นมั้ย?”
“มี บอกมาว่ามีรถโรลส์รอยซ์รุ่นโกสต์คันหนึ่งขับเข้าไปในบ้านไอ้สวะนั้น มีชายคนหนึ่งลงมาจากรถตำหนิไอ้สวะคนนั้นไปยกหนึ่งตามที่พี่น้องของเราบอกมาว่าชายคนนั้นต้องการให้ไอ้สวะนั้นหย่าขาดกับกู้หยุนหลัน”
จางจงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อยชั่วขณะหนึ่ง โรลส์รอยซ์รุ่นโกสต์ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะนั่งได้ ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับรถรุ่นแพนทอมแล้วถือว่าด้อยกว่ามาก แต่เมื่อเทียบกับรถประเภทเมอร์เซเดสเบนซ์S600แล้วจัดว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์มากกว่า
“ตรวจสอบข่าวคราวของชายผู้นั้นชัดเจนหรือยัง?”
จางจงหยางกังวลว่าจะเกิดตัวแปรอะไรขึ้นอีก จึงสอบถามเพิ่มเติม
“พี่น้องทางนั้นกำลังสืบหา ไม่นานคงจะส่งข่าวมา”
ขณะที่ลูกน้องกำลังรายงาน โทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้น จากนั้นลูกน้องรีบนำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู
“เฮียหยาง มีข่าวจากพี่น้องทางนั้นแล้ว ได้ความมาว่าจากการตรวจสอบข้อมูลการบันทึกของโรงแรม ชายผู้นั้นชื่อซีเหมินจื้อเผิง ใช้พาสปอร์ตต่างประเทศจองห้องพัก น่าจะเป็นชาวจีนในต่างประเทศ ”
“ฮ่า ๆ ชายหนุ่มจากต่างประเทศ อย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว ”
ภายในใจของจางจงหยางรู้สึกผ่อนคลายลง หากซีเหมินจื้อเผิงใช้อิทธิพล กำลังสำคัญก็จะอยู่ในต่างประเทศ คิดอยากจะเอื้อมมือเข้าช่วย ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ
“ให้พี่น้องทางนั้นจับตามองการเคลื่อนไหวของไอ้สวะหลี่อย่างใกล้ชิด ตอนนี้พวกเราออกเดินทางได้ ”
……
ขบวนรถขับออกไปอย่างช้า ๆ จางจงหยางนั่งหลับตาสงบจิตใจอยู่ในรถ ไม่นานขบวนรถก็ออกจากเมืองจินไห่ไป
ตอนที่ขบวนรถกำลังจะเข้าเมืองฮ่าน จางจงหยางลืมตาแล้วถามว่า: “มีข่าวคราวใหม่เพิ่มเติมอีกมั้ย?”
“พี่น้องที่คอยติดตามหลี่โม่รายงานว่า ครอบครัวของหลี่โม่กำลังออกไปทางชานเมืองทางทิศใต้ ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกเขา จะไปที่ใด”
“ชานเมืองทางทิศใต้? ทางนั้นมีอะไร?”
จางจงหยางหรี่ตาครุ่นคิดว่ามันจะเป็นกับดักหรือเปล่า
แต่ว่าคราวนี้พาลูกน้องคนสนิทไปทั้งนั้น อีกทั้งตอนออกเดินทางก็ไม่ได้แจ้งเป้าหมายและทิศทาง ไม่น่าจะมีข่าวเล็ดรอดออกไปได้
ลูกน้องเขาดูข่าวสารที่เพิ่งส่งมาใหม่ล่าสุดจากโทรศัพท์มือถือแล้วพูดว่า: “พวกเขาไปถึงในสถานที่คล้ายกับบ้านไร่ แต่ก็มีความหรูหราระดับไฮเอนด์อย่างมาก ราวกับว่าเป็นคฤหาสน์ส่วนตัว ”
หลังจากพูดจบลูกน้องก็ได้เอาภาพถ่ายใหม่ล่าสุดที่เก็บไว้ นำมาให้จางจงหยางดู
ภาพถ่ายเป็นคฤหาสน์โบราณแห่งหนึ่ง ที่ประตูทางเข้ามีรถโรลส์รอยซ์รุ่นโกสต์จอดอยู่ หลี่โม่เดินตามกลุ่มคนนั้นอยู่ด้านหลังท่าทาง เหมือนไม่มีสถานภาพใด ๆ ในกลุ่มคนเหล่านั้น