จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 371
เหลียงยู่เป็นนินจามาจากประเทศซากุระ ซึ่งท่านแปดจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อจ้างเหลียงยู่มาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขา
ตอนนี้เงาสีเทาประสานกับเงาของท่านแปด มันคือเคล็ดลับของนินจาจากประเทศซากุระ ในช่วงเวลาวิกฤติเงาสีเทาสามารถช่วยให้ท่านแปดรอดพ้นจากการโจมตีได้ เท่ากับว่าท่านแปดมีชีวิตมากขึ้นอีกหนึ่งชีวิต
แต่ว่าการใช้เคล็ดลับวิชานี้ จะทำให้เสียพลังงานมหาศาล จึงทำให้ใบหน้าของเธอซีดลง
เหลียงยู่เดินไปขึ้นรถออฟโรดตรงหัวมุมของคฤหาสน์ จากนั้นเธอก็พักผ่อนสักครู่ แล้วขับรถตามขบวนรถของท่านแปดไป
ท่านแปดหลับตาพักผ่อนอยู่ในรถ ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
ตามแผนที่ลูกน้องวางไว้ รอให้ยึดครองจุดยุทธศาสตร์ในโรงงานร้างได้ก่อน หลังจากได้ภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยแล้ว ค่อยคุ้มครองท่านแปดเข้าไปในโรงงานร้าง
……
ณ.โรงงานร้าง
ฉิงจี้เย่เหลือบมองเวลา ขณะนี้เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง
“คุณคงไม่ปล่อยให้พวกเรารออยู่ที่นี่เป็นวันมั้ง หนึ่งชั่วโมงกำลังจะผ่านไปแล้ว แต่ทางฝั่งท่านแปดก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ”
เย่จงเทียนหัวเราะเยาะเย้ยและกล่าวว่า “ไอ้ปัญญาอ่อนมันกำลังฝันอยู่แน่นอน ถึงแม้จะรอจนถึงเที่ยงคืน ท่านแปดก็ไม่มาที่นี่ คุณรอพ่ายแพ้เถอะ”
หลี่โม่ยิ้มจางๆ และกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “จะรีบทำไม บางทีเขาอาจจะกำลังเตรียมตัวออกเดินทางก็ได้ มีความอดทนหน่อยสิ”
“แม่งฉิบหาย เวลาของฉันมีค่ามาก ฉันไม่มีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระกับคุณที่นี่ ฉันจะให้เวลาคุณอีกครึ่งชั่วโมง หากไม่มีข่าวจากท่านแปด หลังจากครึ่งชั่วโมง คุณก็มอบเครื่องควบคุมระเบิดออกมาสักดี ๆ”
ฉิงจี้เย่กล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา
การเสียเวลาอยู่ที่นี่ ทำให้ทุกคนรู้สึกหงุดหงิด ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องควบคุมระเบิดอยู่ในมือของหลี่โม่ ผู้คนที่อยู่ที่นี่คงจะกระจัดกระจายไปกันหมดแล้ว
หลี่โม่ยิ้มและเขย่าเครื่องควบคุมระเบิดในมือ แล้วยังทำท่าทุบเครื่องควบคุมระเบิด
เปลือกตาของเย่จงเทียน เว่ยหย่งและคนอื่น ๆกระตุกอย่างแรง พวกเขากลั้นหายใจครู่หนึ่ง กังวลว่าหลี่โม่จะทุบมันด้วยความวู่วาม
หลี่โม่มองท่าทางของเย่จงเทียนและคนอื่น ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าพวกคุณจะกลัวความตาย ถ้าพวกคุณกลัวความตายก็รออย่างว่านอนสอนง่ายดีกว่า เพราะยังไงท่านแปดจะต้องมาแน่นอน”
“มาเหี้ยอะไร ถ้าคุณมีความสามารถจริง ท่านแปดมาถึงที่นี่นานแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ โอกาสที่ท่านแปดจะมาก็น้อยลงเท่านั้น”
“สมองของไอ้หมอนี้มันเลอะเลือนไปแล้ว ฉันไม่สามารถพูดกับมันตามตรรกะปกติได้ ยังไม่เคยเห็นคนปัญญาอ่อนเช่นนี้มาก่อน”
“มันรู้สึกอับอายจริง ๆ ที่พลาดด้วยน้ำมือของไอ้คนไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังโชคดีที่ไอ้คนไร้ประโยชน์คนนี้มันไม่มีสมอง อีกสักครู่หลังจากชนะการเดิมพัน ค่อยจัดการไอ้คนไร้ประโยชน์ปัญญาอ่อนคนนี้”
นักฆ่าและทหารรับจ้างต่างก็รวมตัวกัน เพราะพวกเขาต่างก็มีศัตรูคนเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงละทิ้งความรู้สึกก่อนหน้านั้น
เว่ยหย่งนั่งสูบบุหรี่กับเย่จงเทียน พลางจ้องมองไปที่หลี่โม่
ตึ๊ด ๆ ๆ!
โทรศัพท์มือถือของหลี่โม่สั่น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดรับสาย เฉียนฝูกล่าวด้วยความกังวลว่า “นายน้อย เหล่าปาได้พาคนออกมาแล้ว เขาพาคนทั้งหมดมาด้วยพร้อมกับอาวุธหนัก”
“รู้แล้ว เขามาก็ดีแล้ว”
“นายน้อย ผมได้จัดผู้คุมกันและลูกน้องเตรียมพร้อมแล้ว พวกเขาจะซุ่มอยู่รอบ ๆโรงงานร้าง เมื่อได้ยินเสียงปืน พวกเขาจะรีบเข้าไปคุ้มครองคุณอย่างเร็วที่สุด”
หลี่โม่อยากจะห้ามปรามเฉียนฝู แต่เมื่อนึกถึงความตั้งใจของเฉียนฝู เขาจึงยิ้มและกล่าวว่า “โอเค ทำตามที่คุณบอกเถอะ”
หลี่โม่วางโทรศัพท์ลง มองไปที่ฉิงจี้เย่แล้วกล่าวว่า “คุณแพ้แล้ว มากินระเบิดเถอะ”
“ทำไมผมถึงแพ้ล่ะ แม่งฉิบหายผมแพ้ตอนไหน ท่านแปดล่ะ? ท่านแปดยังไม่มาเข้าใจไหม คุณเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ!”
ฉิงจี้เย่กล่าวอย่างหงุดหงิด
“ท่านแปดยังมาไม่ถึง จะถือว่าคุณชนะได้อย่างไร ฉันล่ะยอมคนที่สมองผิดปกติอย่างคุณจริง ๆ”
“อีกสักครู่เขาคงจะไม่คิดว่าตนเองเป็นผู้ช่วยพระยูไลมั้ง คนแบบนี้ควรส่งไปโรงพยาบาลจิตเวชทันที”
“ถ้าไม่ใช่เพราะสู้มันไม่ได้ ฉันก็อยากจะทุบตีมันอย่างแรงสักครั้ง ให้มันได้เห็นเลือดแล้วมันจะได้รู้ว่าเป็นเพราะอะไร”
กลุ่มคนกล่าวอย่างไม่แยแส พวกเขารู้สึกว่าหลี่โม่เสียสติและมีอาการประสาทหลอน สิ่งที่พูดเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด
หลี่โม่ส่ายศีรษะ แล้วมองไปที่ฉิงจี้เย่ด้วยความไม่พอใจ “คุณได้ส่งคนไปเฝ้าที่บ้านของท่านแปดหรือไม่? ถ้าคุณได้ส่งคนไปก็ถามข่าวดู แต่ถ้าไม่ได้ส่งคนไปก็รีบส่งคนไปให้เร็วที่สุด”
ฉิงจี้เย่ตะลึงครู่หนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่ได้ส่งคนไปเฝ้าที่บ้านท่านแปด เขาคิดเสมอว่าท่านแปดจะไม่ออกมาจากบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทหารเวรพบ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ส่งคนไปเฝ้าเลย
“ดูเหมือนว่าไม่ได้ส่งคนไปเฝ้า แต่การเฝ้ามันจำเป็นหรือ ท่านแปดไม่ออกจากคฤหาสน์อย่างแน่นอน คุณฝันไปเถอะ!”
ทันทีที่กล่าวจบ โทรศัพท์มือถือของฉิงจี้เย่ก็ดังขึ้น
หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดรับสาย หลังจากที่ฉิงจี้เย่ตอบสองประโยค ดวงตากลมของเขาก็เบิกกว้าง
“คุณไม่ได้ดูผิดใช่ไหม! ขบวนรถของท่านแปดขับมุ่งหน้ามาทางนี้จริง ๆหรือ?”
ฉิงจี้เย่ตะโกนถามด้วยความประหลาดใจ
ขณะที่ฉิงจี้เย่ตะโกนถามด้วยความประหลาดใจ สายตาของทุกคนมองหลี่โม่ราวกับว่าเห็นผี
ท่านแปดออกมาจากคฤหาสน์แล้ว?
เป็นเพราะโทรศัพท์ของหลี่โม่จริง ๆ เหรอ?
แต่ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่หลี่โม่พูด ทำไมท่านแปดถึงได้ออกจากรังได้!
ทุกคนมีคำถามมากมายอยู่ในใจที่ทำให้พวกเขาคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ฉิงจี้เย่พูดอีกสองสามคำ เพื่อยืนยันอย่างละเอียดอีกที
ไม่ช้าอีกฝ่ายก็ให้คำตอบยืนยันว่า ท่านแปดได้ออกจากคฤหาสน์ไปแล้วจริง ๆ
ฉิงจี้เย่วางสายด้วยความมึนงง เขาคิดว่าโทรศัพท์ที่ตนเองเพิ่งรับไปเมื่อสักครู่นั้นเป็นภาพลวงตา
“ทำไมท่านแปดถึงมาล่ะ? ท่านแปดไม่ควรเป็นเช่นนี้ นี่มันเกิดปัญหาอะไรขึ้น”
เย่จงเทียน และคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพียงแค่มองท่าทางของฉิงจี้เย่ ทุกคนก็รู้ว่าท่านแปดมาแล้วจริง ๆ ไม่ได้แค่ล้อเล่น
“ฉิงจี้เย่ ท่านแปดมาแล้วจริง ๆหรือ? มาที่นี่จริง ๆ?”
เย่จงเทียนแทบรอไม่ไหวที่จะถาม
“น่าจะมาแล้ว ลูกน้องของฉันบอกว่าพวกเขาใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดูแล้วเห็นท่านแปดอยู่ในรถ แต่พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้หรือสะกดรอยตาม เพราะกลัวว่าท่านแปดจะรู้ตัว”
ฉิงจี้เย่กล่าวด้วยสีหน้าที่ขมขื่น
ชั่วพริบตาเดียว สายตาของทุกคนเปลี่ยนเป็นสับสน พวกเขาต่างก็มองไปที่หลี่โม่ ราวกับว่ามีพลังลึกลับบางอย่างอยู่บนตัวของหลี่โม่
“ไอ้หมอนี้มันทำได้อย่างไร หรือว่ามันโทรศัพท์ไปเรียกท่านแปดมาจริง ๆ? ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ”
“มันคงไม่บังเอิญอะไรขนาดนั้นหรอก ถ้าไม่มีอะไรบางอย่าง ท่านแปดก็คงไม่มาที่โรงงานร้างแห่งนี้แน่นอน”
“ฉันรู้สึกว่าทัศนคติสามด้าน (การมองเห็น มุมมอง ทัศนคติ) ของฉันไม่ปกติอีกต่อไป นี่มันคือเรื่องอะไรกันแน่? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตรรกะสามารถอธิบายได้”
ทุกคนไม่สามารถเข้าใจความสัมพันธ์เชิงตรรกะได้ รู้สึกว่าหลี่โม่เหมือนเทพบนสวรรค์ ที่ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างกะทันหัน และเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างกะทันหันเช่นกัน
“คุณ คุณคือใครกันแน่? เป็นไปไม่ได้ที่คนไร้ประโยชน์ในตำนานจะมีความสามารถเช่นนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่โทรศัพท์แค่ครั้งเดียวก็สามารถเรียกท่าแปดมาได้”
เย่จงเทียนถามด้วยเสียงเย็นชา
“ผมก็คือผม” หลี่โม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม