จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 386
ปังๆๆๆ
เสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่อง ลูกน้องของฉู่จงเทียนส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา หลี่โม่ดึงกู้หยุนหลันมาหลบอยู่ที่ประตูหลังรถเบนซ์ เขาเปิดประตูรถเพื่อป้องกันกู้หยุนหลัน
ลูกน้องของฉู่จงเทียนต่างพากันหลบข้างหลังรถและมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนก
พวกลูกน้องมีเพียงไม้กระบองเท่านั้น ไม่มีทางสู้กับปืนได้อย่างแน่นอน เมื่อได้ยินเสียงปืน ตอนนี้ลูกน้องทุกคนอกสั่นขวัญแขวน เพราะไม่รู้จะทำยังไงดี
“ทำไมถึงมีปืนด้วย นี่มันเหิมเกริมมากเลยนะ กลางวันแสกๆ ยังไม่เคารพกฎหมาย นักเลงอย่างพวกเรายังใช้แค่ไม้กระบองเท่านั้น”
“คนของเราล้มลงไปหกคน อีกฝั่งยิงแค่หกนัดเท่านั้น นี่มันมือปืนชัดๆ ไอ้ตาโตแกอย่าโผล่หัวออกไปดูนะ ระวังโดนยิงด้วย”
ปัง!
นักเลงที่มีฉายาว่าไอ้ตาโตโผล่หัวออกไปดูแค่ครึ่งเดียวก็โดนยิงที่หัว
เมื่อเห็นว่าไอ้ตาโตโดนยิง เหล่านักเลงพากันตัวสั่นงันงก จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความสิ้นหวังในชีวิต
“พวกเราหลบให้ดี อย่าโผล่หัวออกไป อีกฝั่งเป็นมือปืนฝีมือดี เราไม่มีทางสู้มันได้!”
“ไอ้บ้าเอ๊ย รีบโทรหาสายตรวจ มีเรื่องลำบากต้องโทรหาสายตรวจ”
ลูกน้องหยิบมือถือขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก และรีบโทรหาสายตรวจ แต่ทว่าถึงจะโทรหาสายตรวจก็ไร้ประโยชน์ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่ทันกับเวลาแล้ว
ฉู่จงเทียนฝืนยิ้มออกมา “คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกที่ไร้วิสัยทัศน์เล็งเห็นแต่ผลประโยชน์ระยะสั้น คุณหลี่ครับ เกรงว่าคนของผมจะปกป้องคุณไม่ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไร แค่พวกกระจอก ฉันมีวิธี”
หลี่โม่เช็ดเหงื่อที่ไหลลงมา เขาสูดหายใจลึก
หลี่โม่ต้องการจะรวบรวมพลังในร่างกาย ถึงแม้ว่าตอนนี้สภาพร่างกายจะดีกว่าเมื่อครู่มาก แต่ทว่าร่างกายของหลี่โม่ก็ยังไม่ฟื้นฟูถึงขั้นสูงสุด
สองมือของกู้หยุนหลันจับแขนของหลี่โม่เอาไว้แน่น สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “นายอย่าฝืนอีกได้ไหม ตอนนี้สีหน้านายไม่ดีเลย ถ้าเหงื่อออกเยอะอีก ฉันกลัวว่านายจะขาดน้ำ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ถ้าผมไม่ไป ทุกคนจะต้องตาย”
หลี่โม่พูดอย่างแน่วแน่
กู้หยุนหลันเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กอดเอวของหลี่โม่เอาไว้ เธอเอาหน้าซบกับแผ่นหลังของเขา “ถ้าตาย เราจะตายไปด้วยกัน”
“แค่ก แค่ก”
ฉู่จงเทียนไอออกมา เขาขยับเอวเล็กน้อยและเอาปืนออกมาจากหลังเอว
“คุณหลี่ ผมมีปืนอยู่กระบอกเดียว คุณเอาไว้ป้องกันตัวเถอะ ผมจะให้พวกลูกน้องขับรถพุ่งออกไป ไม่แน่อาจจะมีโอกาสรอด”
หลี่โม่รับปืนมาดู จากนั้นจึงพูดว่า “ยังมีแม็กกาซีนปืนไหม”
“มีสองแม็กครับ”
ฉู่จงเทียนรีบหยิบแม็กกาซีนปืนให้หลี่โม่ หลี่โม่แสยะยิ้มมุมปาก
“ตอนนี้ก็หมดห่วง ฉันจะพาพวกนายออกไปเอง”
หลี่โม่หันไปมองกู้หยุนหลัน เขายืนมือซ้ายไปประคองแก้มของเธอ “คุณรออยู่ที่นี่ ผมจะจัดการให้เสร็จอย่างรวดเร็ว”
“นายระวังตัวด้วย ฉันจะรอ”
กู้หยุนหลันพูดอย่างเป็นกังวล
“ผมกลับมาแน่ ผมยังต้องใช้ชีวิตกับคุณไปทั้งชีวิต”
หลี่โม่พูดจบก็ก้มหน้าไปประทับจูบลงบนหน้าผากของกู้หยุนหลัน
ในห้องทำงานชั้นสองที่อาหารทะเลอวี้กั่ง
จางเต๋ออู่จ้องหน้าจอเขม็ง รถบรรทุกสองคันทำไม่สำเร็จ เขาโกรธจนปาแก้วเหล้าในมือลงพื้น
“ไอ้เวรเอ๊ย มีแต่พวกกระจอกทั้งนั้น แกเป็นคนหาพวกมันมาเหรอ แกเอาไอ้พวกขยะนี่มาหลอกฉันเหรอ!”
“นี่…นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายครับ ใครจะไปคิดว่าจะมีคนมาช่วยหลี่โม่ มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากครับ” ผู้คุ้มกันอธิบายอย่างจนปัญญา
“ฉันไม่ฟังคำแก้ตัวของแก รีบให้หน่วยลับเข้าไปฆ่าพวกมัน ส่งสัญญาณจากโดรนให้หน่วยลับไปฆ่าหลี่โม่ให้เร็วที่สุด ฉันไม่อยากเห็นมันมีชีวิตอยู่!”
สีหน้าของจางเต๋ออู่บ้าคลั่ง เขาเหมือนผู้ป่วยโรคประสาท
ผู้คุ้มกันเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ใจของเขาวูบโหวง และรู้สึกว่าหน่วยลับก็น่าจะมีปัญหาเหมือนกัน
“ผมจะไปสั่งการในที่เกิดเหตุ”
ผู้คุ้มกันก้มหน้าพูด
“แกเหรอ ถ้าพวกแกไปแล้วใครจะคุ้มกันฉัน!”
จางเต๋ออู่ตวาดออกมาอย่างโมโห
“ผมไปคนเดียว พวกเขาอีกสามคนอยู่ที่นี่”
จางเต๋ออู่ครุ่นคิด เขาคิดว่าความคิดของผู้คุ้มกันก็ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าหน่วยลับเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ยังมีผู้คุ้มกันคอยเป็นกำลังเสริม
“ได้ งั้นแกไป ทำอะไรให้รวดเร็ว ถ้าขืนยังยึกยักอยู่แบบนี้ แกก็ไปสู้กับไอ้พวกยุโรปกระจอกๆ เลย”
ผู้คุ้มกันฝืนยิ้มออกมา จากนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ผมจะทำให้เต็มที่”
จางเต๋ออู่โบกมือไปมา ผู้คุ้มกันหันหลังเดินออกไปจากห้องทำงาน
“หน่วยลับ ฉันคือผีใหญ่”
เมื่อผู้คุ้มกันออกมาข้างนอก เขาเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาพูดกับหน่วยลับ
“ผมคือหน่วยลับ ผีใหญ่พูดมาได้เลย”
“ฉันจะรับช่วงสั่งการพวกนายต่อเอง ตอนนี้ฉันส่งสัญญาณโดรนให้พวกนายแล้ว เป้าหมายอยู่ข้างรถเบนซ์ที่อยู่ตรงกลาง รอบๆ มีพวกนักเลงเมืองฮ่านเกือบร้อยคน ตอนนี้พวกนายไปโจมตียางรถในที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันขับรถหนี”
“รับทราบ”
หลังจากหน่วยลับรับคำสั่ง ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที พวกเขาโจมตีล้อรถขนสินค้าที่อยู่รอบๆ ก่อน
พวกนักเลงตกใจเมื่อได้ยินเสียงปีนกับเสียงระเบิดของล้อรถยนต์
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเขาถึงยิงยางรถเล่นอย่างนั้น”
“ให้ตายเถอะ พวกเขาอาจจะระวังไม่ให้พวกเราขับรถหนี เลยยิงล้อรถ ตอนนี้พวกเราเหมือนอยู่ในกับดักและรอให้พวกมันเข้ามาจับเท่านั้น”
“เวรเอ๊ย เราจะทำยังไงดี ไม่รู้สายตรวจจะมาเมื่อไร ได้ยินเสียงปืนไม่น้อยเลย กลัวว่าคนที่ซุ่มโจมตีเราอยู่ข้างนอกจะมีจำนวนมาก”
ขณะที่พวกนักเลงกำลังถกเถียงกัน หลี่โม่ขยับมาข้างๆ พวกเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้างนอกมีสิบสองคน มีปืนไรเฟิลเก้ากระบอก ปืนกลมือสองกระบอกและปืนกลเบาหนึ่งกระบอก”
พวกนักเลงอึ้งไปและมองหลี่โม่ด้วยแววตาแปลกๆ
“คุณหลี่ยอดเยี่ยมมาก ที่สามารถฟังเสียงปืนออก ผมฟังอะไรไม่ออกเลย”
นักเลงคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“หึหึ พวกนายหลบให้ดี อย่าโผล่หัวออกไป”
หลี่โม่กำชับพวกนักเลง จากนั้นจึงยืนเอาตัวแนบรถบรรทุกสินค้า
นักเลงที่อยู่อีกด้านหางตากระตุก ภาพการตายของไอ้ตาโตยังติดตาเขา “ระวังด้วยนะครับคุณหลี่ พวกมันเป็นมือปืน”
“ขอบใจที่เตือน”
หลี่โม่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลี่โม่ลั่นไกปืน เสียงปืนดังขึ้นสองนัด
ปังๆ
เสียงโอดครวญดังขึ้นตามเสียงปืน
“ว้าว ยิงจากที่กำบังโดยไม่ต้องเงยหัวขึ้นมาเหรอ”
นักเลงที่คาบบุหรี่อยู่ปากถึงกับอ้าปากค้าง เขามองหลี่โม่ด้วยสายตาตกตะลึง
หลี่โม่ยิ้มแล้วพูดว่า “แค่พวกฝีมือต่ำต้อย ฉันจะจัดการมันให้หมด”