จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 537
เจ้าอาวาสฝ่าจื้อสั่นไปทั้งตัว เสียงของจางเต๋ออู่ ทำให้เจ้าอาวาสฝ่าจื้อรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงปลิดชีพ
เขารีบเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก เจ้าอาวาสฝ่าจื้อมองราชินีของสำนักหลงเหมิน “อาตมา อาตมายอมนำภิกษุในวัดหลิงซาน สวดอธิษฐานให้โยมทุกวันทุกคืน อธิษฐานให้พระพุทธเจ้าคุ้มครองโยมและให้โยมสมปรารถนา”
นี่คือคำพูดที่ดีที่สุดของเจ้าอาวาสฝ่าจื้อ คิดออกมารับมือ ไม่งั้นคงจะหลอกต่อไปไม่ได้อีก
พื้นฐานของการหลอกลวง ก็คือต้องรู้เรื่องในใจของอีกฝ่ายเสียก่อน ถึงจะไม่รู้รายละเอียด แต่เจ้าอาวาสฝ่าจื้อก็สามารถพูดอะไรที่เป็นประโยชน์ออกไปได้
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชินีของสำนักหลงเหมิน เธอพูดข่มขู่ออกมาเสียก่อน ทำให้แผนของเจ้าอาวาสฝ่าจื้อยุ่งเหยิง จนไม่สามารถใช้ความสามารถออกมาได้
สีหน้าราชินีของสำนักหลงเหมินผิดหวัง ตอนแรกเข้าใจว่าเจ้าอาวาสฝ่าจื้อจะมีความสามารถ ที่จะคลายความกังวลในใจเธอ
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าอาวาสฝ่าจื้อก็แค่คนหลอกลวงเงิน เล่นกับชีวิตของคนอื่น
“พวกคุณอธิษฐานแล้วได้ผลหรือไง ฉันต้องการความจริง”
ราชินีของสำนักหลงเหมินพูดอย่างเย็นชา
เหงื่อไหลออกจากหน้าผากของเจ้าอาวาสฝ่าจื้อ เขาพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เรื่องนี้ เรื่องนี้ต้องดูว่าพระพุทธเจ้าพอใจไหม บางคนไหว้พระมาทั้งชีวิต แต่พระพุทธเจ้าไม่คุ้มครองเขา บางคนไม่เคยไหว้พระมาทั้งชีวิต แต่พระพุทธเจ้าก็คุ้มครองเขา”
“งั้นฉันอยู่ในประเภทไหน”
สมองของเจ้าอาวาสฝ่าจื้อแทบจะระเบิดออกมา เขาคุกเข่าลงตรงหน้าราชินีของสำนักหลงเหมิน “อาตมาคิดว่าโยมคือผู้มีบารมีกลับชาติมาเกิด โยมต้องผ่านทุกเรื่องไปด้วยความราบรื่น”
ตอนนี้เจ้าอาวาสฝ่าจื้อไม่มีวิธีไหนแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะหลอกต่อไปอย่างไร ขืนทำต่อไป เรื่องอาจจะใหญ่ขึ้น สู้ยอมแพ้เสียยังจะดีกว่า
จางเต๋ออู่แบะปาก เขาคิดในใจว่าเจ้าอาวาสฝ่าจื้อทำเป็นอวดความสามารถต่อหน้าคนที่เก่งกว่า การที่ใช้ไม้นี้ต่อหน้าราชินีของสำนักหลงเหมิน เหมือนการรนหาที่ตายชัดๆ
ราชินีของสำนักหลงเหมินถอนหายใจออกมา เธอหันมามองจางเต๋ออู่ “ยัยเด็กแซ่กู้ยังไม่มาเหรอ”
“ได้รับรายงานว่าเพิ่งเข้ามาในพระอุโบสถและพระวิหารครับ”
“เรียกเธอมา ให้เจ้าอาวาสอบรมสั่งสอนเธอ ฉันจะฟังอยู่หลังฉากกั้น”
“ครับ”
จางเต๋ออู่ตอบอย่างสุภาพ และบอกให้ลูกน้องจัดการ
ราชินีของสำนักหลงเมินมองเจ้าอาวาสฝ่าจื้อ ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “อีกเดี๋ยวจะมีเด็กผู้หญิงมา เจ้าอาวาสหลอกเธอให้ดี ถ้าหลอกให้เธอทำตามที่บอกได้ ฉันจะไม่ถือโทษกับเรื่องเมื่อกี้”
ให้เจ้าอาวาสฝ่าจื้อหลอกกู้หยุนหลัน เป็นเพียงวิธีที่ไม่ได้คิดเอาไว้
ถ้าเจ้าอาวาสฝ่าจื้อหลอกกู้หยุนหลันได้ ไม่แน่อาจจะใช้งานเขาได้ อย่างน้อยก็สามารถให้เจ้าอาวาสฝ่าจื้อ ควบคุมจิตใจของกู้หยุนหลัน
ถ้าเจ้าอาวาสฝ่าจื้อมีความสามารถจริงๆ จนสามารถควบคุมจิตใจได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก
เจ้าอาวาสฝ่าจื้อถอนหายใจออกมา ถ้ารับมือกับเด็กสาว เจ้าอาวาสฝ่าจื้อมีความมั่นใจมาก ยังไงก็ง่ายกว่าราชินีของสำนักหลงเหมินที่ต้องเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้
“โยมไว้ใจได้เลย อาตมาจะทำให้ดีที่สุด”
“หึหึ”
ราชินีของสำนักหลงเหมินหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงลุกไปนั่งหลังฉากกั้น
จางเต๋ออู่ก็เดินไปยืนหลังฉากกั้นเช่นกัน เขาพูดเบาๆ ว่า “จัดการเรียบร้อยแล้วครับ กู้หยุนหลันกำลังมา”
ราชินีของสำนักหลงเหมินหลับตาลง และพิงหลังกับเก้าอี้ จางเต๋ออู่ยื่นมือออกมาวางตรงขยับของราชินีสำนักหลงเหมิน และนวดให้เธอเบาๆ
พรึบ
เสียงประตูถูกดันออก พระหนุ่มก้มหน้ายืนอยู่หน้าประตู “เชิญโยมทั้งสอง เจ้าอาวาสอยู่ข้างใน”
กู้หยุนหลันเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเฉินเสี่ยวถง เห็นเจ้าอาวาสฝ่าจื้อนั่งอยู่บนที่รองนั่งทรงกลม
“อมิตาพุทธ”
เจ้าอาวาสฝ่าจื้อเอ่ยทักทาย จากนั้นจึงพูดว่า “เชิญผู้มีวาสนาทั้งสองนั่ง”
“ท่านคือเจ้าอาวาสฝ่าจื้อเหรอคะ” กู้หยุนหลันมองเจ้าอาวาสฝ่าจื้ออย่างประเมิน
เมื่อเห็นใบหน้าอวบอิ่มของเจ้าอาวาสฝ่าจื้อเต็มไปด้วยราศีของผู้มีบารมี ความหวาดระแวงในใจของกู้หยุนหลันลดลงไปไม่น้อย
อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าอาวาสฝ่าจื้อ สามารถทำให้คนหวาดกลัว เขาเรียนรู้การแสดง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือต่อพวกลูกศิษย์และพวกคุณนายที่ร่ำรวย
ถ้าให้พูดถึงเรื่องสกิลการแสดง เรียกได้ว่าเจ้าอาวาสฝ่าจื้อเป็นนักแสดงชายมากความสามารถ จนสามารถฆ่าพวกนักแสดงวัยรุ่นได้เลย
“อาตมาเอง”
“สวัสดีค่ะ ท่านเจ้าอาวาส คิดไม่ถึงว่าจะได้รู้จักท่านเจ้าอาวาส”
กู้หยุนหลันพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
อยู่ในวัด แถมยังคุยกับเจ้าอาวาสที่สูงส่ง กู้หยุนหลันรู้สึกเหมือนประธานไปเยี่ยมบริษัทของลูกค้า
ส่วนเฉินเสี่ยวถงไม่ได้สนใจอะไร เธอกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง
เมื่อเห็นฉากกั้น แววตาของเธอฉายแววสงสัย
ในห้องของเจ้าอาวาสต้องมีฉากกั้นด้วยเหรอ
เฉินเสี่ยวถงคิดหนัก จู่ๆ เธอก็คิดถึงการ์ตูนเรื่องอิคคิวซังขึ้นมา เหมือนวัดในการ์ตูนจะมีฉากกั้นแบบนี้
คิดไปคิดมา ใจของเฉินเสี่ยวถงก็ลอยไปหาหลี่โม่ เธอคิดจนใจลอย
เจ้าอาวาสฝ่าจื้อดูออกว่ากู้หยุนหลันหวาดระแวง เขายิ้มแล้วพูดว่า “โยมอย่ากังวล การที่ได้เจอกันถือเป็นวาสนา การที่โยมได้มาวัดหลิงซานในวันนี้ ก็เพราะมีวาสนากับวัดแห่งนี้”
“อาตมาเห็นจุดลมปราณสีแดงของโยม ช่วงนี้คงจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นไม่น้อย แต่ภายใต้จุดลมปราณสีแดง มีอะไรเทาๆ แอบซ่อนอยู่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีหลังจากเจอแต่เรื่องดี” เจ้าอาวาสฝ่าจื้อเริ่มใช้วิธีหลอก
ใจของกู้หยุนหลันกระตุกวูบ เจ้าอาวาสฝ่าจื้อพูดถึงความกังวลในใจของเธอ
“ท่านเจ้าอาวาสบอกหน่อยได้ไหมคะ ว่าเป็นเรื่องร้ายแรงยังไง”
กู้หยุนหลันถามอย่างเป็นกังวล
“จากที่อาตมาดู เรื่องไม่ดีจะเกิดกับสามีของโยม ถ้าอยากให้ครอบครัวของโยมรอดปลอดภัย จำเป็นต้องให้สามีของโยม ถอยออกมาในช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์ ถึงแม้ยากจนแต่ก็มีความสุขพอใจกับสิ่งที่มีสิถึงจะถูก”
เจ้าอาวาสฝ่าจื้อพูดจบ เขาก็ก้มหน้าและหลับตาสวดมนต์
กู้หยุนหลันครุ่นคิดคำพูดของเจ้าอาวาสฝ่าจื้อ เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามว่า “ถอยออกมาในช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์ หมายความว่ายังไงคะ จะเกิดเรื่องไม่ดียังไงเหรอคะ”
“อมิตาพุทธ อาตมาบอกใบ้ไปเยอะแล้ว อาตมาไม่กล้าบอกอีก ถ้าโยมมีเรื่องลำบากใจอะไร ค่อยมาหาอาตมาอีกก็ได้” เจ้าอาวาสฝ่าจื้อจงใจพูดเป็นนัย
“ท่านเจ้าอาวาส ช่วยแนะนำฉันหน่อยได้ไหมคะ ไม่งั้นฉันต้องกังวลแน่ๆ”
“บรรยากาศตึงเครียดก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น อาตมาจะช่วยโยม แต่ตอนนี้โอกาสยังไม่มาถึง อาตมาไม่อยากพูดมากแล้ว เชิญโยมกลับไปเถอะ”
เฉินเสี่ยวถงแบะปาก จากนั้นจึงดึงกู้หยุนหลันเบาๆ “พี่หยุนหลัน เรากลับกันก่อนเถอะ ครั้งหน้าเราเอาเงินบริจาคมาเยอะๆ ไม่งั้นพระแก่ไม่เห็นเงิน ก็ไม่ยอมพูดออกมาหรอก”
“อมิตาพุทธ โยมท่านนี้ พูดไม่ดีเอาเสียเลย อาตมาแค่อยากสร้างบุญวาสนาที่ดีต่อกันเท่านั้น”