จักรพรรดิมังกร - ตอนที่ 548
รีบบึ่งมาที่ร้านสุกี้ปานลมกรด คางหย่งเฉียนไม่ใส่ใจแม้จอดรถให้ดี กระโดดลงรถพุ่งเข้าไปในร้านสุกี้
เข้าไปในห้องส่วนตัวที่พวกหลี่โม่นั่งอยู่
หลี่โม่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน ฉู่จงเทียนสองพ่อลูกนั่งขนาบซ้าย เฉินเสี่ยวถงกับคางเหวินซิงนั่งขนาบขวา
พอเห็นคางหย่งเฉียนเข้าประตูมา หลี่โม่ยิ้มเล็กน้อยพยักหน้าให้“มาสิ นั่งสิ”
มองดูหลี่โม่ คางหย่งเฉียนเหม่อลอย ราวกับตัวเองล่องลอยอยู่ในความฝันก็ไม่ปาน
ถ้าตอนแรกไม่มีเรื่องขัดแย้งกับหลี่โม่ก็ดีสินะ!
ผัวะ
คางหย่งเฉียนตบหน้าตัวเองอย่างแรงอย่างจัง ร้องไห้พูด“คุณหลี่ ผมสำนึกผิดแล้ว ขอบคุณมากที่อภัยผม ต่อไป ต่อไปชี้แนะด้วย”
“ตบตัวเองทำไมเล่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ต่อไปก็ตามเหวินซิงมาที่สโมสรก็พอ”
หลี่โม่มีใจที่กว้างขวาง ไม่คิดจะถือสาคางหย่งเฉียนมากมาย แถมเขายังมีความสัมพันธ์กับคางเหวินซิงอีก
“ครับๆ ต่อไปผมจะตามเหวินซิงมาสโมสร คุณหลี่ ให้โอกาสผมแสดงฝีมือนะครับ”
คางหย่งเฉียนแสดงความภักดี จากนั้นจึงนั่งลงตรงข้ามหลี่โม่
ฉู่จงเทียนประคองจอกเหล้า“คุณหลี่ พวกเราต้องขอบคุณคุณเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีคุณคอยช่วย พวกเราพ่อลูกคงต้องพรากจากกัน”
ฉู่ฟางเฉิงพูดตาม“ขอบคุณคุณหลี่ ต่อไปผมจะตอบแทนแน่นอน”
หลี่โม่ยิ้มอ่อนใจ“ไอ้ฉู่ นี่ทำอะไร แบบนี้มันห่างเหิน คนกันเองทั้งนั้น นั่งลงกินเถอะ ขอบอกขอบใจอะไรเล่า”
ฉู่จงเทียนเบ้ปากยิ้ม คำว่าคนกันเองของหลี่โม่ ทำให้ฉู่จงเทียนดีใจลิงโลด
การที่เป็นคนกันเองกับหลี่โม่ได้ เท่ากับว่าฉู่จงเทียนได้กอดขาหลี่โม่ไว้แล้วล่ะ
“เอาล่ะ งั้นผมไม่เกรงใจคุณหลี่แล้วนะ เหวินซิงจะจัดแข่งรถ ให้ลูกชายไม่เอาถ่านของผมไปช่วยด้วยมั้ย ถือว่าให้เขาฝึกหน่อย”
ฉู่จงเทียนกำลังหาโอกาสให้ลูกชายของตน สามารถได้เข้าร่วมสโมสรแข่งรถ ก็ทำให้ฉู่ฟางเฉิงได้ใกล้ชิดหลี่โม่มากขึ้น ไม่แน่ว่าต่อไปเข้าตาหลี่โม่ ก็อาจจะมีโอกาสมากขึ้นอีก
หลี่โม่มองไปทางฉู่ฟางเฉิง แม้ว่าฉู่ฟางเฉิงอายุยี่สิบต้นๆแล้ว แต่ใบหน้ายังดูอ่อนกว่าวัยมาก
“คุณหลี่ ผมเรียนวิศวะคอมมาครับ เรื่องอะไหล่ในสโมสรแข่งรถ ผมทำได้นะครับ”
ฉู่ฟางเฉิงพยายามแนะนำตนเอง
“ได้สิ เรียนอะไรมาไม่สำคัญเลย ความสามารถสำคัญที่สุด ต่อไปก็ช่วยเหวินซิงทำสโมสรรถแล้วกันนะ”
หลี่โม่ตบกระดาน ตัดสินใจให้กับอนาคตของฉู่ฟางเฉิงเรียบร้อย
แต่มาคิดๆดูคลาสเรียนหนังมหรสพในสโมสรแข่งรถ หลี่โม่แอบกังวลถึงอนาคตของสโมสรแข่งรถ
คางเหวินซิงแทบจะไม่ได้มีประสบการณ์อะไร ส่วนคางหย่งเฉียนก็เป็นพวกลูกเศรษฐีที่ลอยไปลอยมา รวมเข้ากับหนุ่มรุ่นอย่างฉู่ฟางเฉิง สามคนนี้จับกลุ่มกันแล้วจะเป็นยังไง ทำไมรู้สึกเพิ่งไม่ได้
“เหวินซิงเอ๊ย คลาสหนังมหรสพนับว่าจัดขึ้นมาแล้วใช่มั้ย ไหนเล่าแผนการสโมสรรถแข่งมาสิ”
คางเหวินซิงตกตะลึง ครุ่นคิดพูด“แน่นอนว่าต้องตั้งอยู่ในโลเกชั่นที่ดีที่สุด ต้องมีลางวิ่งF1 มีลางวิ่งรถลู่วิ่งรถโกคาร์ท มีลางวิ่งแบบซุปเปอร์ลู่วิ่งซุปเปอร์คาร์แต่ลางวิ่งแบบแรลลี่ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่”
หลี่โม่หน้าง้ำ ที่คางเหวินซิงพูดมานี่ไม่นับว่าเป็นแผนการอะไรเลย
“นี่น่ะเหรอแผนการของแก ฉันว่ามันไม่เห็นจะเป็นแผนการตรงไหน”
หลี่โม่ถามเสียงเรียบ
คางเหวินซิงเกาหัวกระดากกระเดื่อง“ผมยังไม่ได้คิดเยอะเลยครับ อันดับแรกต้องมีคอนเนคชั่น ทำวงการให้สมบูรณ์ คนที่ชอบแข่งรถ พวกเศรษฐีที่ชอบแข่งไม่ต้องมาก แต่ต้องมีเวทีที่ให้ทุกคนมารวมตัวสนทนากันได้”
“ที่สำคัญคือวงการแข่งรถในประเทศยังไม่พัฒนาเท่าไหร่ ไม่มีราชาแข่งรถที่เก่งกาจ ไม่มีเซียนรถ เราเอาทุกคนมารวมกัน ผมคิดว่าจะทำให้สโมสรสำเร็จขึ้นได้ จุดสำคัญคือการรวมตัว เราต้องการบุคคลนำร่อง”
คางเหวินซิงยิ่งพูดตายิ่งเป็นประกาย รู้สึกว่าตัวเองพูดถึงจุดสำคัญแล้ว ส่งสายตาไปให้หลี่โม่
“อาจารย์ อาจารย์ก็คือบุคคลผู้นำร่องคนนั้นไง ขอแค่อาจารย์เข้าร่วมการแข่งรถ แล้วกลายเป็นราชารถ สโมสรเราก็จะสำเร็จไปครึ่งแล้ว!”
คางหย่งเฉียนฟังไปประมาณเจ็ดแปดส่วน ก็พอเข้าใจความหมายของหลานชายอยู่ จึงเออออตาม
“เหวินซิงพูดมีเหตุผล ต้องมีบุคคลนำร่อง คุณหลี่เหมาะสมที่สุด”
เฉินเสี่ยวถงมองคางเหวินซิงสองอาหลาน เธอเบ้ปากอย่างไม่ค่อยพอใจ“คางเหวินซิง พี่หลี่โม่ถามแผนการ นายก็โยนภาระทั้งหมดให้พี่หลี่โม่เลย แล้วจะมีนายไว้ทำไมเนี่ย”
“ฉันว่าพวกนายสามคนไม่ไหวหรอก สู้ให้ฉันมารับผิดชอบสโมสรยังจะทำได้ดีกว่าพวกนาย ให้พวกนายได้เห็นฝีมือกันซะบ้าง”
พูดจบเฉินเสี่ยวถงจึงคีบกระเพาะวัวใส่จานหลี่โม่“พี่หลี่โม่รีบกินสิ อย่าสนใจเลย”
หลี่โม่ยิ้มแล้วกินกระเพาะวัว พูดเสียงเรียบ“เหวินซิงพูดได้ถูก แต่ก็ไม่ถูก คนนำร่องอะไรเล่า ก็แค่มาเสริมให้ดีขึ้น ไม่ต้องมีสักหน่อย”
“กลับไปคิดดีๆแล้วกัน สามคนไปหารือกัน เขียนแผนการออกมาก่อน ในใจไม่มีโครงร่างเลยไม่ได้นะ”
คางเหวินซิงรู้สึกเย็นว๊าบในใจ เดิมทีคิดว่าหลี่โม่จะชมสักหน่อย สุดท้ายก็ต้องร่างแผนการอยู่ดี
หนังสือแผนการเป็นอะไรที่ยุ่งยากที่สุด แค่อ่านก็ปวดหัวแล้ว ยิ่งไม่ต้องบอกให้เขียน
คางหย่งเฉียนพูดเสียงเข้ม“คุณหลี่พูดถูก พวกเราต้องเขียนโครงการอย่างจริงจัง งั้น เรื่องเขียนนั้นให้เหวินซิงนำแล้วกัน อากับเสี่ยวฉู่จะคอยเป็นผู้ช่วย”
คางเหวินซิงรู้สึกเหมือนโดนหม้อหล่นทับ ทับมาอย่างแรงบนหัว
คุณอาไม่มีปัญญาทำงาน แต่เรื่องโยนงานนี่เก่งไม่เบา
คางเหวินซิงผู้จนใจได้แต่ฝากความหวังกับฉู่ฟางเฉิง ฉู่ฟางเฉิงพูดตะกุกตะกัก“ผมพิมพ์เร็ว พี่เหวินซิงพูดมาแล้วกัน แล้วผมจะพิมพ์ให้”
คางเหวินซิงแทบกระอักเลือด ไอ้บ้าเอ๊ยสมกับที่มาเข้าคลาสหนังมหรสพ หลี่โม่พูดไม่ผิดจริงๆ
ก็ได้ พึ่งใครก็ไม่เท่าพึ่งตัว คางเหวินซิงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ตัวเองตั้งขึ้น ตัวเองก็รับอย่างว่าง่ายเถอะ
“ก็ได้ ผมจะเขียนออกมาอย่างดีเลย เขียนเสร็จให้อาจารย์แก้แล้วกัน คราวนี้ผมจะจุดประกายจักรวาลน้อยๆของตัวเอง ผมจะเขียนด้วยจิตวิญญาณเลย!”