จักรพรรดิมังกร - บทที่ 600 คาดการณ์ไม่ถึง
ไม่นานชุยเซิ่งจุนก็เดินไปถึงเวทีการประมูลแล้ว จับมือกับเซียวเลี่ยอย่างเรียบง่ายตามมารยาท แล้วก็เดินไปดูที่ด้านหน้ารูปวาด
ที่น่าสนใจคือ พนักงานยื่นแว่นขยายแท่งหนึ่งให้กับเขา ชุยเซิ่งจุนกลับปฏิเสธ……
บนแท่นแข่งขัน ชุยเซิ่งจุนกำลังตรวจสอบดูรูปวาดหมึกดำ “ม้าวิ่ง” อย่างละเอียด
โดยปกติแล้วที่จะแยกแยะความแท้หรือปลอมของรูปวาด ต่างก็ต้องใช้แว่นขยายดูสัมผัสของผ้าวาดภาพและลวดลายเส้นของจิตรกรอย่างละเอียด ถึงจะสามารถสรุปออกมาได้ดียิ่งขึ้น
แต่นายน้อยแห่งโรงรับจำนำจู้ติ่งคนนี้ กลับไม่รับแว่นขยายที่พนักงานเตรียมไว้ให้ก่อนขึ้นเวที แต่กลับตรงขึ้นไปบนเวทีโดยใช้ตาเปล่าตรวจสอบดู
รายละเอียดพวกนี้ก็ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างก็ซุบซิบกัน มีคนไม่น้อยที่คิดว่าหนุ่มคนนี้อวดเก่ง และแกล้งทำเป็นเข้าใจ
หลี่โม่เองก็ไม่เข้าใจวิธีการนี้ของชุยเซิ่งจุนมากเท่าไหร่นัก นั่งรอผลสรุปด้วยสีหน้าสงสัย
ผ่านไปสักพัก เหมือนว่าชุยเซิ่งจุนจะมีผลสรุปแล้ว
เห็นเพียงแค่ว่าเขาล้วงเอาเครื่องเสนอราคาออกมาจากกระเป๋าแล้วกดแป้นพิมพ์ หน้าจอบนเวทีปรากฏตัวเลข “200000” ขึ้นมาในทันที
เมื่อเห็นที่ชุยเซิ่งจุนเสนอราคา ด้านล่างเวทีก็ส่งเสียงวุ่นวายดัง “ซ่า” ในทันที เสียงผู้คนหารือกันยิ่งอยู่ยิ่งดังมากขึ้น
แต่ชุยเซิ่งจุนกลับดูท่าทางนิ่งเฉยมาก ไม่ได้พูดอะไร เดินลงจากเวทีด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วกลับมานั่งที่นั่งของตัวเอง
สองแสน? นั่นมันราคาเดียวกับที่เซียวเลี่ยซื้อรูปนี้มาไม่ใช่หรอ?
เดิมทีหลี่โม่คิดว่าชุยเซิ่งจุนจะให้คำตอบที่พิเศษอะไรสักอย่าง ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำแบบนี้ ในเวลานี้หลี่โม่ยิ่งงงหนักมากกว่าเดิมแล้ว
“ไอ้หนุ่มคนนี้เข้าใจคำว่าการประมูลมั้ยเนี่ย!”
“มีการเสนอราคาแบบนี้ที่ไหนกัน เมื่อกี้เซียวเลี่ยเพิ่งพูดว่าซื้อภาพนี้มาสองแสนไม่ใช่หรอ คนๆนี้เป็นคนของเซียวเลี่ยรึเปล่าเนี่ย!”
“ไอ้หนุ่มอย่ามาแกล้งทำเป็นรู้ดีสิ…..”
เสียงที่มีการคัดค้านต่อการเสนอราคาของชุยเซิ่งจุนนั้นมีอยู่มาก……
หลี่โม่มองดูชุยเซิ่งจุน เห็นเพียงใบหน้าเขายิ้มแย้ม และมองดูภาพวาดบนเวทีด้วยสีหน้าปกติ เหมือนกับว่ามั่นใจในผลสรุปของตัวเองเป็นอย่างมาก ดูแล้วไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดอะไรเลยสักนิด
จะพิสูจน์ว่าราคาที่เขาเสนอนั้นจะจริงหรือปลอม มีเพียงแค่วิธีเดียว นั่นก็คือตัวเขาเองก็ไปทำการวิเคราะห์รูปภาพนั้น
เผชิญหน้ากับผู้คนด้านล่างเวทีที่เสียงดังวุ่นวายมากขึ้น เซียวเลี่ยยกไมค์ขึ้นโบกมือพูดว่า
“ทุกท่านกรุณาเงียบครับ ทุกท่านกรุณาเงียบครับ ขอขอบคุณการสนับสนุนของนายน้อยแห่งโรงรับจำนำจู้ติ่งเป็นอย่างมาก เสนอราคาขายออกมาถึงสองแสนในทีเดียว ให้เกียรติกับกระผมเซียวโม่วเป็นอย่างมากเลยครับ แต่ว่าต่อจากนี้ผมหวังว่าหลังจากที่ทุกท่านดูสินค้าประมูลเสร็จแล้วอย่าเพิ่งเสนอราคา รอให้ทุกคนดูเสร็จแล้ว พวกเราถึงจะเข้าสู่การประมูลกัน เพื่อความเป็นระเบียบของสถานที่ ขอรบกวนทุกท่านให้ความร่วมมือด้วยครับ!”
เมื่อมีการเริ่มนำของชุยเซิ่งจุนแล้ว ผู้คนต่างก็แย่งกันขึ้นไปดูรูปวาดหมึกดำนี้ให้ชัดเจน ไม่นานด้านล่างเวทีก็ต่อคิวยาวแล้ว
หลี่โม่ที่ถูกทำให้อยากรู้อยากเห็นก็ไม่ทิ้งท้ายอยู่แล้ว จึงได้ลุกขึ้นเข้าร่วมคิวด้วย
หลี่โม่ที่ยืนอยู่ในแถวก็ไม่ได้ว่าง แต่ได้ทำการสำรวจดูสีหน้าของผู้คนที่ได้ดูรูปวาดแล้ว เขาพบว่าบุคคลที่ดูแล้วต่างก็ทำหน้าพอใจ ดูแล้วภาพวาดนี้ก็พอมีมูลค่าอยู่บ้าง
รอคอยอยู่นานในที่สุดก็ถึงคิวหลี่โม่ขึ้นเวทีแล้ว
หลี่โม่รับเอาแว่นขยายจากมือของพนักงาน แล้วก้าวเท้าเดินไปตรงหน้ารูปวาดหมึกดำ
วิธีที่ไม่เหมือนกับผู้อื่นก็คือ หลี่โม่ไม่ได้ใช้แว่นขยายสำรวจดูในทันที แต่กลับทำอย่างชุยเซิ่งจุน นั่นก็คือยืนอยู่กับที่ดูรูปวาดแบบนี้
หลี่โม่มองดูรูปวาดรงหน้าอย่างใส่ใจ จำท่าทางของม้าในรูปวาดไว้ในใจอย่างละเอียด จากนั้นก็หลับตาลง
หลี่โม่เบิกตาโพลง จากนั้นก็ถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วก็ลงจากเวที
ภาพนี้ถูกชุยเซิ่งจุนที่อยู่ด้านล่างมองดูอย่างชัดเจน และเขาก็ยังรู้ว่า ในจำนวนผู้คนที่ขึ้นไปดูรูปวาด รวมทั้งตัวเองด้วย เวลาที่หลี่โม่ใช้ในการสำรวจดูนั้นสั้นที่สุด
ในตอนที่หลี่โม่กลับไปยังที่นั่ง ฟางรั่วเสว่พูดกับหลี่โม่ด้วยสีหน้าเคารพนับถือ
“หลี่โม่นายเก่งนี่ แว่นขยายก็ไม่ใช้ แล้วยังดูเสร็จในเวลาสั้นๆแค่นี้ ทำให้ฉันนับถือมากจริงๆ!”
ชุยเซิ่งจุนเองก็เรียกหลี่โม่คำหนึ่ง แล้วยกนิ้วโป้งใส่เขา แล้วก็แสดงสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มออกมา
ผ่านไปอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่มีคนขึ้นเวทีไปดูรูปวาดแล้ว
แล้วเซียวเลี่ยก็ยกไมค์ขึ้นอีกครั้ง ประกาศอย่างเสียงดังว่า
“การประมูลเริ่มขึ้น ณ บัดนี้! ผู้คนที่ต้องการรูปวาดนี้ รีบเอาเครื่องเสนอราคาในมือของพวกคุณมาเสนอราคากันเถอะครับ!”
เพิ่งพูดจบ ตัวเลขบนหน้าจอก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด….
สองแสนห้า….สองแสนเก้า….สามแสนหก….สี่แสน…สี่แสนห้า…..
การเพิ่มขึ้นของตัวเลขสูงขึ้นเรื่อยๆทำเอาฟางรั่วเสว่ที่อยู่ด้านล่างเวทีถึงกับมองตาค้าง
สุดท้าย ตัวเลขบนหน้าจอหยุดลงที่ “680000”
เมื่อเห็นราคาขายนี้ หลีโม่และชุยเซิ่งจุนมองตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ต่างก็ยิ้มและส่ายหน้า
ผู้ที่ขึ้นไปรับสินค้าประมูลคือชายหนุ่มวัยกลางคนที่มีทรงผมหน้าม้าแสกกลาง ในมือถือรูปวาดหมึกดำนั้นและถ่ายรูปกับเซียวเลี่ย หลังจากที่ได้รับเสียงปรบมือจากทั้งงานแล้วก็ลงจากเวที
“ขอขอบคุณการสนับสนุนจากแขกผู้มีเกียรติจากต่างชาติท่านนี้อย่างมากครับ! เห็นรูปวาดนี้ได้รับการตอบรับจากทุกท่านในที่นี้มากขนาดนี้ เซียวโม่วคนนี้มีความสุขและดีใจเป็นอย่างมากครับ ต่อจากนี้จะทำการเข้าสู่การประมูลในรอบที่สองแล้ว จะมีสินค้าสี่ชิ้นที่ไม่ด้อยไปกว่ารูปวาดหมึกดำเมื่อกี้ขึ้นเวทีมาให้ทำการประมูล ทุกท่านตั้งตารอได้เลยครับ!”
พูดจบแล้วก็ลงจากเวทีแล้วกลับไปนั่งพักผ่อนตรงที่นั่งของตัวเอง
เหอะๆ ได้กำไรสี่แสนแปดในพริบตา เปลี่ยนเป็นใครก็มีความสุขกันทั้งนั้น หลี่โม่คิดในใจ ให้ฉันได้ดูซิว่านายยังมีของดีอีกกี่อย่างแล้วกัน!
วิธีการขนย้ายสินค้าประมูลขึ้นบนเวทีไม่เหมือนกับการประมูลรอบแรก การประมูลในรอบที่สองนี้เลือกที่จะนำสินค้าทั้งสี่ชิ้นขึ้นเวทีทีละชิ้น เมื่อประมูลหนึ่งชิ้นเสร็จแล้วถึงจะเริ่มทำการประมูลชิ้นต่อไป
แบบนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการประมูลในรอบที่สองแล้วยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ทำให้ผู้ประมูลมีความอยากรู้เต็มไปหมด
การประมูลทั้งสองรอบถูกจัดขึ้นไม่เหมือนกัน ทำให้เห็นถึงความฉลาดของเซียวเลี่ยที่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และก็ทำให้หลี่โม่ได้รับรู้ว่า หากอยากจะเป็นปรมาจารย์การลอกเลียนแบบชั้นสูง นอกเสียจากจะต้องมีฝีมือขั้นเทพแล้ว ยังต้องเรียนรู้ที่จะวางกลยุทธ์ยังไงด้วย แบบนี้ถึงจะสามารถหาเงินได้เยอะ
หลังจากที่พิธีกรประกาศเริ่มการประมูลรอบที่สอง สินค้าประมูลชิ้นแรกก็ถูกขนขึ้นแท่นโชว์ภายใต้การคุ้มกันของพนักงาน
นั่นคือกล่องสี่เหลี่ยมที่งดงาม
พิธีกรเดินไปข้างแท่นโชว์และพูดแนะนำว่า
“สินค้าประมูลชิ้นแรก สิ่งที่พวกเราจะทำการประมูลก็คือประติมากรรมม้าแกะสลักเครื่องทองสัมฤทธิ์แห่งราชวงศ์จ้านกั๋วครับ”
พูดจบแล้วก็ค่อยๆเปิดกล่องสี่เหลี่ยมนั้นออก
สิ่งที่วางอยู่ด้านในกล่อง คือม้าแกะสลักเครื่องทองสัมฤทธิ์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาแต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง