จักรพรรดิมังกร - บทที่ 622 ปวดใจจัง
เมื่อหลี่โม่เดินไปไกลจนไร้เงาแล้ว บอดี้การ์ดพวกนั้นของหวังซวนถึงได้ลุกจากพื้น
พวกบอดี้การ์ดเดินไปตรงหน้าหวังซวนพร้อมกัน มองดูหวังซวนที่สลบอยู่ ต่างก็มีความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูกกันทั้งนั้น
“แม่งเอ้ย ทำไมพวกเราถึงซวยขนาดนี้? ถึงได้เจอเข้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างนี้ คุณชายซวนก็ถูกตีจนสลบ พวกเราต้องโดนหางเลขด้วยแน่ๆ”
“เรื่องโดนหางเลขก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้รีบส่งคุณชายซวนไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ ถ้าช้าแล้วคุณชายซวนเป็นอะไรขึ้นมา นั่นถึงจะอันตรายอย่างหนัก”
พวกบอดี้การ์ดทนความเจ็บของร่างกายไว้แล้วยกหวังซวนพาส่งไปที่โรงพยาบาลร้อนรน
เมื่อถึงโรงพยาบาลหวังซวนถูกส่งไปที่ห้องฉุกเฉิน คุณหมอชายวัยกลางคนคนหนึ่งรับตรวจหวังซวน จัดเตรียมรายการตรวจสอบอยู่เต็มไปหมด
พวกบอดี้การ์ดเข็นหวังซวนที่สลบอยู่ไปทำการตรวจร่างกาย ไม่นานผลตรวจก็ส่งถึงมือของคุณหมอวัยกลางคน
หลังจากที่คุณหมอวัยกลางคนดูผลตรวจ CT scan แล้ว คิ้วก็ขมวดชิดเข้าหากัน
“ใครเป็นญาติของผู้ป่วย?”
“พวกผมเป็นบอดี้การ์ดของคุณชายซวนครับ ถือเป็นญาติอยู่ครึ่งหนึ่งมั้งครับ คุณหมอ คุณชายซวนของพวกเราเป็นอะไรกันแน่ครับ?”
คุณหมอวัยกลางคนส่ายหัว พูดด้วยสีหน้าหนักใจว่า “กระดูกสันหลังส่วนเอวเสียหายอย่างหนัก จำเป็นต้องเข้าทำการผ่าตัดเพื่อรักษา และหลังจากผ่าตัดแล้ว มีโอกาสอย่างมากที่เขาจะไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้อีก”
“ไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้? งั้นจะเดินยังไงละครับ?”
บอดี้การ์ดถามอย่างสงสัย
คนต่างก็ลุกขึ้นเดินไม่ใช่หรอ?
ไม่ลุกขึ้นเดิน หรือว่าจะให้คลานหรอ?
บอดี้การ์ดต่างก็รู้สึกว่าคุณหมอกำลังพูดไร้สาระ
คุณหมอวัยกลางคนส่ายหน้าและพูดว่า “ความหมายของฉันคือ ส่วนล่างตั้งแต่เอวเป็นต้นไปจะพิการ อนาคตก็ทำได้เพียงแค่นั่งรถเข็นเท่านั้น”
“อะไรนะ? คุณชายซวนของพวกเราทำได้แค่นั่งรถเข็น? ล้อกันเล่นใช่มั้ยครับ คุณชายซวนของพวกเราพิการไม่ได้นะครับ คุณหมอ คุณรีบคิดหาวิธี ค่ารักษาแพงแค่ไหนก็ไม่มีปัญหาครับ!”
พวกบอดี้การ์ดต่างก็ร้อนรน ถ้าหากว่าคุณชายซวนพิการจริงๆ งั้นบอดี้การ์ดอย่างพวกเขาก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตอยู่เลย จะต้องฆ่าตายทั้งบ้านแน่ๆ
คุณหมอวัยกลางคนยิ้มขมขื่น “ทักษะการแพทย์ของฉันมีจำกัด ให้อภัยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้ ไม่ก็พวกคุณย้ายโรงพยาบาลเถอะครับ ส่งไปยังเมืองหลวงและให้ผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดมาตรวจดู”
พวกบอดี้การ์ดมองตากัน ต่างก็ไม่ค่อยอยากส่งหวังซวนกลับเมืองหลวง
ถ้าหากว่าส่งหวังซวนกลับเมืองหลวง ก็จะต้องถูกคนตระกูลหวังรู้แน่นอน ถ้าหากว่าให้คนตระกูลหวังรู้ พวกที่ซวยก่อนใครก็คือบอดี้การ์ดอย่างพวกเขา
ในขณะที่พวกบอดี้การ์ดกำลังวางแผนกัน หวังซวนก็ฟื้นขึ้นมา
หวังซวนมองไปรอบๆ จากนั้นถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล
ขยับร่างกายนิดหน่อย หวังซวนอยากจะลุกยืนขึ้น จู่ๆก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ส่วนเอวอย่างรุนแรง เจ็บจนทำเอากัดฟันร้องโอดครวญออกมา
“โอ๊ย! ทำไมเอวของฉันเจ็บขนาดนี้? แม่งเอ้ย รีบมาดูแผลให้ฉันสิ!”
“คุณชายซวนครับ คุณอย่าขยับเด็ดขาดเลยนะครับ คุณหมอบอกว่าเอวของคุณถูกไอ้เลวนั่นถีบจนหักแล้ว จำเป็นจะต้องผ่าตัด และหลังจากผ่าตัดแล้วมีโอกาสที่ร่างกายส่วนล่างจะพิการ ต่อไปก็ทำได้แค่นั่งรถเข็นเท่านั้นแล้วครับ”
บอดี้การ์ดคนหนึ่งที่ตรงไปตรงมา ได้บอกสถานการณ์ให้กับหวังซวนฟัง
เมื่อหวังซวนฟังจบก็รู้สึกไม่ดีในทันที ถลึงตามองบอดี้การ์ดพวกนั้น
“ที่พวกนายพูดเป็นเรื่องจริง? หมอละ? รีบเรียกหมอมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
คุณหมอวัยกลางคนถูกพวกบอดี้การ์ดผลักไปด้านหน้าหวังซวน คุณหมอหมดหนทางจึงได้พูดคำพูดเมื่อกี้ให้ฟังอีกรอบ
เมื่อหวังซวนฟังจบก็ไม่พูดจาอะไรอยู่นาน แต่ว่าน้ำตากลับไหลลงจากดวงตา
รู้สึกผิดสิ! ถ้าหากว่ามียารู้สึกผิด หวังซวนคงจะกินทีเดียวจนหมด
“แม่ง! ฉันไม่ยอมพิการหรอก รีบเหมาเครื่องบินพาฉันกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ ฉันจะหาหมอที่ดีที่สุดมารักษา! เรื่องครั้งนี้ฉันจำไว้แล้ว ต่อไปจะต้องทำให้ไอ้เลวนั่นพิการเช่นกัน!”
ถึงแม้ว่าในใจของพวกบอดี้การ์ดจะไม่ยินยอมอย่างมาก แต่ก็ทำได้เพียงรีบส่งหวังซวนกลับไปรักษาที่เมืองหลวง
……….
โรงเตี๊ยมดอกท้อ
ด้านในโรงเตี๊ยมเงียบสงบมาก นอกจากโต๊ะของกงซุนจุนที่อยู่ตรงกลางแล้ว โรงเตี๊ยมก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นอีก
ไม่ใช่เพราะว่าธุรกิจของโรงเตี๊ยมไม่ดี แต่เป็นเพราะกงซุนจุนเหมาโรงเตี๊ยมไว้
กงซุนจุนที่ใส่เสื้อแขนยาวของ Gambiered Guangdong silk ค่อยๆสะบัดพัดในมือ ความคิดในสมองนั้นย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน
กงซุนจุนในตอนนั้นตกต่ำจนถึงกับเป็นขอทาน ในตอนที่หมดหวังที่สุดในชีวิต ได้พบเจอเข้ากับกู้หยุนหลันที่สวยงาม
ในวินาทีนั้นหน้าตาของกู้หยุนหลันก็ถูกสลักไว้ในสมองของเขา
หลายปีมานี้ได้ฝันถึงกู้หยยุนหลันนับครั้งไม่ถ้วน หลังจากที่กงซุนจุนตื่นขึ้นมากลับต้องอดทนต่อความคิดที่จะตามหากู้หยุนหลัน
เพื่อการแก้แค้น เพื่อให้ได้เป็นผู้ดูแลควบคุมตระกูล กงซุนจุนจึงอดทนมาโดยตลอด
จนถึงตอนที่บังเอิญได้รับสายของกู้หยุนหลัน ความคิดที่กงซุนจุนคอยเก็บกดเอาไว้ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว
กงซุนจุนแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้เจอกับกู้หยุนหลัน แต่ว่าในตอนนี้ที่กำลังรอกู้หยุนหลันมา ความคิดของกงซุนจุนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย
ยกถ้วยเหล้าหยกขาวบนโต๊ะขึ้น ดื่มไวน์ข้าวในถ้วยช้าๆ กงซุนจุนถอนหายใจเบาๆทีหนึ่ง
“ทำไมสาวสวยถึงแต่งงานแล้วละ หลายปีมานี้ที่ตัวผมเก็บกดตัวเองไว้ สรุปแล้วมันถูกหรือผิดกันแน่? อาจจะเป็นความผิดของผม ถึงจะประสบความสำเร็จแต่สุดท้ายก็คิดไม่ออก เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครที่แต่งงานกับเธอ คู่ควรกับเธอหรือเปล่า”
ยิ่งพึมพำ กงซุนจุนก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ รู้สึกว่าในใจตัวเองก็ยังปล่อยวางจากกู้หยุนหลันไม่ได้
เสียงฝีเท้าดังมา กงซุนจุนรีบเก็บอารมณ์สีหน้า ความรู้สึกเสียใจบนใบหน้าหายไป เปลี่ยนเป็นสีหน้าสูงส่งเหมือนก่อนหน้า
ค่อยๆสะบัดพัด กงซุนจุนมองไปยังประตูของโรงเตี๊ยมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
กู้หยุนหลันและหลี่โม่เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม เห็นกงซุนจุนที่นั่งอยู่ตรงกลางได้ในทันที
“สวัสดีครับคุณกู้หยุนหลัน ไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานพวกเรายังสามารถได้พบกันอีก ความเมตตาที่คุณมีต่อผมในตอนนั้น กระผมกงซุนจุนชีวิตนี้ก็ลืมไม่ลง กรุณารับการเคารพจากผมด้วยครับ”
กงซุนจุนลุกขึ้นยืน สองมือกุมมือทำความเคารพ และก้มตัวโค้งคำนับต่อกู้หยุนหลัน
กู้หยุนหลันโบกมืออย่างทำตัวไม่ถูก พูดว่า “อย่าค่ะ อย่าได้เกรงใจกันแบบนี้ค่ะ พวกเราต่างก็เป็นเพื่อนกันใช่มั้ยคะ คุณเกรงใจกันแบบนี้ทำเอาฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วค่ะ”
หลี่โม่สังเกตกงซุนจุนคนนี้ตั้งแต่ที่เข้าประตูมาแล้ว ในตอนนี้เห็นท่าทางเสแสร้งแบบนี้ของกงซุนจุน คิ้วของหลี่โม่กระตุกเล็กน้อย
จากที่หลี่โม่ดูแล้ว การกระทำพวกนี้ของกงซุนจุน มีความเสแสร้งอยู่เล็กน้อย คนแบบนี้มองดูภายนอกแล้วอาจจะดูเป็นสุภาพบุรุษ แต่ว่าความเป็นจริงคือ…….
ส่ายหัวเล็กน้อย หลี่โม่รู้สึกว่าการคาดเดาตัวกงซุนจุนแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก เพราะยังไงซะก็มาขอให้เขาช่วยเหลือ
“ฮ่าๆๆ”
กงซุนจุนหัวเราะออกมา ในขณะที่หัวเราะสายตาก็กวาดมองตัวหลี่โม่
มองดูการแต่งตัวของหลี่โม่ ในใจของกงซุนจุนมีความรู้สึกดูถูกอยู่เล็กน้อย รู้สึกว่าหลี่โม่ไม่คู่ควรเหมาะสมกับกู้หยุนหลันด้วยซ้ำ
“เชิญนั่งครับคุณกู้ คุณผู้ชายท่านนี้คือสามีของคุณ?”