จักรพรรดิมังกร - บทที่ 640 ของที่ฉันเล่นเหลือ
ป้าบ!
กงซุนจุนตบโต๊ะอย่างแรง ลุกขึ้นถลึงตามองหลี่โม่อย่างโมโห
“นายพูดอะไร? กล้าพูดว่าหน้าพัดอันนี้ของฉันไม่ใช่ภาพวาดของปาต้าซานเหริน? น่าขำที่สุด นายเข้าใจภาพวาดมั้ย? ถึงได้กล้าพูดหยาบคายแบบนี้!”
กู้เจี้ยนหมินเองก็ถลึงตาใส่หลี่โม่อย่างไม่พอใจมาก “พูดจามั่วไม่ได้นะ นายไม่รู้เรื่องก็ไปนั่งเงียบๆด้านข้าง ของประณีตขนาดนี้ยังกล้าพูดว่าเป็นของปลอม นายนี่ทำให้ฉันอับอายจริงๆ”
หวังฟางถึงกับยื่นมือลากหลี่โม่ออกไปอีกฟาก กว่าจะได้รับของขวัญราคาหลายสิบล้าน หวังฟางรู้สึกได้หน้าอย่างมาก ไม่อยากจะให้คำพูดมั่วๆของหลี่โม่ทำลายเรื่องดีๆทิ้ง
“ไอ้คนที่ไร้ความรู้อย่างนายอย่าพูดมั่ว รีบไปช่วยทำอาหารในห้องครัวไป”
เฉินเสี่ยวถงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกไปเป็นธรรมแทนหลี่โม่ “น้าหวังคะ คุณต้องฟังพี่หลี่โม่พูดจนจบสิคะ เขาพูดแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลของเขาแน่นอน”
“มันจะมีเหตุผลอะไร? มันอยู่บ้านฉันมากี่ปีแล้วเป็นคนแบบไหนฉันจะไม่รู้หรอ นี่เพิ่งจะก้าวหน้าแค่ไม่นานก็เริ่มทำเก่ง ที่ฉันทำนี่เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม”
หวังฟางถลึงตาใส่หลี่โม่ คิดว่าความคิดของตัวเองนั้นไม่ผิดแน่นอน
หลี่โม่มองหวังฟางอย่างขมขื่น ส่ายหัวอย่างเอือมระอา แล้วหันหลังเดินไปทางห้องนอนของตัวเอง
กู้หยุนหลันและเฉินเสี่ยวถงมองดูแผ่นหลังของหลี่โม่ที่เดินจากไป ในใจมีความรู้สึกเสียใจแทนหลี่โม่ แต่ว่าตอนนี้กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางพูดแบบนี้แล้ว ทั้งสองคนก็แก้ตัวแทนหลี่โม่ไม่ถูก
กงซุนจุนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณลุง คุณน้า หยุนหลัน พวกเรามานั่งลงกันเถอะครับ พวกเรามาคุยเรื่องงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่กัน วันนี้จะเอาพวกผักและเชฟของที่บ้านมาด้วย อยากจะทำให้พวกคุณชิมดูสักหน่อย”
“โอ๊ะ ดีเลยสิ ตอนนี้อยากจะกินพวกผักเขียวในเมืองนี่ยากมากจริงๆ”
กู้เจี้ยนหมินพูดอย่างมีความสุข
“ผมไม่ได้เอามาแค่ผักเขียวนะครับ แต่เป็นผักเขียวที่มีผลดีกับสุขภาพ รสชาติก็ดีเป็นอย่างมาก งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่พวกคุณก็ใช้วัตถุดิบและเชฟของตระกูลผม รับประกันว่าทำให้ผู้คนที่มากินแล้วลืมไม่ลงเลยครับ”
หวังฟางยิ้มจนตาหยี พูดอย่างพอใจว่า “งั้นก็รีบพาเชฟและผักเขียวของพวกนายเข้ามาเถอะ เย็นนี้ลองชิมกันดูสักหน่อย”
กู้หยุนหลันเห็นว่าพ่อแม่ตัวเองพูดเข้าข้างกงซุนจุน จึงทำได้เพียงแค่หุบปากเงียบอย่างหมดหนทาง แล้วดื่มชาอย่างไม่พอใจ
เฉินเสี่ยวถงเห็นว่าไม่มีใครสนใจตัวเธอ จึงได้หันหลังเดินไปทางบันได แล้วแอบเข้าห้องของหลี่โม่
หลี่โม่กำลังปูกระดาษบนโต๊ะ ท่าทางเตรียมจะทำอะไรสักอย่าง
“พี่หลี่โม่ พี่จะทำอะไร?”
เฉินเสี่ยวถงถามอย่างสงสัย
หลี่โม่เหลือบมองเฉินเสี่ยวถงแล้วพูดยิ้มๆว่า “เธอมาพอดีเลย มาช่วยฉันบดน้ำหมึกหน่อย ฉันจะพิสูจน์ว่าภาพวาดนั้นเป็นของปลอม”
“หา? นี่จะพิสูจน์ยังไงคะ? ต้องไปเชิญอาจารย์ผู้ประเมินมาถึงจะได้สิคะ”
“อาจารย์ประเมินล้วนเป็นขยะทั้งนั้น สายตาของฉันดีกว่าพวกเขาเป็นหมื่นเท่า ภาพวาดนั้นพวกเขาประเมินผลไม่ออกมาหรอก ถึงแม้ว่าจะมีผลสรุปก็จะต้องบอกว่าเป็นของจริง”
เฉินเสี่ยวถงนิ่งอึ้งไป รู้สึกว่าสมองของตัวเองไปพอใช้แล้ว จึงพูดว่า “อย่างนั้นก็แสดงว่ามันเป็นของจริงไม่ใช่หรอคะ?”
“เหอะๆ ฉันบอกกับเธอตามจริงเลยนะ พัดอันนั้นเป็นของเล่นที่ฉันเล่นเมื่อก่อน ตัวพัดนั้นฉันแกะออกมาจากพัดเก่า ส่วนภาพวาดหน้าพัดฉันเป็นคนวาดเลียนแบบปาต้าซานเหริน ส่วนหยกเหอเถียน เป็นของที่ใส่เข้าไปทีหลัง”
หลี่โม่พูดไปด้วยแล้ววางกระดาษ ปากกา หมึกไว้ เตรียมจะแสดงฝีมือออกมา
เฉินเสี่ยวถงใช้สายตาแปลกๆมองหลี่โม่ “ที่พี่พูดจริงหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมฉันฟังแล้วเหมือนกับตำนานเลย แล้วยังเป็นตำนานที่แต่งขึ้นมั่วด้วย”
หลี่โม่มองเฉินเสี่ยวถงอย่างหมดคำพูด “รีบมาบดหมึก เดี๋ยวฉันวาดเสร็จ เธอก็จะรู้เองว่าจริงหรือปลอม”
“อ้อๆ” เฉินเสี่ยวถงไม่กล้าพูดอะไรอีก ก้มหน้าเอาหมึกแท่งทำการบดในจานหินที่เติมน้ำแล้ว
หลี่โม่หลับตานึกถึงภาพบนหน้าพัด แล้วจัดการกับอารมณ์ตัวเอง
ถ้าหากอยากเลียนแบบภาพออกมา จะบอกว่าง่ายก็ง่ายมาก จะบอกว่ายากก็ยากมาก
ถ้าจะวาดตามแบบนั้นจริงๆ มันก็ง่ายมากๆ แต่ว่าภาพแบบนั้นสามารถดูออกถึงความจริงแท้ได้ในทันที
แต่ถ้าอยากเลียนแบบได้เหมือนจริงมากๆ ก็จะต้องไปเลียนแบบแนววาดตัวภาพ มีเพียงแค่เลียนแบบแนวคิดของภาพออกมา ถึงจะนับว่าเข้าสู่เกณฑ์การเลียนแบบวาด
เมื่อหลี่โม่ลืมตาขึ้น ในสายตาปรากฏประกายแสงออกมา จากนั้นก็หยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้น หลังจากที่จิ้มน้ำหมึกแล้วก็เริ่มทำการวาดลงบนกระดาษ
เฉินเสี่ยวถงจ้องกระดาษฟางเขม็ง มองดูหลี่โม่ลงมือวาดอย่างลื่นไหล วาดไปสักพักภาพน้ำภูเขาก็ถูกวาดออกมา
หน้าพัดนั้นเหมือนกับภาพวาดที่ดูจากภาพหน้าพัดเมื่อกี้ สามารถบอกได้ว่าเหมือนอย่างมากที่สุด
“เหมือนมากเลยจริงๆ แต่ว่าก็ยังดูออกว่ามีความแตกต่างนี่นา”
“เหอะๆ ดูจากแนวคิดของภาพแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง ที่เธอคิดว่ามีความแตกต่าง นั่นก็เพราะว่าน้ำหมึกยังไม่แห้ง”
เมื่อหลี่โม่พูดจบก็หาเครื่องเป่าผมมา และเริ่มทำการเป่าภาพวาดให้แห้ง เมื่อความเปียกชื้นของกระดาษหายไป สีของน้ำหมึกมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ตอนนี้ดูภาพวาดบนโต๊ะอีกครั้ง ดวงตาของเฉินเสี่ยวถงค่อยๆเบิกกว้างขึ้น
“ตอนนี้ดูแล้วเหมือนกันเป๊ะเลย หรือว่าภาพวาดหน้าพัดนั้นพี่เป็นคนวาดจริงๆหรอ?”
“ฉันวาดแน่นอนอยู่แล้ว นี่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดโกหก”
หลี่โม่ม้วนเก็บกระดาษภาพวาด บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มได้ใจ
“พี่หลี่โม่เก่งมากจริงๆเลย พี่วาดภาพเหมือนให้ฉันรูปหนึ่งเถอะ ฉันยังไม่เคยได้วาดรูปเหมือนเลย สามารถรอตอนพี่หยุนหลันไปทำงานแล้วพี่วาดแบบศิลปะพิเศษแบบนั้นให้ฉันได้นะ”
เฉินเสี่ยวถงกะพริบตาใส่หลี่โม่ บนใบหน้ามีท่าทีหว่านเสน่ห์
หลี่โม่ตบหัวของเฉินเสี่ยวถงเบาๆ พูดอย่างตำหนิว่า “พูดมั่วอะไรกัน ศิลปะอะไรกัน ศิลปะล้วนเป็นสิ่งที่ฉันเล่นเหลือเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด”
เฉินเสี่ยวถงทำปากยู่ มองหลี่โม่ด้วยสายตาเสียใจ แต่ว่าหลี่โม่นั้นหันหลังเดินออกจากห้องไปแล้ว
เมื่อตอนที่หลี่โม่เดินมาถึงห้องนั่งเล่น กงซุนจุนมองหลี่โม่อย่างดูถูกเล็กน้อย แล้วพูดว่า “นายมาทำไมอีก? คนมีตาหามีแววไม่ มาหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว?”
“เมื่อกี้ฉันเพิ่งวาดรูปภาพหนึ่งมา อยากเชิญคุณกงซุนแนะนำแก้ไขให้หน่อยครับ”
หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆๆ อย่างนายเนี่ยนะยังวาดรูปออกมา นายอย่าได้ทำให้ชื่อเรียกจิตรกรเสียภาพลักษณ์เลย” กงซุนจุนพูดอย่างดูถูก
กู้เจี้ยนหมินจ้องหลี่โม่อย่างแรง “นายอย่ามาวุ่นวายที่นี่แล้ว รีบไปจัดการเรื่องของตัวเองไป อย่ามาเกะกะที่นี่”
“พ่อคะ พ่อให้หลี่โม่พูดจบก่อนได้มั้ย เขาวาดอะไรก็ดูก่อนแล้วค่อยว่ากันสิคะ”
กู้หยุนหลันรีบช่วยหลี่โม่พูดจา
หวังฟางกลอกตาทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “งั้นก็ดูสักหน่อย ดูเสร็จแล้วจะได้ให้มันไปไกลๆ”