จักรพรรดิมังกร - บทที่ 668 หินเลือดไก่หลิวกวนจาง
ศิลปินที่ไร้ชื่อเสียงจำนวนมาก เริ่มเต็มไปด้วยความดุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาต่างกำลังรอคอยการแสดงความสามารถของตนเอง เพื่อได้รับการยอมรับจากผู้คนแล้ว
ฉีเต๋อหลงดวงตาสว่างวาบขึ้นมาในทันที แล้วพูดด้วยเสียงสูง“เราจะเริ่มแสดงศิลปะของเราแล้ว ไอ้หนุ่มมีปัญญาแข่งกับฉันหน่อยไหม ถึงเวลานั้นให้ผู้ชมตัดสินว่าผลงานของใครดีกว่ากัน”
“เหอะๆ ไม่มีปัญหาครับ ขอเพียงแค่พวกคุณไม่ร้องไห้ก็พอ”
หลี่โม่กล่าวอย่างมั่นใจ
ถ้าเปรียบเทียบกับศิลปินเขียนพู่กันจีนแล้ว หลี่โม่จะรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถไม่พอ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับศิลปินชราวัยกลางคนลายมือไก่เขี่ยแล้ว ความสามารถการเขียนพู่กันจีนของหลี่โม่สามารถบดขยี้ได้ทุกทาง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทุกคนโปรดเป็นพยานด้วย เราสามคนจะแข่งศิลปะการเขียนพู่กันจีนกับน้องชายคนนี้ พวกเราเป็นคนใจกว้างมากพอ ถ้าน้องชายแพ้ฉันขอแค่คำขอโทษ หลังจากนั้นก็ถ่ายคลิปลงในอินเทอร์เน็ตก็พอ”ฉีเต๋อหลงกล่าวอย่างมั่นใจ
“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าพวกคุณแพ้ล่ะ?”
หลี่โม่เอ่ยถามพลางยิ้มบางๆ
ฉีเต๋อหลงเลิกคิ้วขึ้น กลอกตาแล้วหัวเราะอย่างเย็นชาสองครั้ง“เหอะๆ เราไม่มีทางแพ้หรอกนะ ต้องรู้ว่าเราคือศิลปินผู้มีชื่อเสียงระดับสากล ปิกาโซยังเคยชื่นชมผลงานการเขียนพู่กันจีนของฉันแล้ว”
“ก็ได้ครับ เกรงว่าต้องหาปรมาจารย์ที่เก่งรอบด้านถึงจะสามารถเข้าใจลายมือไก่เขี่ยของพวกคุณ คนธรรมดาอย่างผมไม่สามารถเข้าถึงผลงานของพวกคุณหรอกนะ”หลี่โม่พูดอย่างเย้ยหยัน
ฉีเต๋อหลงเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดเย้ยหยันของหลี่โม่ เขาจึงพูดอย่างได้ใจว่า“ไอ้หนุ่มถือว่านายมีประสบการณ์อยู่บ้าง มีแค่ศิลปินอย่างปิกาโซ ถึงจะสามารถเข้าใจจิตวิญญาณของเราได้ รู้ไหมว่าผลงานการเขียนพู่กันจีนของเราล้ำค่าขนาดไหน”
ฟางจือหยูพูดสำทับ“นี่ก็คือความเศร้าใจของเรา และเป็นความเศร้าของศิลปะเช่นกัน คนหนุ่มสาวอย่างพวกนายไม่มีพื้นฐานของศิลปะแม้แต่นิดเดียว ไม่มีความซาบซึ้งในศิลปะ”
ศิลปินที่ไร้ชื่อเสียงอื่นๆพากันพยักหน้า เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา
“คนพวกนี้ไม่ไหวเอาซะเลย ไม่มีทางซาบซึ้งถึงรูปแบบศิลปะขั้นกว่าของเราก้าวข้ามอารยธรรมมนุษย์มาหลายร้อยปีแล้ว มีเพียงแค่คนร้อยกว่าปีที่เข้าใจในผลงานของเรา ”
“เราควรยกระดับผลงานศิลปะของเรา นี่คือหน้าที่ของคนรุ่นผม เราควรทำให้ศิลปะเดินเข้าไปสู่ครอบครัวนับพันครัวเรือน และให้ทุกครอบครัวแขวนภาพวาดงานศิลปะพู่กันจีนของเรา”
เมื่อเผชิญหน้ากับศิลปินที่ไม่ใช่กระแสหลัก หลี่โม่ถึงหมดแรงที่จะแขวะทันที ฟังคำคุยอวดโม้ของพวกเขา มันยิ่งทำให้มีความรู้สึกอยากอาเจียน
“พวกคุณหยุดบอกความเก่งกาจของตัวเองก่อนเถอะครับ ขืนถ้าพวกคุณยังพูดต่อไป โลกต้องแตกแน่ๆ ในตอนที่พวกคุณเริ่มทำการแสดงลายมือไก่เขี่ยของพวกคุณ แน่นอนว่าผมจะไปเรียนรู้กับพวกคุณ ตอนนี้พวกคุณโปรดหลีกทางด้วย เราจะไปดูหยก”
มองดูท่าทีหงุดหงิดของหลี่โม่ ศิลปินเขียนพู่กันจีนชราวัยกลางคนลายมือไก่เขี่ยทั้งสามคนเชิดหน้าขึ้นมา แล้วทำเสียงหึอย่างเย่อหยิ่ง
“หึ!เราเป็นศิลปินที่มีความใจกว้าง ครั้งนี้จะอ่อนข้อให้ เดี๋ยวเรามาเรียนรู้กันเถอะ จะให้พวกคนหนุ่มสาวอย่างพวกนายได้เห็นถึงความเก่งกาจ”
“แก่นแท้ของศิลปะการเขียนพู่กันจีนอยู่ในมือของเรา ในตอนที่นายเห็นการแสดงของฉัน จะต้องแสดงความเคารพ ถึงเวลานั้นนายจะรู้ได้เองว่าเราเก่งกาจมากแค่ไหน”
“ฉันจะไม่พูดไปมากกว่านี้แล้ว งั้นเดี๋ยวรอเรียนรู้ซึ่งกันและกันนะครับ ถ้าใครไม่มาคนนั้นเป็นหมา หวังว่านายจะไม่ผิดคำพูด”
หลังจากที่ศิลปินเขียนพู่กันจีนชราวัยกลางคนลายมือไก่เขี่ยทั้งสามคนพูดจบ ก็หลีกทางให้ คิดว่าจะต้องไปเตรียมตัวเรื่องของการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน นั่นเป็นช่วงเวลาสร้างกระแสได้ดีที่สุด
หลี่โม่พาเฉินเสี่ยวถงกับกู้หยุนหลัน เดินผ่านศิลปินเขียนพู่กันจีนชราวัยกลางคนลายมือไก่เขี่ยที่หลีกทางให้ไป เหล่าศิลปินที่ไร้ชื่อเสียงที่อยู่บริเวณโดยรอบ ต่างถอนหายใจพร้อมกัน พวกเขายังสร้างกระแสไม่หนำใจเลย
หลัวลี่โล๋หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายไปที่แผ่นหลังของหลี่โม่ทั้งสาม แล้วดูด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยกับการสร้างจำนวนสถิติของผู้ชมในไลฟ์สดใหม่
“เพื่อนๆครับ พวกคุณได้ยินกันรึเปล่า อีกเดี๋ยวพวกเขาจะทำการเรียนรู้ซึ่งกันและกันจากศิลปะการเขียนพู่กันจีน ผลหลัวลี่โล๋จะทำการไลฟ์สดให้ทุกคนดู เพื่อนที่ชอบการแสดงศิลปะของผม สามารถส่งข้อความส่วนตัวมาหาผมได้นะครับ เพิ่มเพื่อน และสามารถกดไลค์ให้กับการแสดงศิลปะของผม และผมจะมีสิทธิประโยชน์มอบให้ผู้สนับสนุนนะครับ”
ในตอนที่หลัวลี่โล๋กำลังโฆษณา ผู้ชมในไลฟ์สดก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ราวกับทุกคนไม่สนใจกับการแสดงศิลปะของหลัวลี่โล๋
หลี่โม่ทั้งสามเดินมาถึงหน้าบูธ เจ้าของร้านเล่นมือถืออย่างขี้เกียจ ไม่แม้แต่จะทักทาย
หลี่โม่ไม่สนใจเจ้าของร้าน แต่กำลังเริ่มมองดูที่บูธด้วยตัวเอง
เจ้าของร้านคนนี้ส่วนมากจะขายหินเลือดไก่ หินเลือดไก่แบ่งตามแหล่งแหล่งกำเนิดได้แก่หินเลือดไก่ชางฮัวกับหินเลือดไก่ปาหลิน หินเลือดไก่ชางฮัวถูกขุดตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว มีคุณภาพสูง สมัยนี้เกือบหมดแล้ว ดังนั้นหินเลือดไก่ตามท้องตลาด ส่วนมากจึงเป็นหินเลือดไก่ปาหลิน
เมื่อแบ่งตามความแข็งจะแบ่งเป็นหินเลือดไก่เนื้อแข็งกับหินเลือดไก่เนื้ออ่อน คุณภาพของหินเลือดไก่เนื้อแข็งจะแข็งมาก และหยาบ ในตอนที่แกะสลักหรือถลุง จะมีโอกาสบิ่นและมุมของหินแตก ดังนั้นจึงแกะสลักยากมาก ด้วยเหตุนี้หินเลือดไก่เนื้อแข็งจึงมีราคาค่อนข้างต่ำ
แต่คุณภาพของหินเลือดไก่เนื้ออ่อนนั้นละเอียดมาก ความแข็งเหมาะที่จะนำมาแกะสลักเป็นอย่างมาก ในตอนที่แกะสลักและถลุงจะไม่มีโอกาสบิ่นของหิน เพราะฉะนั้นราคาจึงสูงมากๆ
ถ้าหากสีสันโปร่งใส หินเลือดไก่มีสัดส่วนที่มาก หินเลือดไก่เนื้ออ่อนที่มีลวดลายสวย ราคาเริ่มต้นต่อชิ้นก็สูงมากกว่าหนึ่งแสนเข้าไปแล้ว
ดีกว่านี้ก็จะเป็นหินเลือดไก่เนื้อแก้ว ตามแวดวงของอัญมณีกับหยก หินเลือดไก่เนื้อแก้วเป็นหินเลือดไก่ที่มีองค์ประกอบของหยก หินแบบนี้ ส่วนมากจะถูกเรียกว่าการแปรหยก
ราคาของหินเลือดไก่เนื้อแก้วแพงกว่ามาก หายากมากในท้องตลาด เมื่อมีการปรากฏขึ้นก็จะถูกไล่ล่าค้นหา ถูกคนเสนอจ่ายในราคาสูง
ในบูธจัดแสดงทั้งตราประทับหินเลือดไก่ และมีหยกดิบของหินเลือดไก่ เจ้าของร้านคนนี้ดูไปแล้วเป็นเจ้าของที่เอาสินค้ามาจากแหล่งโดยตรง
กู้หยุนหลันหยิบตราประทับหินเลือดไก่ขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง เมื่อมองดูแล้วจึงพูดขึ้นมาว่า“นี่คือหินเลือดไก่ ดูไปแล้วสวยจังเลย”
“หินเลือดไก่ที่คุณถืออยู่ไม่สวยหรอกครับ ถ้าพูดถึงเรื่องสีสัน หนึ่งในหินเลือดไก่ที่ดีที่สุดมันมือชื่อว่าหลิวกวนจาง”
หลี่โม่พูดอย่างเรียบเฉย
“หลินกวนจาง?หมายความว่าไงคะ?”
เฉินเสี่ยวถงถามอย่างสงสัย
“หลิวกวนจางหมายถึงสีสัน เล่าปี่หน้าขาว กวนอูหน้าแดง เตียวหุยหน้าดำ ดังนั้นขาวแดงดำทั้งสามสีนี้จึงแบ่งเป็นสีสันของหินเลือดไก่ ที่ถูกเรียกว่าหลิวกวนจาง จะเป็นหินเลือดไก่ที่มีสีแดงเลือดไก่มากพอ แต่สีดำขาวไม่ชัดเจน โดยมีสีขาวเทาหรือสีดำเทา ดังนั้นสีดำขาวแดงที่ชัดเจนจึงจัดอยู่ในระดับสูงสุดของหินเลือดไก่”
หลี่โม่กล่าวอธิบาย ทำให้กู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถงมีความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อย ถ้าไม่ได้ยินในสิ่งที่หลี่โม่พูด พวกเธอก็คงไม่รู้ว่าหินเลือดไก่ยังมีการแบ่งชนิดอะไรที่มากขนาดนี้