จักรพรรดิมังกร - บทที่ 702 เพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเด็ก
วันใหม่เริ่มต้นขึ้น
เฉินเสี่ยวถงเข้ามาในออฟฟิศด้วยหัวใจอันโศกเศร้า
หลี่โม่ช้อนสายตาขึ้นมองเฉินเสี่ยวถงแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตบ ๆ เก้าอี้ที่ข้างตัวเขาแล้วพูดว่า “มานั่งนี่เร็ว เห็นหน้าเธอเป็นกังวลซะขนาดนี้ มีเรื่องอะไรในใจรึเปล่า? ถ้ามีอะไรก็พูดมาเถอะ ไม่มีอะไรที่ฉันแก้ไขไม่ได้หรอกนะ เธอคิดว่าฉันเป็นซูเปอร์แมนเลยก็ได้”
เฉินเสี่ยวถงฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาได้อย่างยากเย็น นั่งลงข้าง ๆ หลี่โม่ ก้มหน้าลงแล้วพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ฉันเป็นตัวซวยใช่มั้ยนะ? ถึงได้เอาแต่ดึงดูดสิ่งไม่ดี ๆ เข้ามาตลอดเลย”
“ทำไมเธอถึงคิดอย่างนี้ได้ล่ะ? ในชีวิตของคนเรามันก็ต้องมีจุดสูงสุดกับจุดต่ำสุดด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ ทำตัวเป็นคนคิดบวกให้ใจมีความสุข หันหน้าเข้าหาทะเลให้สดชื่น เปิดจิตใจให้เบ่งบานรับสายลมอบอุ่นของในฤดูใบไม้ผลิดีกว่าน่า”
หลี่โม่สั่งสอนชี้นำเฉินเสี่ยวถงที่จิตใจกำลังหดหู่ไปพลาง มือก็ลูบหัวของเธอไปพลาง
ภายใต้การพูดจาชี้นำของหลี่โม่ ในที่สุดเฉินเสี่ยวถงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วค้นหาประวัติการสนทนากับจ้าวหมิงหยางยื่นให้หลี่โม่
“นี่เป็นบันทึกการสนทนาระหว่างฉันกับจ้าวหมิงหยาง จริง ๆ แล้ว จ้าวหมิงหยางกับฉัน…ก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักสนิทสนม เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่เพราะต่อมาฉันถูกจางเต๋ออู่พาตัวไป ส่วนเขาถูกจางเต๋ออู่ส่งไปที่ฐานฝึกแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่ใช้ฝึกฝนทักษะการฆ่าคน ตอนนี้จางเต๋ออู่ได้เปิดเผยข้อมูลของฉันให้กับจ้าวหมิงหยางแล้ว เขาเลยขู่ว่าจะมาฆ่าคุณ”
เฉินเสี่ยวถงรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะตัวเธอเอง ดังนั้นเธอจึงเป็นต้นเหตุของความผิดพลาดทั้งหมด เป็นคนที่ถือเป็นลางร้าย ก่อให้เกิดหายนะกับคนรอบข้าง
หลี่โม่อ่านบันทึกการสนทนาอย่างรวดเร็ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “เธอไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้เองหรอกเหรอ? มา! ยิ้มให้ฉันหน่อย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จัดการแป๊บเดียวก็จบเรื่องแล้ว เธอไม่ต้องกังวลใจไปหรอกน่า”
“ จะไม่กังวลได้ยังไงล่ะ? ว่ากันว่าพวกคนในฐานฝึกนั่น มักเข้าร่วมการประลองฝีมือกันบ่อย ๆ จะเป็นหรือตายก็ตัดสินแค่ในชั่วพริบตา ในเมื่อจ้าวหมิงหยางสามารถมีชีวิตกลับออกมาได้ ก็แสดงให้เห็นว่าความสามารถของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ ” เฉินเสี่ยวถงเริ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น
แม้ว่าจะได้เห็นทักษะของหลี่โม่แล้ว รู้ดีว่าหลี่โม่ร้ายกาจมากพอ แต่เฉินเสี่ยวถงที่ตอนนี้กำลังแบกเรื่องนี้อยู่ กลับรู้สึกสับสนว้าวุ่นใจไปหมด
“ ต่อให้ความสามารถของเขาจะมากแค่ไหน ก็เป็นได้แค่ซุนหงอคงเท่านั้นแหล่ะ ส่วนฉันคือพระยูไลเชียวนะ วางใจเถอะ แค่ฉันขยับมือทีเดียวก็บีบเขาให้ตายได้ง่าย ๆ แล้ว เดิมทีเขากับฉันก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแต่แรกอยู่แล้วล่ะ” หลี่โม่พูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เมื่อเฉินเสี่ยวถงเห็นว่าหลี่โม่ไม่สนใจเรื่องนี้เลยซักนิด ก็พูดด้วยท่าทางที่เหมือนคนใกล้จะสติแตกให้ได้ว่า: “คุณช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยได้มั้ย ? เรื่องมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ ฉันจะให้คุณดูบางอย่าง”
หลังจากหยิบโทรศัพท์มา เฉินเสี่ยวถงก็เปิดแชทกลุ่มของเพื่อน ๆ ของจ้าวหมิงหยาง แล้วส่งให้หลี่โม่ดู
มีรูปจ้าวหมิงหยางไปรับที่สนามบิน ในรูปเป็นจ้าวหมิงหยางกับคนอีกสามคนถ่ายรูปหมู่ด้วยกัน ใบหน้าของทั้งสามคนเต็มไปด้วยไอสังหาร แค่เห็นแวบแรกก็ให้ความรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่คนดีแล้ว
ยังมีรูปที่จ้าวหมิงหยางพาคนทั้งสามขึ้นภูเขาไปล่าสัตว์ ทั้งยังจับหมาป่าได้ถึง 2 ตัว ทุกวันนี้มีนักล่าไม่มากนักที่สามารถล่าหมาป่าได้
ถัดลงไป ต่างก็เป็นรูปถ่ายของจ้าวหมิงหยางกับทั้งสามคน ที่กำลังกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน แชทล่าสุดในกลุ่มเพื่อน คือรูปจ้าวหมิงหยางพาทั้งสามคนไปยิงปืนที่สนามฝึกยิงปืน มีข้อความประกอบรูปว่า [กินดื่มเต็มอิ่ม เล่นสนุกเต็มคราบ ได้เวลาชำระแค้นแล้ว รอวันตายซะเถอะ]
“คุณเห็นรึยัง ? จ้าวหมิงหยางต้องไม่ได้มีเจตนาดีแน่ เขาต้องทำอะไรซักอย่างที่มันไม่เป็นผลดีกับคุณ เขาไปหาเพื่อนร่วมงานมาอีกสามคน คนสี่คนมารุมจัดการกับคุณคนเดียว ! แถมพ่อของเขาก็ดูเหมือนจะทำงานอยู่ในเมืองฮ่านนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจางเต๋ออู่จงใจจัดการไว้แบบนี้หรือเปล่า ได้ยินมาว่าพ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการอยู่ในเมืองฮ่าน มีหน้าที่ควบคุมดูแลตำรวจสายตรวจทั้งหมดในเมือง!”
เฉินเสี่ยวถงใช้สายตาที่เป็นกังวลและตำหนิตัวเองจ้องมองหลี่โม่
หลี่โม่วางโทรศัพท์ลง แล้วยิ้มอย่างมั่นใจ: “เธอคิดว่าพวกเขาจะเป็นคู่มือของฉันได้งั้นเหรอ? นั่นแปลว่าเธอยังไม่รู้จักฉันดีพอ ฉันจัดการพวกเขาได้แบบ so easy เลยเชียวล่ะ วางใจเถอะ”
เฉินเสี่ยวถงไม่ได้พูดอะไร แต่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางตกตะลึง
“มาแล้ว พวกจ้าวหมิงหยางมากันแล้ว คุณรีบไปซ่อนตัวเถอะ ฉันจะรับมือจ้าวหมิงหยางเอง”
สายตาที่ตื่นตระหนกของเฉินเสี่ยวถงกวาดมองไปทั่วออฟฟิศ คิดอยากจะหาที่เหมาะ ๆ ซักที่เพื่อให้หลี่โม่ใช้ซ่อนตัว
หลี่โม่จับมือเฉินเสี่ยวถงไว้ แล้วบีบเบา ๆ : “อย่ากังวลเลย อย่าตื่นเต้น นี่มันก็แค่เรื่องเล็ก ๆ เอง เธอแค่นั่งดูการแสดงของฉันก็พอ ตกลงมั้ย?”
“คุณ …คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาฉันจะทำยังไงล่ะ? ตลอดชีวิตที่เหลือของฉันหลังจากนี้ คงจะไม่มีวันสบายใจได้แน่ ๆ เลย”
ดวงตาของเฉินเสี่ยวถงเป็นสีแดงก่ำ ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกไปแล้วกอดหลี่โม่แน่น
ประตูออฟฟิศถูกผลักเปิดออกอย่างแรง จ้าวหมิงหยางเข้ามาเห็นเฉินเสี่ยวถงกอดหลี่โม่แน่น ก็โกรธจนปอดแทบจะระเบิด รู้สึกว่าทั้งตา หู จมูก ปาก มันเดือดจัดจนแทบจะพ่นไฟออกมาได้อยู่แล้ว
“ดี! ในเมื่อพวกแพศยาต่ำช้าอย่างพวกแกสองคนอยู่กันพร้อมหน้า งั้นวันนี้ฉันก็จะมาเอาชีวิตของพวกแกไปแล้วกัน!” จ้าวหมิงหยางพูดพร้อมกับแผ่ไอพิฆาตออกมาเต็มที่
“จ้าวหมิงหยาง นายจะทำอะไร? อย่ามาทำเรื่องผิดกฎหมายที่นี่นะ!” เฉินเสี่ยวถงพูดด้วยความหวาดหวั่นเคร่งเครียด
“ฮะๆ ไม่เป็นไร หลังจากจัดการงานนี้เสร็จฉันจะบินไปต่างประเทศแล้ว! จากนี้ฉันจะไม่กลับมาสถานที่ที่น่าเศร้าบัดซบแบบที่นี่อีก! ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะเธอคนเดียว วันนี้ฉันจะให้เธอได้สนุกเพลิดเพลินให้เต็มที่ แล้วค่อยส่งเธอไปสบาย ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนสำหรับความหลงใหลที่ฉันเคยมีให้ก็แล้วกัน”
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวหมิงหยาง ทั้งเนื้อทั้งตัวดูเต็มไปด้วยออร่าอันแปลกประหลาด
“ฮ่า ๆ หยางหมิง มิน่าล่ะที่แกไม่ยอมรับรักของแม่สาวเจ้าอารมณ์นั่น ที่แท้ก็เพราะน้องสาวคนนี้เองเหรอวะ? แต่เห็นได้ชัดเลยว่าหัวแกมันมีหญ้างอกเขียวครึ้มเลยนะเว้ย!” (สแลงคล้ายคนที่ถูกนอกใจ)
“ เหอซวี่หมิง มึงพูดจาไร้สาระให้มันน้อย ๆ หน่อย เรียกให้มึงมาช่วย ไม่ได้ให้มาดูเรื่องตลกนะโว้ย อย่างกูไม่เคยมีหญ้างอกบนหัว กูแค่รักเขาข้างเดียวมาตลอดต่างหาก”
จ้าวหมิงหยางถูกเพื่อนร่วมทีมแซะจนหาทางลงไม่ได้ ไฟโทสะในใจจึงยิ่งปะทุมากขึ้นกว่าเดิม
“หยางหมิง แกอย่าโกรธนักสิวะ อยากมีชีวิตดี ๆหัวต้องเขียวหน่อย ๆ ถึงจะมีรสชาต น้องสาวคนนี้ก็ไม่เลวนะโว้ย เดี๋ยวหลังจากนี้พวกเราพี่น้องมาสนุกกันสักตั้ง ตอนนี้พวกเราจะช่วยแกกำจัดไอ้สวะนี่เอง” เหอซวี่หมิง จ้องมองเฉินเสี่ยวถงด้วยสายตาหยาบโลนกรุ้มกริ่ม
เฉินเสี่ยวถงไปหลบอยู่ข้างหลังหลี่โม่ รู้สึกหนาวเยือกในใจ ถ้าเกิดผลลัพธ์ของเรื่องนี้ไปจบลงที่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เธอยอมฆ่าตัวตายเสียยังดีกว่าไปตกอยู่ในเงื้อมมือของคนพวกนี้
หลี่โม่ไขว้ขาซ้อนทับกัน มองพวกจ้าวหมิงหยางทั้งสี่คนแบบสบาย ๆ : “ ทางที่ดีพวกแกอย่ามาพ่นคำต่ำตมพรรค์นั้นในถิ่นของฉันจะดีกว่านะ ไม่งั้นฉันจะไม่เกรงใจพวกแกแล้ว”
“ฮะๆ ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่เกรงใจพวกเรา แค่เศษสวะกระจอก ๆ อย่างแก ริอาจจะมาเป็นศัตรูกับพญาอินทรีอย่างพวกเรางั้นเรอะ? อีกเดี๋ยวแกเตรียมเพลิดเพลินไปกับความเจ็บปวดที่เราจะประเคนให้แกได้เลย” เหอซวี่หยางพูดพลางใส่แหวนติดหนามเข้าที่นิ้วมือของตัวเอง
แหวนที่มีหนามแหลมคมสาดประกายเย็นยะเยือก บนคมหนามยังมีร่องรอยคราบเลือดติดอยู่ประปราย ซึ่งแหวนธรรมดาทั่วไปจะไม่มีให้เห็นแบบนี้
“ให้ฉันสอนบทเรียนแกซักหน่อยก่อน ได้ยินจากจ้าวหมิงหยางว่าฝีมือแกไม่ธรรมดา ให้ฉันดูหน่อยซิว่าแกจะเก่งซักแค่ไหน? ” เหอซวี่หยางบิด ๆ คอ กระโดดฟุตเวิร์คอยู่กับที่หลายครั้ง ราวกับว่ากำลังวอร์มอัพร่างกายก่อนต่อสู้
จ้าวหมิงหยางหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เหอซวี่หยาง อย่าประมาทเด็ดขาดนะโว้ย ไอ้สวะนี่มันร้ายกาจมากจริง ๆ ฉันตรวจสอบข้อมูลของมันมาแล้ว พลังในการต่อสู้ของมันแข็งแกร่งมากเชียวล่ะ”
“โอ้โห! นี่ฉันได้ยินอะไรวะเนี่ย? สวะผู้ทรงพลังในด้านการต่อสู้งั้นเหรอ? นี่แกกำลังล้อฉันเล่นใช่ปะ? ฉันนี่แหล่ะคือมือปราบของพวกสวะทั้งหลาย เดี๋ยวจะให้แกได้เห็นสกิลด้านการต่อสู้ขั้นเทพที่ใช้แค่กระบวนท่าเดียว ก็คุมศัตรูได้อยู่หมัดเอง ฮ่า ๆ ๆ !”